ไม่รู้ว่าพ่อลูกพูดคุยอะไรกัน อย่างไรตอนที่ฮ่องเต้เสด็จออกมาก็ดูอารมณ์ดีทีเดียว
ถาวจวินหลันมองขนมเหนียวเขียวที่เหลือเพียงครึ่งถาดเท่านั้น ก็ยิ้มออกมา “ท่านไม่ได้ให้ฮ่องเต้เสวยมากเกินไปใช่หรือไม่? สิ่งนี้ทานเยอะเกินไปจะย่อยยากนะเพคะ”
หลี่เย่เหลือบมองขนมเหนียวที่เหลืออยู่บนถาดเพียงไม่กี่ชิ้น ก็หัวเราะเช่นเดียวกัน “เสด็จพ่อเสวยไปสองชิ้น ที่เหลือล้วนเป็นข้าทาน สิ่งนี้รสชาติใช้ได้ เรียบๆ ง่ายๆ พอกินเข้าไปแล้วก็ชวนให้คนรู้สึกอยากขี่ม้าชมชนบททันที”
ถาวจวินหลันเหลือบมองขาของเขา ก่อนพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ท่านตัดใจเสียเถิด ยังจะขี่ม้าชมชนบท ต่อจากนี้ไปทำได้เพียงนั่งรถม้าแล้ว”
ทันใดนั้นรอยยิ้มของหลี่เย่ก็หุบลงในทันใด เขาคิดว่าก่อนหน้านี้นางก็เพียงล้อเล่นเท่านั้น แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้แล้วกลับดูเหมือนเอาจริง ตอนนี้เขาบาดเจ็บเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะขี่ม้าได้อีกเมื่อไรกัน
“วันนี้ขันทีเป่าฉวนพูดกับข้าว่าวันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดีนัก” ถาวจวินหลันเล่าเรื่องที่ขันทีเป่าฉวนพูดให้หลี่เย่ฟังอย่างละเอียด ก่อนขมวดคิ้วเอ่ย “รู้สึกว่าคำพูดสุดท้ายของเขาแอบแฝงนัยลึกซึ้งบางอย่าง”
“นี่กำลังเตือนข้าอยู่” หลี่เย่อมยิ้ม นั่งพิงไปกับหมอนอิง ท่าทางฉายแววเกียจคร้านออกมา “นี่กำลังเตือนข้าอยู่ว่าสามารถฉวยโอกาสตอนนี้ลากผู้ว่าเมืองหลวงลงจากหลังม้า แล้วเปลี่ยนให้คนของพวกเราเข้าไป”
แต่ถาวจวินหลันยังคงไม่เข้าใจ “ท่านพูดว่าขันทีเป่าฉวนไม่เคยช่วยเหลือผู้ใดเลยมิใช่หรือ? เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงบอกเรื่องนี้กับพวกเราอีก? นี่ไม่ขัดแย้งกันหรืออย่างไรเพคะ?”
หลี่เย่มองดูถาวจวินหลันที่มีท่าทีขมวดคิ้วสงสัย อธิบายเสียงอ่อนโยนว่า “ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ไร้เยื่อใยเสียขนาดนั้น นี่ยังนับว่าเอนเอียงช่วยเหลือพวกเราไม่ได้ อย่างไรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นตำแหน่งผู้ว่าเมืองหลวงตอนนี้ก็ต้องถูกเปลี่ยนเป็นแน่ เจ้าก็พูดแล้วมิใช่หรือ เสด็จพ่ออารมณ์ไม่ดีก็ด้วยเรื่องนี้ ผู้ว่าเมืองหลวงเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากเพียงใด? หากพูดว่าได้รับความไว้วางใจด้วยความรับผิดชอบอย่างหนักก็ไม่ได้แตกต่างสักนิด”
ถาวจวินหลันรู้ว่าเรื่องนี้ยังพูดกันไม่จบ จึงดื่มชาผลไม้อึกหนึ่ง ก่อนหยิบขนมเหนียวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง รอให้หลี่เย่อธิบายต่อ
“ตอนนี้ตำแหน่งผู้ว่าเมืองก็ยังคงเป็นคนที่เหิงกั๋วกงเสนอ ฮ่องเต้ให้ความเชื่อใจอย่างมากมาโดยตลอด” หลี่เย่ค่อยๆ อธิบายออกมาช้าๆ ไม่รีบร้อน “ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการตบพระพักตร์เสด็จพ่อ จะต้องรู้ว่าตอนที่เกิดเรื่องนั้นก็ใกล้จะถึงประตูวังแล้ว ทุกที่ล้วนมีคนเดินตรวจยาม แต่ข้าก็ยังบาดเจ็บเช่นนี้”
ที่หลี่เย่ไม่ได้พูดก็คือที่เขาบาดเจ็บเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็ด้วยตนเองใช้คนไม่รอบคอบมากพอ แต่ว่าก็มีความเกี่ยวข้องกับการที่การตรวจเวรยามไม่รัดกุมพอ อีกทั้งเขายังเสียทหารยามข้างกายอีกคนหนึ่งไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทหารยามคนนั้นเอาตัวบังธนูเอาไว้ เกรงว่าตอนนั้นเขาคงถูกแทงพรุนไปทั่วตัว ที่ตนเองกลิ้งลงจากหลังม้าก็ด้วยต้องการหลบหลีกห่าธนู
ที่สำคัญที่สุดก็คือคนน่ารังเกียจที่ยิงธนูนั้นยังหลบหนีไปได้โดยไร้ซึ่งบาดแผล และคนของผู้ว่าเมืองไล่ตามก็ยังหลุดรอดจากสายตาไป ดังนั้นไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะทรงกริ้ว ถ้าเป็นคนอื่นไม่มีทางปล่อยผู้ว่าเมืองไปเป็นแน่
“ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ผู้ว่าเมืองก็จะต้องถูกเปลี่ยนคนอย่างแน่นอน ขันทีเป่าฉวนก็เพียงแค่พูดออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถือว่าช่วยเหลืออะไร และครั้งนี้ตัวของเหิงกั๋วกงก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยเช่นกัน จะต้องถูกสั่งสอนอย่างแน่นอน” หลี่เย่ยิ้มบางๆ แต่ดวงตากลับมีแววยิ้มแย้มปรากฏน้อยๆ “จวนเหิงกั๋วกงถือตำแหน่งผู้ว่าเมืองเอาไว้มั่นมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้เป็นโอกาสหาได้ยาก หากจะเปลี่ยนเป็นคนของเรา…”
แม้นจะบอกว่าตำแหน่งผู้ว่าเมืองหลวงไม่ใหญ่ แต่สิทธิ์ที่ถืออยู่ในมือก็ไม่น้อย ในตอนที่จำเป็นนั้นผู้ว่าเมืองถึงกับสั่งย้ายทหารรักษาเมืองได้
ถาวจวินหลันพยักหน้า และถามหลี่เย่ว่า “ท่านมั่นใจที่จะเปลี่ยนเป็นคนของพวกเราอย่างนั้นหรือเพคะ?”
ถาวจวินหลันถามหลี่เย่เช่นนี้ ฉับพลันเขาก็รู้สึกยินดีเพราะคำว่า ‘พวกเรา’ ที่ออกมาจากปากของนางอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตามีประกายยิ้ม น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงหลายส่วน “ไม่มั่นใจนัก แต่หากจะขัดขวางไม่ให้เหิงกั๋วกงเสนอคนขึ้นไปอีกก็ง่ายดายมาก”
อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเหิงกั๋วกงเป็นพี่ชายคนโตสายตรงของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นลุงแท้ๆ ของคังอ๋อง และเป็นที่พึ่งใหญ่ของฮองเฮาและคังอ๋องมาเป็นระยะเวลานาน
ในจวนเหิงกั๋วกงมีคนมากพรสวรรค์มากมาย มีทั้งสายบู๊บุ๋น ดังนั้นภายในระยะเวลาสิบกว่าปีสั้นๆ นั้นถึงได้มีฐานันดรเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ผลักดันให้มีฮองเฮาได้คนหนึ่ง แม้กระทั่งฮ่องเต้เองก็ต้องยำเกรงอยู่บางส่วน
ที่ตอนนั้นฮองเฮากล้าเหิมเกริม อวดอ้างถึงเพียงนั้น ก็ด้วยมีเหิงกั๋วกงคอยประคองอยู่ข้างหลัง
ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเหิงกั๋วกงจึงเป็นหนามยอกอกของหลี่เย่ และยิ่งเป็นคนที่ต้องระแวงอันดับหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นคนแรกที่ต้องกดให้จมเช่นเดียวกัน
จวนเหิงกั๋วกงดำรงอยู่หนึ่งวัน ฮองเฮาก็จะยิ่งหยิ่งทะนงไปอีกหนึ่งวัน ไม่มีจวนเหิงกั๋วกง ฮองเฮาก็เหลือเพียงแค่ตำแหน่งเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
ไม่รู้ว่าเขาวางแผนมานานมากเพียงใดเพื่อวันนี้ คิดทบทวนไปมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตอนแรกคิดว่าวันข้างหน้าถึงจะมีโอกาส แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ไปๆ มาๆ สวรรค์กลับประทานโอกาสอันดีมาให้
ดังนั้นหลี่เย่จึงคิดอย่างมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่สวรรค์ลิขิต สวรรค์กำลังช่วยเหลือเขาแก้แค้น ช่วยเหลือเขาให้ได้สิ่งที่อยากได้
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกยินดี จากนั้นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “แต่ว่าตอนนี้ท่านยังพักรักษาตัวอยู่ แม้แต่จะออกไปข้างนอกก็ยังไม่ได้” ไม่สามารถออกไปไหนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจัดการเรื่องเหล่านี้เลย
หลี่เย่ยิ้ม พลางพูดว่า “พรุ่งนี้เจ้าต้องไปรับซวนเอ๋อร์มิใช่หรือ? หลังจากที่กลับจวนแล้วเจ้าเรียกหลิวเอินมาเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง จากนั้นก็ให้เขาไปหาเฉินฟู่”
ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ มองไปทางหลี่เย่กล่าว “ความหมายของท่านคือให้เฉินฟู่รับผิดชอบตำแหน่งนี้อย่างนั้นหรือ?”
หลี่เย่ส่ายหน้า “เฉินฟู่ยังเด็กเกินไป เสด็จพ่อไม่มีทางยินยอม แต่ใต้เท้าเฉินมีศิษย์อยู่คนหนึ่ง นามว่ากู่ลิ่งจือ เป็นคนใช้ได้เลยทีเดียว ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้ว่าอำเภอเหอเป่ยมาก่อน เสด็จพ่อเคยตรัสชม”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มคิดบางอย่างได้ “ปกติใต้เท้าเฉินเป็นคนตรงไปตรงมา คิดว่าคงไม่มีใครเอ่ยคัดค้าน ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็คงจะพอใจเช่นกัน”
หากเฉินฟู่ไม่มาสู่ขอถาวซินหลันก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวดองกันแล้ว เช่นนั้นตระกูลเฉินก็จะต้องเข้าข้างจวนตวนอ๋อง อีกอย่างตัวของเฉินฟู่ก็เข้ากับหลี่เย่ได้ดีอย่างมาก
“ความสัมพันธ์ของกู่ลิ่งจือและเฉินฟู่ดีหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันถามหลี่เย่พร้อมรอยยิ้ม
หลี่เย่หยักหน้า “ปีนี้กู่ลิ่งจืออายุสามสิบสามปี แม้นจะบอกว่าอายุเยอะกว่าเฉินฟู่มากนัก แต่ว่าทั้งสองคนก็เข้ากันได้ดีมาก กู่ลิ่งจือสูญเสียภรรยาเอกของตนเองไปตอนปีก่อนนี้ ตอนนี้มีลูกฝาแฝดหญิงชาย และกลับมาอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงพอดี บอกว่าจะมาพูดเรื่องการแต่งงาน”
ถาวจวินหลันได้ยินก็คิดบางอย่างได้ “หากพวกเราและกู่ลิ่งจือพูดเรื่องการแต่งงาน…”
ก่อนหน้านี้หลี่เย่ไม่มีความคิดเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าไม่ได้เป็นไปไม่ได้ จึงพยักหน้า “ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทาง แต่ก็เป็นการไม่ดีถ้าต้องไปบีบบังคับ เจ้าคิดเรื่องนี้ดูได้ หากสำเร็จก็ดีไป แต่ถ้าไม่สำเร็จก็อย่าบังคับขืนใจ มิเช่นนั้นแล้วจะทำลายความสัมพันธ์เอา”
ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจหลักการนี้ หลายวันต่อจากนั้นจึงครุ่นคิดถึงคนที่ตนเองรู้จัก ว่ามีใครเหมาะสมจะแนะนำให้กับกู่ลิ่งจือได้
วันที่สองพอถาวจวินหลันดูแลหลี่เย่ทานข้าวเช้าและดื่มยาแล้ว นางก็รีบกลับมารับซวนเอ๋อร์ที่จวนตวนอ๋อง
พอออกมาจากวังหลวง ถาวจวินหลันก็สั่งหวังหรูว่า “ไป ให้คนไปเรียกหลิวเอินเข้าวังหลวงมา ข้ามีเรื่องที่ต้องสั่งเขา”
หวังหรูได้ยินเช่นนั้นก็แยกเดินทางกับถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันเพิ่งกลับไปจวน ทางด้านหลิวเอินก็รออยู่ที่ประตูชั้นสองแล้ว
พูดไปแล้ว หลังจากที่หลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันก็ไม่ได้พบหลิวเอินอีก ตอนนี้เขามีรูปร่างสมบูรณ์ขึ้นเล็กน้อย มองดูแล้วอวบขึ้น นางจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าออกไปเช่นนี้ยิ่งหลอกคนได้ง่ายขึ้นเยอะเชียว”
หลิวเอินตอบอย่างเอียงอาย “ทำธุรกิจนั้นพูดกันไม่รังแกคนแก่และเด็ก ข้าน้อยจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา”
ได้ยินเขาพูดอย่างคุ้นชินเช่นนี้ถาวจวินหลันก็รู้ว่าคำพูดนี้ของเขาปกติแล้วเอามาเพื่อปิดบังคนเท่านั้น จึงหัวเราะออกมา ไม่พูดอะไรออกมาอีก ท่าทีเคร่งขรึม “วันนี้ที่เรียกเจ้ามาอย่างกะทันหันก็เพราะว่ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องการสั่งเจ้า”
หลิวเอินได้ยินเช่นนั้นก็เก็บรอยยิ้มการค้า ท่าทีเคร่งขรึม “ขอเพียงชายารองสั่งมาขอรับ”
“เรื่องที่ท่านอ๋องถูกลอบทำร้ายคิดว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้วเป็นแน่” ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “ด้วยขยับไปไหนไม่ได้ ท่านอ๋องจึงทำได้เพียงพักรักษาตัวอยู่ในวังหลวงเท่านั้น ดังนั้นเรื่องดำเนินการด้านนอกคงจะต้องพึ่งพวกเจ้าแล้ว”
แน่นอนว่าหลิวเอินต้องรู้เหตุการณ์เมื่อวานนี้ และมีท่าทีว่าเขารู้เยอะกว่าถาวจวินหลันอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้นใบหน้าก็ดำคล้ำลง “คนพวกนั้นช่างกล้าดีนัก”
“ฮ่องเต้ทรงกริ้ว คราวนี้อาจจะเกิดการเปลี่ยนผู้ว่าเมืองหลวงขึ้น” ถาวจวินหลันมองออกว่าหลิวเอินกดเสียงตัวเองให้เบาลง แม้จะรู้ว่าไม่มีคนแอบฟังแต่ก็ยังทำตามสันชาตญาณ “ท่านอ๋องให้เจ้าไปหาเฉินฟู่ บอกเรื่องนี้กับเขา และเสนอชื่อคนหนึ่งขึ้นไป คนนั้นชื่อว่ากู่ลิ่งจือ”
หลิวเอินเข้าใจความหมายที่แอบแฝงอยู่ทันที ก่อนพยักหน้าพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ความหมายของท่านอ๋องข้าน้อยจะต้องไปบอกคุณชายเฉินเป็นแน่”
“อีกทั้งข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยอีกเรื่องหนึ่ง” ถาวจวินหลันเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยปากพูดว่า“ข้าอยากให้เจ้าสร้างข่าวลืออีกครั้ง ครั้งนี้จุดสำคัญคือ พอท่านอ๋องเพิ่งพูดได้ ก็พบเรื่องลอบฆ่าเช่นนี้ และพูดเรื่องการแต่งตั้งชินอ๋องอีกครั้ง”
หลิวเอินนิ่งคิด เข้าใจความหมายของถาวจวินหลันเช่นกัน แต่ก็ไม่กล้ามั่นใจเท่าไรนัก “ความหมายของชายารองก็คืออยากให้คนคิดว่าท่านอ๋องเกือบได้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋องจึงถูกคนคอยหวาดระแวงอย่างนั้นหรือขอรับ?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ตอนนี้พวกข้าอยู่ในวังหลวง กลัวว่าจะมีคนขยับตัวลงมือ ข่าวลือเช่นนี้กลับทำให้คนพวกนั้นที่มีความคิดบุ่มบ่ามเก็บตัวไปได้เล็กน้อย อีกอย่างก็ให้คนเข้าใจว่าท่านอ๋องของพวกเราจริงๆ แล้วได้รับความไม่เป็นธรรมเป็นอย่างมาก”
ฮ่องเต้สงสารหลี่เย่อยู่แล้ว หากได้ยินข่าวลือเช่นนี้คงรู้สึกไม่ดีมากขึ้น ถึงเวลานั้นก็จะเกิดประโยชน์ต่อหลี่เย่เอง
“จะมีคนสงสัยไหมว่าเป็นพวกเรา? อย่างไร…” หลิวเอินสงสัยเล็กน้อย แม้นจะคิดว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ยังไม่กล้าผลีผลามไป
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย มีความมั่นใจอยู่เต็มอก “อย่าลืมไปว่าข้าและท่านอ๋องอาศัยอยู่ในวังหลวง อีกอย่างท่านอ๋องถูกลอบทำร้ายก็มีคนเห็นเยอะถึงเพียงนั้น ขุนนางทั้งบู๊บุ๋นก็เห็นกันหมด มีคนเอาไปพูดก็ถือเป็นเรื่องปกติ เจ้าพยายามเอาคำพูดนี้ไปกระจายบริเวณนอกวังก็ได้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องระวังเสียหน่อย อย่าให้คนสืบหาร่องรอยได้”
เรื่องเช่นนี้หลิวเอินไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าต้องมั่นใจ เขาจึงตกปากรับคำว่า “ชายารองวางใจ ข้าน้อยจะต้องจัดการให้เป็นอย่างดีขอรับ”
ถาวจวินหลันพยักหน้ายิ้ม นางเชื่อมั่นในตัวหลิวเอินเช่นกัน