พอหลิวเอินกลับไป ถาวจวินหลันก็ไปหาจิ้งหลิง
จิ้งหลิงยังคงเป็นห่วงหลี่เย่มาก พอเห็นถาวจวินหลันก็รีบถามเป็นอย่างแรก
ถาวจวินหลันค่อยๆ ตอบทีละข้อ และปลอบนางอีกด้วย “ท่านอ๋องไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว เพียงแค่ตอนนี้ยังขยับไม่ได้มากเท่าไรนัก”
จิ้งหลิงพยักหน้า และมองไปทางถาวจวินหลัน “ท่านอยู่ในวังหลวงก็ต้องระวังตัวด้วย”
ความเป็นกังวลในสายตาของจิ้งหลิงไม่ใช่เรื่องโกหก ถาวจวินหลันยิ้มพลางมองนาง “ขอบคุณเจ้าที่เตือนข้า ข้าจะต้องระวังเป็นแน่ คนต้องระวังกลับเป็นเจ้าต่างหาก แม้ว่าภายในจวนจะไม่มีเรื่องอะไรมาก แต่ก็ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะกั่วเจี่ยเอ๋อร์ คนอื่นไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ เกรงว่าคงจะฝากความหวังไว้ที่เรื่องนี้”
ที่นางพูดถึงคือถาวจือ ท่าทีของถาวจือที่มีต่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ตอนนั้นเห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก แม้จะบอกว่าหลังจากนั้นถาวจือไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ยังไม่แน่มิใช่หรือ?
จิ้งหลิงได้ยินเช่นนั้นในสายตาก็ปรากฏความเฉียบคมออกมา “ใครจะกล้ามาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ต่อหน้าข้า? ข้าจะต้องเอากลับคืนไปเป็นเท่าตัวแน่”
ถาวจวินหลันเห็นจิ้งหลิงเป็นเช่นนี้ ฉับพลันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อย่างไรนางกำนัลใหญ่ของวังเต๋ออันก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่นอยู่ ข้ายังนึกว่าเจ้าทิ้งนิสัยนั้นไปเสียแล้ว แต่ที่จริงแล้วแอบเอาไว้อย่างลึกเท่านั้นเอง เจ้าควรจะแสดงท่าทีเช่นนั้นถึงจะปกป้องตัวเจ้าและกั่วเจี่ยเอ๋อร์ได้ กั่วเจี่ยเอ๋อร์ยังเด็กถึงเพียงนั้น ไม่มีคนคอยดูแลแล้วจะเติบโตอย่างปลอดภัยได้อย่างไร?”
จิ้งหลิงมองถาวจวินหลันนิ่ง แต่กลับลุกขึ้นทำความเคารพ “ข้าไม่รู้ว่าจะต้องทดแทนบุญคุณของท่านในครั้งนี้เช่นไร หากมีอะไรที่ข้าช่วยท่านได้ ท่านเพียงแค่พูดออกมาเท่านั้น”
จนถึงวันนี้หลังจากที่ถาวจวินหลันทำเรื่องเช่นนี้ ในที่สุดจิ้งหลิงก็ถือว่ายอมเอ่ยปากยอมเข้าเป็นฝ่ายเดียวกัน
แม้จะบอกว่านี่เป็นจุดประสงค์ของถาวจวินหลัน แต่อย่างไรก็มีความสัมพันธ์มานานถึงเพียงนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องมีความผูกพันอยู่บ้าง นางจึงประคองจิ้งหลิงขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะขอ ต่อจากนี้ไปพวกเราช่วยประคับประคองกันก็พอแล้ว ภายในจวนนี้คนที่ข้าเชื่อได้ก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ให้ดี ต่อไปหากมีโอกาสข้าจะกล่อมท่านอ๋องให้เอากั่วเจี่ยเอ๋อร์มาจดเอาไว้ใต้ชื่อของเจ้า ในตอนนี้ข้าไม่คิดอะไรแล้ว เพียงแค่หวังว่าตระกูลถาวของพวกเราจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง และซวนเอ๋อร์กับหมิงจูเติบโตได้อย่างแข็งแรงปลอดภัย เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
คนเป็นแม่ย่อมมีความคิดเหมือนกัน แม้ว่ากั่วเจี่ยเอ๋อร์จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของจิ้งหลิง แต่ภายในช่วงเวลานี้นางมองเห็น ว่าจิ้งหลิงปฏิบัติต่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ด้วยความรักของคนเป็นแม่ ดังนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากแม่แท้ๆ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ จิ้งหลิงไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ตลอดชีวิต ดังนั้นกั่วเจี่ยเอ๋อร์จึงเป็นความหวังเดียวของนาง
จิ้งหลิงยิ้มน้อยๆ ท่าทีจริงใจไม่มีร่องรอยหลอกลวงแม้แต่น้อย “ข้าเป็นเพียงอนุภรรยาเท่านั้น กั่วเจี่ยเอ๋อร์ถูกจดเอาไว้ใต้ชื่อข้าก็เป็นการลดฐานะให้ต่ำลง ขอแค่เพียงให้ข้าเลี้ยง ข้าก็พอใจแล้ว”
จิ้งหลิงพูดอย่างจริงใจ ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ในใจของนางแอบคิดว่าไม่มีทางเป็นอนุภรรยาไปตลอดแน่
แต่หากพูดคำพูดนี้ตอนนี้แน่นอนว่าเร็วเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดออกมา
ส่วนเรื่องต่างๆ ภายในจวน ถาวจวินหลันก็กำชับกับจิ้งหลิงอีกรอบ สุดท้ายแล้วก็พูดอีกว่า “เจ้าจะต้องระมัดระวังทางด้านชายารองเจียงสักนิด พบอะไรก็ไม่จำต้องป่าวประกาศ รอข้ากลับมาแล้วค่อยบอกข้า”
ตอนนี้เจียงอวี้เหลียนมีลูกชาย ถาวจวินหลันไม่เชื่อว่าเจียงอวี้เหลียนนิ่งสงบอยู่ได้ ดังนั้นจึงระแวงอยู่ตลอดเวลา และยิ่งยามนี้นางกับหลี่เย่ไม่อยู่ในจวน สำหรับเจียงอวี้เหลียนแล้วถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง
จิ้งหลิงรับคำ ขอให้ถาวจวินหลันวางใจ
ถาวจวินหลันจึงเริ่มเก็บของ เลือกคนที่จะต้องติดตามเข้าไปในวังให้เตรียมพร้อมเข้าวังหลวง
จิ้งหลิงไปส่งถาวจวินหลันถึงหน้าประตู
“เจ้าจะต้องระวังทางถาวจือให้มากเช่นกัน” ถาวจวินหลันกังวลจึงสั่งกำชับออกมาอีกครั้ง ก่อนขึ้นรถม้าสั่งให้ออกเดินทางไปยังวังหลวง
จิ้งหลิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ผ่านไปนานก็ถอนหายใจออกมา พูดพึมพำว่า “ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าคนที่ข้าเคยโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ มาถึงวันนี้กลับมีบุญคุณต่อข้ามากที่สุด”
แต่แม้ในใจจะสับสน แต่เมื่อกลับมาถึงเรือนตนเองแล้วพบกั่วเจี่ยเอ๋อร์ อารมณ์ของนางก็สดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง อมยิ้มหยอกล้อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ “กั่วเจี่ยเอ๋อร์วางใจ ข้าจะปกป้องเจ้าไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าเป็นแน่”
บ่าวที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “หากกั่วเจี่ยเอ๋อร์โตไปแล้วจะต้องตอบแทนอี๋เหนียงให้ดีถึงจะถูก”
จิ้งหลิงยิ้มพลางส่ายหน้า “ไฉนเลยข้าจะหวังถึงสิ่งนี้ จะกตัญญูหรือไม่นั้นก็แล้วแต่” หากไม่มีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ วันเวลาของนางคงเข้าสู่ความดำมืดไปแล้ว ไม่มีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ทุกวันตกกลางคืนสะดุ้งตื่นและนอนต่อไม่หลับนั้นจะต้องทนผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นไปได้อย่างไร?
ความคิดของจิ้งหลิงเป็นอย่างไรไม่จำเป็นต้องพูดถึง ทางด้านถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูเข้าวังหลวง ยังไม่ทันได้เข้าไปดูหลี่เย่ ก็ต้องพาไปทำความเคารพไทเฮาที่วังหย่งโซ่วก่อน
อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็โตขึ้นมาภายในวังหลวง เมื่อมาถึงวังหย่งโซ่วก็คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เหมือนกับปลากระดี่ได้น้ำอย่างไรอย่างนั้น เขาไถลลงมาจากร่างของแม่นมโจวและวิ่งเข้าไปภายในห้องอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลที่เฝ้าประตูนั้นไม่มีทางขัดขวางซวนเอ๋อร์ตัวน้อยๆ เป็นแน่ แต่กลับยิ้มร่าเริง “ซวนเอ๋อร์กลับมาแล้ว องค์ไทเฮาคงจะมีความสุขน่าดูเลย”
ถาวจวินหลันเพิ่งถึงหน้าประตู ยังไม่ทันเข้าไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะของไทเฮาและหลิวหมัวหมัว พอเข้าไปแล้วกลับเห็นซวนเอ๋อร์เข้าไปนั่งอยู่ข้างไทเฮาแล้ว ในมือถือปีแป๋กำลังกัดอยู่
ทันใดนั้นนางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นก็หันไปทำความเคารพไทเฮา
มีซวนเอ๋อร์อยู่ ท่าทีของไทเฮาก็ดูเปี่ยมด้วยเมตตาขึ้นเล็กน้อย พอให้ลุกขึ้นแล้วก็มองเลยไปทางแม่นมที่อุ้มหมิงจูอยู่ด้านหลัง ถามว่า “นั่นคือหมิงจูหรือ? ให้ข้ามาดูหน่อยเร็วเข้า”
ซวนเอ๋อร์ก็เข้ามาร่วมวงด้วย “น้องสาว!”
ถาวจวินหลันรับหมิงจูเข้ามา อุ้มไปให้ไทเฮาดู ซวนเอ๋อร์หยิบผลไม้ในมือยื่นไปให้หมิงจู “น้อง กิน”
ตอนนี้หมิงจูถูกกวนจนตื่น ดวงตาดำขลับลืมขึ้นมา เห็นว่ามีคนยื่นของมาให้ตนก็อ้าปากจะกลืนเข้าไปจริงๆ ไทเฮารีบดึงซวนเอ๋อร์เอาไว้ “น้องสาวของเจ้ายังเด็กนัก ยังกินสิ่งนี้ไม่ได้”
และไทเฮาก็หันไปมองหมิงจูอย่างเอ็นดู “เจ้าเด็กคนนี้น่ารักน่าชัง ไม่ร้องไห้โยเยเสียด้วย”
หมิงจูลืมตามองดูไทเฮานิ่ง เห็นว่าไทเฮากำลังพูดกับตนเองอยู่ก็ยิ้มออกมา ไทเฮาย่อมต้องรู้สึกดีใจ จึงรีบหันไปกำชับหลิวหมัวหมัวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจำได้ว่าใน**บนั้นยังมีโซ่อายุยืนอยู่อีกเส้นหนึ่ง เจ้าไปหยิบมาให้หมิงจูเถิด” ตอนแรกนางคิดว่าจะเก็บเอาไว้ให้ลูกชายคนโตจากภรรยาเอกของคังอ๋อง แต่ว่าตอนนี้กลับรอไม่ไหวแล้ว
พอหลิวหมัวหมัวได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป ถามว่า “ใช่อันที่ไทเฮาเคยสวมตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์หรือไม่เพคะ?”
“อืม” ไทเฮารับคำ ยังคงหยอกล้อหมิงจูอยู่เช่นเดิม ซวนเอ๋อร์เองก็เข้าร่วมวงหยอกล้อด้วย ย่าหลานทั้งสองคนมีความสุขเป็นอย่างมาก
ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธออกมา ในเมื่อไทเฮาพูดออกมาแล้วก็ต้องตั้งใจมอบให้หมิงจูจริง หากนางปฏิเสธก็เห็นได้ชัดว่าแสร้งทำ
ฉับพลันนั้นหลิวหมัวหมัวก็ไปหยิบโซ่อายุยืนมา และเอาไปใส่ให้หมิงจู ก่อนหัวเราะออกมา “ไทเฮาเพคะ ทำไมบ่าวถึงคิดว่าหมิงจูมีท่าทีคล้ายกุ้ยเฟยนักเพคะ”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ตั้งใจพิจารณา และอดพยักหน้าไม่ได้ “คล้ายเล็กน้อย โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้ เหมือนกว่าตวนอ๋องเสียอีก”
ถาวจวินหลันคิดว่ากุ้ยเฟยที่ไทเฮาและหลิวหมัวหมัวพูดอยู่ น่าจะเป็นแม่แท้ๆ ของหลี่เย่ใช่หรือไม่? นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าดวงตาของหมิงจูเหมือนกับหลี่เย่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเหมือนเสด็จย่าของนางมากกว่า
“ข้าจำได้ว่าใน**บของประทินโฉมที่กุ้ยเฟยเหลือทิ้งเอาไว้ยังเก็บอยู่ที่ข้า” ไทเฮาหรี่ตาคิด ฉับพลันก็พูดเช่นนี้ออกมา
หลิวหมัวหมัวพยักหน้ารับปาก “บ่าวเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีเพคะ”
“ไปเอามาให้หมิงจูพร้อมกันเถิด” ไทเฮายิ้มพลางพูดออกมา “หากกุ้ยเฟยได้เห็นหมิงจูก็จะต้องทำเช่นนี้เป็นแน่ เด็กผู้หญิงมีเครื่องประดับมากเสียหน่อยถึงจะแต่งตัวได้ง่าย อย่างไรทิ้งของไว้ที่นี่ก็สิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ”
กุ้ยเฟยไม่มีลูกผู้หญิง ดังนั้นมอบให้หลานสาวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
แต่ครั้งนี้ถาวจวินหลันกลับลังเลขึ้นมา “หมิงจูยังเล็กนัก ไฉนเลยจะจำเป็นต้องสวมใส่เครื่องประดับเพคะ?”
“อย่างไรก็ต้องโต” ไทเฮากลับไม่ยอมรับคำปฏิเสธ พูดออกมาอย่างหนักแน่น “เอามาให้หมิงจูไม่ได้เอามาให้เจ้า เจ้าเองไม่จำเป็นต้องคิดว่าไม่เหมาะสม คนอื่นไม่กล้าพูดอะไรเป็นแน่”
ถาวจวินหลันพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณแทนหมิงจู
“อีกเดี๋ยวหากว่าฮ่องเต้ไปหา ก็ให้ฮ่องเต้ได้ดูเสียหน่อย คิดว่าเขาจะต้องมีความสุขเป็นแน่” ไทเฮากำชับอีกครั้ง สุดท้ายแล้วก็ไล่คนออกไป “เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้ากลับไปดูแลตวนอ๋องเถิด ไม่จำเป็นจะต้องมาที่นี่ทุกวัน ปกติฮองเฮาก็สุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว เจ้าไปทุกวันก็ถือว่ารบกวน อีกทั้งตอนนี้ที่เจ้าต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือการดูแลตวนอ๋อง”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายขงไทเฮา นี่คือการหาข้ออ้างเพื่อไม่ให้นางไปหาฮองเฮา ในตอนนั้นจึงรับปากอย่างแข็งขัน ในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
ตั้งแต่ที่คิดเข้าใจแล้ว นางก็ไม่มีปฏิกิริยาความเห็นอะไรต่อไทเฮาเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่กลับกลายเป็นความเคารพที่มีมากขึ้น
“ไปเถิด ทุกวันตอนกลางวันข้าจะให้คนไปรับซวนเอ๋อร์มาก็แล้วกัน” ไทเฮามองไปทางซวนเอ๋อร์อย่างมีเยื่อใย แล้วจึงพูดเช่นนี้
ถาวจวินหลันไม่มีความคิดเห็นแตกต่างอะไร ทวดให้ความรักความเอ็นดูเหลนถึงเพียงนี้แต่เดิมนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรจะขัดขวาง
เมื่อออกมาจากวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันก็ตรงไปยังวังรับรองที่พวกเขาอาศัยอยู่ชั่วคราว
หลี่เย่กำลังนั่งเอนตัวอ่านหนังสืออยู่ ซวนเอ๋อร์พุ่งเข้าไปในทันใด พูดออกมาเสียงก้อง “พ่อ!”
หลี่เย่ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มสดใสในทันใด รีบพูดว่า “ไอ้! ซวนเอ๋อร์มาแล้ว” ดวงตากลับมองไปยังอ้อมอกของถาวจวินหลัน รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นไปอีก “รีบเอาหมิงจูมาให้ข้าอุ้มเร็วเข้า ไม่ได้เจอมาสองวันแล้ว”
ถาวจวินหลันมองดูท่าทางรอคอยของหลี่เย่ก็รู้สึกขบขัน แต่ก็ยังทำตามความต้องการของเขา เอาหมิงจูไปวางไว้ข้างเตียงให้เขาดู “ท่านอุ้มไม่ได้ ระวังจะทับบาดแผลเอา ตอนนี้หมิงจูตัวหนักนัก” เมื่อครู่นี้อุ้มมาตลอดทางแขนนางก็เริ่มรู้สึกปวดเสียแล้ว
ตอนแรกหลี่เย่อยากจะอุ้ม เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าดื้อรั้นอีก เพียงแค่มองลูกสาวของตนเองอย่างพินิจพิจารณา พยักหน้าด้วยความพอใจ “เหมือนจะโตขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว”
แม้ว่าหมิงจูจะเป็นเด็กตัวเท่านี้ ในวันๆ หนึ่งมีท่าทีที่แตกต่างกันออกไป แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น ดังนั้นถาวจวินหลันก็ยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ไม่ไปสนใจ เพียงปล่อยให้หลี่เย่พูดต่อไป นางกลับหันไปรินน้ำแก้วหนึ่ง เรียกให้ซวนเอ๋อร์มาป้อนน้ำให้นาง
พอพักได้สักครู่แล้ว ถาวจวินหลันก็พาคนจากจวนตวนอ๋องไปจัดการให้เรียบร้อย วังรับรองนี้ไม่ถือว่าใหญ่ ในตอนนี้เมื่อซวนเอ๋อร์และหมิงจูมา บวกกับแม่นมและบ่าวรับใช้ที่ตามมาก็แทบจะทำให้วังรับรองเรือนนี้รับแขกเต็มแล้ว