ที่อยู่ด้านนอกพระราชฐานนั่นคือพระชายาอี๋ พระชายาอี๋มาส่งน้ำแกงให้กับฮ่องเต้
พอมองดูท้องนูนเด่นและใบหน้าซูบตอบลงของพระชายาอี๋ ขันทีเป่าฉวนก็นิ่งคิดไม่กล้าขวางเอาไว้ จึงเข้าไปรายงานให้ฮ่องเต้ทราบ
ฮ่องเต้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ให้พระชายาอี๋เข้ามา แน่นอนว่าพอพระชายาอี๋เข้ามาแล้ว ฮ่องเต้ก็เหลือบมองท้องที่สูงใหญ่ของพระชายาอี๋วูบหนึ่งก็อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก น้ำเสียงอ่อนโยนลงหลายส่วน เหมือนกลัวว่าทำให้ลูกที่อยู่ในท้องของพระชายาอี๋จะกลัวอย่างไรอย่างนั้น “เหตุใดถึงมายามนี้? แดดส่องหัวเช่นนี้เป็นพิษนัก”
พระชายาอี๋ทำความเคารพ แล้วถึงได้ยิ้มตอบว่า “นั่งเกี้ยวมาเพคะ ภายในเกี้ยววางถาดน้ำแข็งเอาไว้ เย็นสบายไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิดเพคะ”
ฮ่องเต้กลับไม่เห็นด้วย “อากาศเช่นนี้เหมาะต่อการดูแลครรภ์อยู่ในห้อง” ความหมายนี้เป็นการกล่าวโทษพระชายาอี๋
พระชายาอี๋เปลี่ยนเรื่องพูด ยกถ้วยน้ำแกงขึ้นไปให้ จากนั้นก็ถือโอกาสอยู่รับใช้เบื้องหน้าฮ่องเต้ แต่ดวงตากลับกวาดมองตกไปยังฎีกาที่อยู่ตรงหน้าฮ่องเต้
ฎีกานั้นเป็นฎีกาที่ปลดผู้ว่าเมืองหลวงออก
พระชายาอี๋นิ่งคิด จากนั้นก็ส่งเสียงอ่อนหวาน “ผู้ว่าเมืองหลวงจะถูกปลดเพราะเรื่องของตวนอ๋องหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้ชำเลืองตามองอย่างเย็นชา รับคำอย่างไม่ยินดีนัก “อืม” ในใจกลับไม่พอใจที่พระชายาอี๋พูดเรื่องของราชสำนัก แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ไม่ได้กล่าวโทษอะไร อย่างแรกด้วยไว้หน้าลูกที่อยู่ในท้องของพระชายาอี๋ อย่างที่สองก็ด้วยอยากรู้ว่าพระชายาอี๋คิดจะทำอะไร เพียงแค่ถามไปอย่างนั้นหรือว่ามีความตั้งใจอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย
พระชายาอี๋กลับไม่สังเกตเห็นสายตาลึกล้ำของฮ่องเต้ เพียงแค่สนใจพูดต่อไป “ที่จริงแล้วเรื่องนี้จะไปโทษที่ผู้ว่าเมืองได้อย่างไรเพคะ? ทหารยามของตวนอ๋องก็ไม่ได้ป้องกันเลยหรือเพคะ? จากที่หม่อมฉันดูแล้วไม่สู้ให้ผู้ดูแลคนนั้นทำความดีชดใช้ความผิดจะเหมาะสมที่สุดนะเพคะ”
ฮ่องเต้กำลังดื่มน้ำแกงพลันชะงักกึก ไม่อยากกินต่อไปอีก “จากที่เจ้าว่ามา เท่ากับว่าตวนอ๋องไม่ระวังเองถึงได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าเมืองอย่างนั้นหรือ?”
จากน้ำเสียงของฮ่องเต้เหมือนไม่ค่อยพอใจนัก พระชายาอี๋ก็รีบอธิบายเสียงอ่อน “ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ เพียงแค่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครคาดการณ์ได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถกล่าวโทษผู้ว่าได้มิใช่หรืออย่างไรเพคะ? อีกทั้งผู้ว่าเมืองก็ระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำอะไรผิด แม้ว่าคราวนี้จะละเลยเกินไปเสียหน่อย แต่ก็ควรให้โอกาสอีกสักครั้งถึงจะถูกนะเพคะ”
“ข้าจำได้ว่าบ้านเดิมของเจ้าและผู้ว่าเมืองไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน เหตุใดเจ้าถึงได้พูดแทนเขาเล่า?” ฮ่องเต้อมยิ้มมองไปยังพระชายาอี๋ พลางถามอย่างไม่ตั้งใจนัก
แต่แม้ว่าฮ่องเต้จะอมยิ้ม แต่สายตาที่แสดงออกอย่างไม่ใส่ใจก็ทำให้พระชายาอี๋อดสั่นสะท้านไม่ได้ อาจด้วยหวาดกลัวจนเกินไป จึงทำให้นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยินยอมให้นางถอยหลังไป ยื่นมือไปจับข้อมือของนางเอาไว้ ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้ม “เจ้ากลัวข้าอย่างนั้นหรือ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าไม่เห็นกลัว กลับมีความกล้าเป็นอย่างมาก?”
พระชายาอี๋ยิ่งตัวสั่นสะท้าน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเค้นคำพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง “หม่อมฉันไม่กลัวฮ่องเต้…” แต่เมื่อพูดคำนี้ก็ต้องขลาดกลัวมากทันที
ฮ่องเต้มองใบหน้าที่ซูบเซียวของพระชายาอี๋อยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพักถึงได้ปล่อยมือ กลับพูดเสียงเย็นว่า “ต่อจากนี้ไปถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมาที่ห้องหนังสืออีก สนมรักไม่จำเป็นต้องไปฟังเรื่องราวภายนอกวัง พักรักษาครรภ์ให้ดีถึงจะถูกต้อง”
พระชายาอี๋ไม่กล้ารั้งตัวอยู่ต่อ รีบขอตัวทูลลาออกไปอย่างรวดเร็ว
ขันทีเป่าฉวนมองอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ในใจนั้นคิดดูถูกพระชายาอี๋ยิ่งนัก แม้ว่าจะโชคดีได้อุ้มเลือดเนื้อเชื้อไขของโอรสสวรรค์ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่คนที่ฉลาดเฉลียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้นให้กำเนิดองค์ชายก็คงหนีไม่พ้นชะตาต้องถูกหลอกใช้เป็นแน่
พอมองดูฮ่องเต้ที่อารมณ์ไม่ดีนัก ขันทีเป่าฉวนก็คิดในใจว่า เอาเถิด วันที่ดีไม่สู้วันที่บังเอิญ การที่มานั่งครุ่นคิดว่าจะเตือนฮ่องเต้ตอนไหนไม่สู้เอ่ยปากตอนนี้เลย “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้อากาศกำลังร้อน ไม่สู้องค์ท่านไปดับร้อนเสียหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากตวนอ๋อง ไปดื่มชาสักถ้วยหนึ่งดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? จะได้ถือโอกาสไปพบคุณชายน้อยซวนเอ๋อร์และคุณหนูหมิงจูด้วย?”
ฮ่องเต้เริ่มคล้อยตาม นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งมีแตงเทศส่งมาให้กระบุงหนึ่ง เลือกอันที่ใหญ่ๆ สักสองสามอันไปให้ซวนเอ๋อร์ลอง”
ขันทีเป่าฉวนตอบรับอย่างว่องไว ในใจคิดว่า สมแล้วกับที่เป็นหลานคนโต ในใจคงจะต้องคิดถึงอยู่ตลอดแน่
แน่นอนว่าเมื่อคิดถึงซวนเอ๋อร์ที่มีร่างกายอ้วนกลมและใบหน้าที่เหมือนกับภาพวาด ในใจของขันทีเป่าฉวนก็ยินดีเช่นกัน แม้จะบอกว่าเขาเป็นขันที แต่ก็เป็นมนุษย์เช่นกัน มองดูซวนเอ๋อร์ที่มีท่าทีเช่นนั้นก็เอ็นดูเป็นอย่างมาก
ดังนั้นตอนที่เลือกแตงเทศ ขันทีเป่าฉวนก็เลือกอันที่ใหญ่ที่สุด ดีที่สุดในกระบุงไปทั้งหมด
และภายในช่วงเวลาสั้นๆ ฮ่องเต้ก็นำคนขบวนหนึ่งออกเดินทาง
ทางด้านถาวจวินหลันย่อมต้องมีคนมาบอกก่อนแล้ว ดังนั้นพอฮ่องเต้มาถึงก็พอดีกับตอนที่น้ำบ๊วยเย็นถ้วยหนึ่งทำเสร็จพอดี ของว่างเป็นขนมเม็ดบัวเย็น ข้างในใส่กลีบบัวทั้งกลีบเอาไว้ ฝังเอาไว้ในเขนมเย็นที่ใสครึ่งหนึ่ง สวยงามเป็นอย่างมาก
ฮ่องเต้มองดูแล้วรู้สึกเบิกบานใจ เอ่ยชมครั้งหนึ่ง และกำชับอีกว่า “ไปเอาแตงเทศมาหั่นสักลูกหนึ่ง ให้ทุกคนได้ลองชิม”
ยามนี้ซวนเอ๋อร์นั่งอยู่บนตักของฮ่องเต้ ได้ยินเช่นนั้นก็เออออตาม “ลองชิม!”
ฮ่องเต้ยิ้มพลางบิดแก้มของซวนเอ๋อร์ ใช้ช้อนเงินตักน้ำบ๊วยเข้าปากเพื่อลองชิม ซวนเอ๋อร์รออยู่นานมากแล้ว แต่ถาวจวินหลันกลัวว่าเขากินไปแล้วจะท้องเสีย กล้าให้กินแต่ถ้วยที่ไม่ได้ใส่น้ำแข็งเท่านั้น
น้ำบ๊วยไม่ใส่น้ำแข็งนั้นรสชาติกลับไม่สามารถสู้ได้ ซวนเอ๋อร์ก็ไม่ชอบ ดังนั้นจึงยังคงจ้องมองฮ่องเต้ด้วยความรอคอยต่อไป
หลี่เย่อมยิ้มมองอยู่ข้างๆ ไม่เข้าไปขัดขวาง
“หมิงจูเล่า? อุ้มมาให้ข้าดูเสียหน่อย” ฮ่องเต้ไม่กล้าให้ซวนเอ๋อร์กินเยอะ ที่เหลือนั้นตนเองก็จัดการกินเข้าไปทั้งหมด และให้ขันทีเป่าฉวนเก็บถ้วยออกไป พอเห็นซวนเอ๋อร์ทำแก้มพองลมไม่พอใจก็กล่อมเสียงอ่อนโยน “ปู่เอาแตงเทศมา ซวนเอ๋อร์กินนี่ซี”
หลี่เย่เห็นท่าทีของฮ่องเต้ต่อซวนเอ๋อร์พลันคิดถึงเรื่องสมัยยังเด็ก ตอนนั้นเขาเองก็ได้รับความรักความเอ็นดูเช่นกัน แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าความรักความเอ็นดูนี้จะนำเรื่องร้ายแรงมาให้เขา
หากเขารู้ตั้งแต่แรกว่าจะมีผลเช่นนั้นตามมา เขายอมถูกละเลยไปเสียจะดีกว่า
หลี่เย่กุมมือแน่น จากนั้นก็คลายออก หลี่เย่พยายามรักษารอยยิ้มบางๆ อบอุ่นบนใบหน้าเอาไว้ แล้วเก็บความรู้สึกแปลกประหลาดไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่มีทางซ้ำรอยเดิม ไม่มีทางอย่างแน่นอน
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ขันทีเป่าฉวนก็นำแตงเทศเข้ามา ฮ่องเต้หยิบชิ้นหนึ่งส่งให้หลี่เย่ ยิ้มพลางพูดว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเองก็ชอบกินของหวาน ซวนเอ๋อร์ก็เป็นเหมือนเจ้า”
หลี่เย่ยิ้มพลางรับไป “เด็กๆ ล้วนชอบกินของหวานทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าหัวเราะ “ก็ใช่ ข้าจำได้ว่าเจ้าเจ็ดเองก็ชอบกินหวาน”
หยุดไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็พูดขึ้นอีกว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้ากับเจ้าเจ็ดสนิทกันทีเดียว ช่วงนี้ได้มาบ้างหรือไม่?”
หลี่เย่ส่ายหน้า “อาจด้วยการบ้านเยอะ หาเวลามาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีของฮ่องเต้เปลี่ยนแปลงไปทันที แต่ก็กลับมายิ้มและพูดเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหมิงจูก็ถูกอุ้มเข้ามา ด้วยฮ่องเต้อยากเห็นหมิงจู จึงตั้งใจปลุกหมิงจูให้ตื่น ป้อนนม และปัสสาวะก่อนอุ้มมา
ฮ่องเต้อุ้มซวนเอ๋อร์เอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกหน้าเท่าไรนัก ก่อนรับหมิงจูเข้ามาในอ้อมกอดพลางก้มมองดู
แต่เดิมหมิงจูก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า เมื่อถูกฮ่องเต้อุ้มเอาไว้ก็ไม่ร้องไห้ เพียงแค่ลืมตากลมโตสีดำจ้องมองฮ่องเต้
ซวนเอ๋อร์โถมเข้ามาดึงมืออวบอ้วนของหมิงจูเอาไว้ อาจด้วยรู้สึกคัน หมิงจูจึงหัวเราะออกมา ดวงตาก็หรี่ลง ราวกับเสี้ยวพระจันทร์
ฮ่องเต้มองนิ่ง จ้องเขม็งไปยังดวงตาของหมิงจู อดพึมพำออกมาไม่ได้ว่า “เหมือนจริงๆ ด้วย”
หลี่เย่ได้ยินชัดเจน มือของเขากำแน่น สุดท้ายก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เขารู้ว่าฮ่องเต้พูดถึงใคร
อาจด้วยฮ่องเต้มองอยู่ตลอด หมิงจูจึงร้องไห้ออกมา ฮ่องเต้พลันได้สติกลับคืนมา ฉับพลันก็หันไปมองหลี่เย่ตามสันชาตญาณ ก่อนรีบส่งหมิงจูให้แม่นม
ตลอดเวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาหารเย็นฮ่องเต้ก็อยู่ที่นี่ และใช้เวลากับซวนเอ๋อร์อยู่สักพักใหญ่
สุดท้ายตอนที่จะกลับไปนั้น อารมณ์ของฮ่องเต้ก็ถือค่อนข้างดีทีเดียว
พอฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้วถาวจวินหลันถึงได้พูดคุยกับหลี่เย่ “วันนี้ฮ่องเต้อยู่ด้วยนานเพียงนี้ เกรงว่าไม่ทันถึงวันพรุ่งนี้คงจะมีเรื่องพูดคุยกันในวังเป็นแน่ แต่พูดไปแล้ว ฮ่องเต้ว่างถึงเพียงนี้จริงหรือเพคะ? จากที่ข้าดูแล้ว เหมือนว่าตอนที่มาอารมณ์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร”
หลี่เย่หลุบตาลง “คิดว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชสำนัก” ส่วนทำไมถึงมาที่นี่ก็คงเป็นเพราะว่าต้องการมาเพื่อให้สบายใจเท่านั้น ไปที่อื่นไม่ได้รู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้เท่ามาหาตนเองที่นี่
“ต่อจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งเหน็ดเหนื่อยกับของว่างเช่นนี้อีกแล้ว ในวังหลวงมีเรื่องที่ทำไม่ได้ด้วยหรือ?” หลี่เย่ไม่อยากให้ถาวจวินหลันต้องยุ่งวุ่นวายเพื่อรับใช้ทุกครั้งที่ฮ่องเต้มา จึงพูดออกมาเนิบๆ ว่า “หากเขามาทุกวัน เจ้าก็คงกลายเป็นเช่นนี้ทุกวันมิใช่หรือไร? อีกอย่างในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ถาวจวินหลันเห็นว่าเขาไม่พอใจ จึงยิ้มและพูดว่า “หลักๆ ก็ด้วยอยากให้ท่านลองชิม ปกติแล้วท่านไม่อยู่ที่จวน ข้าเองก็ไม่มีเวลามาทำเรื่องเช่นนี้ ในตอนนี้ว่างแล้วไม่ทำเรื่องนี้จะให้ทำอะไรเล่า?”
หลี่เย่ถึงได้รู้สึกพอใจ และพูดขึ้นว่า “และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอามาให้เขาชิม”
ถาวจวินหลันแอบหัวเราะอยู่ในใจคิดว่าเขาขี้เหนียว พลางกล่อมเสียงอ่อนโยน “ไม่ว่าอย่างไรก็ทำของไว้เยอะ เอามาให้ทุกคนชิมทั่วกันก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควร อีกทั้งพระองค์เองก็ดีกับซวนเอ๋อร์อย่างมาก”
จำต้องพูดว่าฮ่องเต้ดีต่อซวนเอ๋อร์อย่างมาก ซวนเอ๋อร์คิดว่าแตงเทศอันนั้นอร่อย คนเดียวกินไปกว่าครึ่งอัน แตงเทศใหญ่ที่สุดก็มีขนาดเท่าหม้อดินเท่านั้น และเมื่อเอาเปลือกออกไปก็เหลือไม่เท่าไรแล้ว
ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้นยังกำชับขันทีเป่าฉวนให้ส่งแตงเทศทั้งหมดมา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าขันทีเป่าฉวนเตือน เกรงว่าทางด้านไทเฮาคงไม่ได้ชิมเป็นแน่
แน่นอนว่าเช่นนี้ก็เป็นการเรียกกระแสความสงสัยให้ซวนเอ๋อร์และหลี่เย่ ก่อนหน้านี้หลี่เย่พูดไม่ได้ก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้…เกรงว่าในใจของคนจำนวนมากคงรู้สึกต่างกันไปเป็นแน่
อย่างเช่นฮองเอาและคังอ๋อง
ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา หัวเราะขมขื่น “ต่อจากนี้จะเพิ่มบ่าวรับใช้ที่คล่องแคล่วให้ซวนเอ๋อร์อีกสองคน จับตามองให้เยอะเสียหน่อย”
“ไม่มีปัญหา คราวนี้จวนคังอ๋องคงจะต้องให้กำเนิดลูกชายเป็นแน่ ถึงตอนนั้นก็คงดี” เมื่อคิดถึงภาพสถานการณ์ยุ่งวุ่นวายของจวนคังอ๋อง หลี่เย่ก็หัวเราะเสียงเย็น “หวังว่าพระชายาคังอ๋องจะเปี่ยมด้วยคุณธรรมและน้ำใจเหมือนที่แสดงออกมา”
ถาวจวินหลันฟังหลี่เย่พูดเช่นนี้ ก็รู้สึกกว่าจวนคังอ๋องจะต้องเกิดอะไรขึ้นเป็นแน่?