ข่าวลือที่ตอนแรกให้หลิวเอินกระจายออกไปนั้น ในตอนนี้ได้เกิดผลตามมาแล้ว
จู่ๆ ถาวจวินหลันก็รู้สึกพอใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เพื่อไม่ให้อิงผินสงสัยนางจึงได้แสดงท่าทีตกใจอย่างพอเหมาะพอควร “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ? ข้าไม่รู้แม้แต่น้อย”
อิงผินกลับไม่สงสัย ยิ้มออกมาอย่างรับรู้อยู่แก่ใจ “พวกเจ้าอยู่ในวังหลวงทั้งวัน ไม่ได้พบเห็นคนภายนอก แล้วจะรู้เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เช่นกัน”
พูดๆ อยู่อิงผินก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ที่จริงแล้วเมื่อดูจากพฤติกรรมของตวนอ๋องก็แข็งแกร่งกว่าใครๆ ทั้งนั้น แต่ว่าคนที่มีความสามารถ มีความฝันกลับได้รับบาดเจ็บเสียอย่างนั้น”
ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้ว่าอิงผินอยากเตือนตนเองเรื่องอะไร จึงยิ้มออกมาอย่างระอา “นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่จนปัญญา กว่าท่านอ๋องจะพูดได้ก็ไม่ง่าย แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี คนอื่นจะคิดอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะไปกะเกณฑ์ได้”
อิงผินพยักหน้า “เจ้าปลงได้ก็ถือว่าดี ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอเพียงแค่ตวนอ๋องร่างกายแข็งแรงก็ดีกว่าอะไรทั้งสิ้นแล้ว”
ถาวจวินหลันหัวเราะรับคำเห็นด้วย หากชีวิตนี้หลี่เย่พูดไม่ได้ บางทีก็อาจจะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยไร้กังวลไปได้ทั้งชีวิต แต่ก็ไม่มีทางปลดภาระหน้าที่ของตนเองได้ตลอดไป ใช่ชีวิตเช่นนี้มีความหมายอะไร? แม้ว่าสายตาของนางจะไม่ได้มองการณ์ไกล แต่ก็รู้ได้ว่าชีวิตนี้ของหลี่เย่คงไม่มีทางมีความสุขไปทั้งชีวิตเป็นแน่ ท้ายสุดแล้วก็เพียงแค่ทุกข์ตรมไม่เป็นไปอย่างหวัง
ตกดึกคืนนี้ตอนที่ฮ่องเต้มาเยี่ยมซวนเอ๋อร์และหมิงจู ถาวจวินหลันก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสีหน้าของฮ่องเต้ไม่ค่อยน่าดูนัก เห็นได้ชัดว่ากำลังกริ้ว
ตอนที่ขันทีเป่าฉวนปรนนิบัติรับใช้ก็ระมัดระวังรอบคอบมากกว่าที่เคย เหมือนเกรงว่าจะทำให้ฮ่องเต้กริ้ว
ยังดีที่มีซวนเอ๋อร์และหมิงจูอยู่ด้วย ฮ่องเต้จึงไม่สามารถระเบิดไฟโกรธได้ จนกระทั่งอยู่ด้วยกันไปสักพักหนึ่ง ก็ดูเหมือนกับว่าฮ่องเต้จะอารมณ์ดีขึ้น
พอกินข้าวแล้ว ถาวจวินหลันก็เสิร์ฟน้ำชาและของว่างด้วยตนเอง เพื่อให้ฮ่องเต้และหลี่เย่พูดคุยกันอย่างสบายๆ แน่นอนว่านี่ก็เป็นความตั้งใจของฮ่องเต้
เพราะว่าฮ่องเต้ไม่ได้สั่งให้ออกไป ดังนั้นถาวจวินหลันและขันทีเป่าฉวนจึงยังอยู่คอยรับใช้
ที่ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจก็คือฮ่องเต้พูดถึงเรื่องข่าวลือภายนอกวังหลวงด้วยตนเอง ท้ายสุดแล้วก็ถามหลี่เย่ว่า “เจ้าคิดว่าเช่นไร? รู้สึกไม่ยุติธรรมหรือไม่?”
ฮ่องเต้ถามได้อย่างเฉียบคมนัก ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างเป็นกังวล จะต้องรู้ว่าคำถามนี้ไม่ตอบไม่ได้ จะพูดว่าไม่น้อยใจ? ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนเสแสร้งไปเสียหน่อย ถ้าบอกว่าน้อยใจก็ดูเหมือนจะตระหนี่เกินไปเสียหน่อย ไม่เหมาะสมกับท่าทีที่ท่านอ๋องพึงมี
ถาวจวินหลันรู้สึกร้อนรนใจแทนหลี่เย่
ปฏิกิริยาของหลี่เย่กลับแปลกไปอย่างคาดไม่ถึง เขาปัดคำถามนี้ทิ้งไปอย่างไม่คิดเลยแม้แต่น้อย ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ไม่มีท่าทีตอบคำถามนี้ด้วยซ้ำไป
นี่ถือได้ว่าไม่เหมาะกับกาลเทศะอย่างยิ่ง
แต่ปฏิกิริยาของฮ่องเต้ก็ทำให้คนคิดไม่ถึงเช่นกัน เขาไม่โมโหออกมาอย่างแปลกประหลาด และยิ่งไม่ไล่บี้เรื่องนี้ แต่กลับหัวเราะฝืนๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา และมองไปยังขันทีเป่าฉวน เห็นว่าขันทีเป่าฉวนถึงกับมีเหงื่อไหลออกมา ก็รู้สึกขบขันอยู่ในใจ คิดว่าขันทีเป่าฉวนคงรู้สึกอึดอัดกว่านางเสียอีกใช่หรือไม่?
“เจ้าใกล้จะขยับตัวได้แล้ว อีกสักวันสองวันก็เตรียมตัวกลับไปเถิด” ฮ่องเต้พลันก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
คราวนี้หลี่เย่กลับเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว “พ่ะย่ะค่ะ” แค่เพียงประโยคเดียวที่ง่ายดายและว่องไว แม้แต่คำที่มากมายกว่านี้ก็ไม่มี ดูจากท่าทีนั้นประหนึ่งว่ากลัวดอกพิกุลจะร่วง
ฮ่องเต้ก็ไม่ใส่ใจ สะบัดมือและพูดว่า “เรื่องของสามีองค์หญิงเก้าเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องสืบต่อไปแล้ว รักษาร่างกายให้ดี ข้าจะจัดการเอง และจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับพวกเจ้า”
ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าออกปากรับประกันแล้ว จะต้องรู้ว่าคำสัญญาของฮ่องเต้มีมูลค่าดั่งทองคำ และไม่มีทางกลืนคำพูดอย่างแน่นอน ในเมื่อพูดเช่นนี้แล้วก็เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่มีทางละเลยพวกเขาไปแน่ จะต้องสืบเรื่องราวนี้จนค้นพบความจริงอย่างแน่นอน
หลี่เย่มองไปยังฮ่องเต้ทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยคำหนึ่งตอบกลับไป “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มีท่าทีจำใจ หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “คอของเจ้า…ข้าให้คนเตรียมยาบำรุงคอสูตรหายากเอาไว้ เจ้าให้คนเคี่ยวยาเอาไว้ดื่มทุกวันแล้วกัน”
คราวนี้หลี่เย่พูดมากขึ้นกว่าเดิม “ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สะบัดมือ “สมควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าไม่มีความหวัง ในเมื่อตอนนี้มีความหวังแล้วก็ควรต้องบำรุงให้ดี”
ถาวจวินหลันรู้สึกว่าคำพูดนี้เหมือนกำลังอธิบายอยู่ และเหมือนรู้สึกผิด
สุดท้ายก่อนฮ่องเต้จะจากไปก็พูดอีกเล็กน้อย “พออาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้ว ก็ไปที่กลาโหมเพื่อฝึกซ้อมเสีย”
ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยและรู้สึกยินดี กลาโหมเป็นที่ๆ ดี ต่อให้หลี่เย่ไม่ได้ถืออำนาจทางการทหารด้วยตนเอง แต่ก็ฉวยโอกาสดึงคนของกลาโหมมาได้ ถึงตอนนั้นก็เท่ากับว่าอำนาจสิทธิทางการทหารอยู่ในมือของตนแล้วมิใช่หรืออย่างไร?
แต่เมื่อนางเหลือบมองหลี่เย่วูบหนึ่ง เห็นว่าหลี่เย่กลับมีท่าทีเรียบนิ่ง เหมือนไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย น้ำเสียงที่เอ่ยขอบคุณก็เรียบนิ่งเช่นกัน
พอฮ่องเต้จากไปแล้ว หลี่เย่ถึงได้ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมา แต่อารมณ์ที่แสดงออกมาทางดวงตากลับซับซ้อนอย่างพูดไม่ถูก จากที่เขาดูแล้ว นี่เป็นการตื่นจากภวังค์หลังจากที่โดนเตือนมาเท่านั้นเอง และอาจจะเป็นไปได้ที่ว่าทำแค่เพื่อแสดงให้คนอื่นดูเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเพราะติดค้างอะไรเขาอยู่มากมาย
แต่ไปที่กลาโหมได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถาวจิ้งผิงเองก็ถูกย้ายไปที่กลาโหมเช่นเดียวกัน พวกเขาสองคนร่วมมือกัน ไม่ว่าวันใดวันหนึ่งสิทธิทางการทหารจะต้องอยู่ในมือของพวกเขาอย่างแน่นอน
ถาวจวินหลันน้อมส่งฮ่องเต้ถึงประตู จากนั้นก็กลับเข้าห้องมา เห็นว่าหลี่เย่พิงหัวเตียงนั่งยิ้มเยาะอยู่ ก็ตะลึงไป ในใจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย จึงหาเรื่องพูดว่า “ในที่สุดก็กลับไปได้แล้ว อยู่ภายในวังหลวงไม่คุ้นเคยจริงๆ กลับไปจะดีกว่า”
หลี่เย่เก็บรอยยิ้มน่าขนลุกนั้นกลับไป ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่ใช่ถิ่นของตนเอง อยู่อาศัยไปก็ไม่วางใจกลับไปจะดีกว่า”
วันเวลาผ่านไปอีกห้าหกวัน วันนี้หลังจากที่หมอหลวงตรวจดูอาการและเปลี่ยนยาแล้ว ก็บอกว่าหลี่เย่ว่าสามารถขยับได้แล้ว อย่างน้อยก็ใช้ไม้ค้ำยันเดินได้สองสามก้าวด้วยตนเอง ขอเพียงแค่ไม่ให้ขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บออกแรงมากจนเกินไป
ขันทีเป่าฉวนถือว่าเป็นคนคล่องแคล่ว ตอนบ่ายให้คนจัดการนำไม้ค้ำยันอันใหม่คู่หนึ่งส่งมาให้ ไม้ที่ใช้นั้นเป็นไม้พะยูงหอม สลักดอกไม้ฝังอัญมณี กลายเป็นเหมือนของประดับที่เอาไว้ชื่นชม
ที่จริงแล้วของสิ่งนี้หลี่เย่ไม่ได้ใช้นาน จากที่ถาวจวินหลันดู เป็นแค่เพียงการสิ้นเปลืองสิ่งของ แต่ว่านางเข้าใจว่าที่ทำเช่นนี้ก็ด้วยต้องให้สมกับฐานะของหลี่เย่ ในเมื่อเป็นท่านอ๋องก็จะต้องไม่เหมือนกับประชาชนคนธรรมดาทั่วไป
ข้อศอกของหลี่เย่ได้รับบาดเจ็บจึงไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่อนุญาตให้เขาใช้ไม้ค้ำ ตอนบ่ายพอได้รับไม้ค้ำยันแล้ว นางก็เพียงแค่ให้หลี่เย่ลุกขึ้นมานั่งเล่นอยู่ภายในเรือนครู่หนึ่งเท่านั้น
หากใช้คำพูดของหลี่เย่แล้ว วันที่ผ่านมานั้นนอนอยู่ทั้งวัน กลับทำให้คนนอนจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว
ความเย็นสบายของศาลากลางน้ำทำให้หลี่เย่รู้สึกดีขึ้น ในตอนนั้นจึงพูดขึ้นว่าเมื่อกลับไปที่เรือนเฉินเซียงแล้วก็ให้ทำศาลาเช่นนี้ขึ้นมาหลังหนึ่ง เหมาะแก่การดับร้อนในช่วงฤดูร้อนอย่างมาก
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว จู่ๆ หลี่เย่ก็พูดขึ้นมา “หรือว่าพวกเราไปที่สวนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจก็เหมาะสมเช่นกัน” แต่งงานกันมาเกือบสามปีแล้ว แต่ว่าเขายังไม่เคยพาถาวจวินหลันออกไปข้างนอกเลย ต่อให้จวนตวนอ๋องจะสวยงามมากเพียงใด แต่ใช้ชีวิตอยู่ทุกวันก็คงต้องเบื่อหน่ายเหมือนกัน
ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็อดรอคอยอย่างมีความสุขไม่ได้ แต่เมื่อคิดถึงอาการบาดเจ็บของเขาตอนนี้ นางก็รู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”
“กลับไปก็ให้คนทำรถไม้ที่มีล้อหมุน ถึงเวลานั้นให้คนคอยเข็นข้าไปก็ได้แล้ว ข้าไม่ต้องออกแรงเอง ไม่เสียเรื่องเป็นแน่” หลี่เย่กลับคิดอย่างรอบคอบ “บาดแผลของข้านี้ถ้าจะพูดให้เบาก็ต้องใช้เวลารักษาอีกสองสามเดือน พอดีกับที่พวกเราไปที่สวนเพื่อใช้ชีวิตตอนฤดูร้อนได้แล้ว พอถึงปลายเดือนเจ็ดต้นเดือนแปดค่อยกลับมา”
ถาวจวินหลันฟังจนเริ่มรู้สึกคล้อยตา สุดท้ายก็ตอบตกลง พอพูดขึ้นมาแล้วนั้นในชีวิตของนางก็ยังไม่เคยออกจากเมืองมาก่อน แม้จะบอกว่าสวนอยู่ใกล้ๆ กับเมืองหลวง แต่อย่างน้อยก็ยังถือว่าเดินทางไกลแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?
สำหรับคนอื่นภายในจวนนั้น ถาวจวินหลันกลับตั้งใจว่าจะเห็นแก่ตัวสักครั้ง อย่างไรหลี่เย่ไม่พูดถึง นางเองก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมมาหลายครั้งแล้ว มีบางครั้งที่จะไม่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมบ้างคงไม่เป็นอะไร
ด้วยตั้งใจไปที่สวนเพื่อหลบร้อน ดังนั้นถาวจวินหลันและหลี่เย่จึงกระตือรือร้นเรื่องที่จะได้ออกจากวังหลวงเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งปรึกษากันเรื่องไปสวน ว่าควรจะทำเรื่องอะไรบ้าง แม้จะบอกว่าในความเป็นจริงจะทำอะไรกับอาการบาดเจ็บของหลี่เย่ในตอนนี้ไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอารมณ์เพลิดเพลินและความคาดหวังของถาวจวินหลัน
วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันก็เดินทางไปที่พระราชฐานต่างๆ ภายในวังหลวงพร้อมหลี่เย่เพื่อบอกลา เพราะว่าขาของหลี่เย่ไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ดังนั้นตลอดทางจึงต้องนั่งรถเข็น ให้คนคอยเข็นไป
สถานที่แรกที่ไปนั่นก็คือวังของไทเฮา หลายวันที่ผ่านมานี้ไทเฮาไม่ได้มาเยี่ยมหลี่เย่ ในตอนนี้เมื่อได้พบหลี่เย่แล้วก็รู้สึกตื้นตันขึ้นเล็กน้อย อดพิจารณาหลี่เย่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดรอบหนึ่งไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็กล่าวว่าหลี่เย่ด้วยดวงตาแดงก่ำ “ทำไมคนใจร้ายเช่นเจ้าถึงไม่ระมัดระวังเช่นนี้เล่า? หากเจ้าเป็นอะไรไปจะให้ข้ารับได้อย่างไรกัน?”
หลี่เย่รีบพูดปลอบอย่างรวดเร็ว “หลานก็ยังดีอยู่มิใช่หรืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฟังหลี่เย่เอ่ยปากพูดออกมานั้น น้ำตาของไทเฮาก็ไหลลงมาตามใบหน้า รั้งตัวของหลี่เย่เอาไว้ครู่ใหญ่ ไม่พูดอะไร
ถาวจวินหลันมองอยู่ข้างๆ รู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ก็ยังยิ้มและพูดว่า “องค์ไทเฮาอย่าทรงร้องไห้เลยเพคะ ตอนนี้ท่านอ๋องสุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจะต้องดีใจซีเพคะ”
ไทเฮาได้สติกลับคืนมา รู้สึกได้ว่าตนเองเผลอหลุดจากกรอบไป ทันใดนั้นก็รู้สึกเก้ๆ กังๆ แต่ก็ยังคงยิ้มอยู่ ไทเฮาหันหลังไปปาดน้ำตา และดึงหลี่เย่มามองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไทเฮาก็พูดติดๆ กันว่า “ดีๆๆๆ”
หลี่เย่จับมือของไทเฮาเอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “ต่อไปจะต้องดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาพยักหน้าติดๆ กัน ท่าทีกลับมาเป็นแบบปกติ
ตอนกลางวันไทเฮารั้งให้พวกเขาทั้งครอบครัวร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันที่วังหย่งโซ่ว แลดูสมัครสมานสามัคคีกันอย่างมาก
พอทานอาหารแล้ว ไทเฮากลับตัดใจให้หลี่เย่จากไปไม่ได้ จึงรั้งตัวหลี่เย่เอาไว้พูดคุยอีกครู่หนึ่ง แม้แต่เวลานอนกลางวันก็โดนกินเวลาไป
เพราะว่าเสียเวลาอยู่ที่ทางด้านไทเฮา ดังนั้นตอนกำลังจะไปที่วังของฮองเฮาก็เย็นแล้ว นี่กลับตรงกับความตั้งใจของถาวจวินหลัน ในเมื่อเย็นแล้ว ถ้าเช่นนั้นเวลาที่จะอยู่ที่วังของฮองเฮาย่อมต้องลดลง
ท่าทีของฮองเฮายังคงดูเป็นมิตรเหมือนที่เคยเป็นมา รั้งตัวของหลี่เย่เอาไว้ถามคำถามมากมาย จนเมื่อได้ยินว่าเสียงของหลี่เย่เริ่มแหบมากขึ้นถึงได้หยุด ก่อนยิ้มอย่างลุแก่โทษ “ดูข้าซี มัวแต่ดีใจกลับลืมว่าคอของเจ้าตอนนี้ยังพูดเยอะไม่ได้”
แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าฮองเฮากำลังตั้งใจหลอกถาม ว่าคอของหลี่เย่เหมือนคนธรรมดาหรือไม่กันแน่