ถาวจวินหลันเรียกหลิวเอินเข้ามาในจวนอ๋อง แต่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลี่เย่…ถึงแม้ว่าเรื่องที่ส่งให้หลิวเอินไปสืบนั้น หลี่เย่จะต้องรู้ไม่ช้าก็เร็วนี้ แต่ก่อนที่จะได้รับข่าวที่แน่นอน นางก็ยังไม่คิดอยากจะบอกหลี่เย่
นางอยากช่วยหลี่เย่จัดการเรื่องต่างๆ ไม่เพียงแค่เรื่องทำให้เรื่องภายในของจวนอ๋องสงบเท่านั้น แต่นางอยากช่วยจัดการเรื่องต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเขาให้มากกว่านี้
ตอนที่หลิวเอินถูกเรียกตัวมาก็รู้สึกงุนงงไปหมด ดังนั้นพอทำความเคารพแล้วจึงถามหยั่งเชิงออกมาว่า “ไม่ทราบว่าชายารองทรงเรียกข้าน้อยมา มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?”
หลิวเอินรู้สึกว่าอาจด้วยตัวเองทำเรื่องให้เจ้านายไม่พอใจ ดังนั้นจึงดูมีท่าทีระแวดระวัง
ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของหลิวเอินเป็นเช่นนั้น จึงได้แกล้งดุไปว่า “หากใครไม่รู้ คงคิดว่าข้ารังแกคนซื่ออย่างเจ้า”
หลิวเอินเห็นถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองเดาผิดแล้ว จึงได้แต่ยิ้มแล้วรีบพูดออกมาว่า “ข้าน้อยแค่เกรงว่าจะไม่มีความสามารถ ไม่ได้ทำงานที่เจ้านายมอบหมายให้สำเร็จด้วยดีก็เท่านั้นขอรับ อีกทั้งไม่ว่าเจ้านายจะให้ข้าน้อยไปทำอะไร ข้าน้อยก็ยินดีทำทุกอย่าง แล้วจะเรียกว่าเจ้านายรังแกบ่าวได้อย่างไร?”
หลิวเอินไม่เคยบอกใครมาก่อน ว่าหากไม่ได้เป็นเพราะหลี่เย่ ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาคงตายไปกี่ปีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเถ้ากระดูกไม่เหลือแล้วก็ได้ เกรงว่าแค่บุญคุณนี้ ก็ทำให้เขาเต็มใจสละชีวิตเพื่อหลี่เย่ได้
ถาวจวินหลันไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระมาก จึงหุบยิ้มเอ่ย “วันนี้ที่เรียกเจ้ามา ก็ด้วยมีเรื่องอยากให้เจ้าไปสืบให้ข้าหน่อย” สักพักก็พูดต่อว่า “แต่เรื่องนี้เจ้าจะยังบอกท่านอ๋องไม่ได้ รอจนกระทั่งข้ามั่นใจแล้วถึงค่อยบอก”
หลี่เย่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่อยากให้หลี่เย่ต้องมาคิดถึงเรื่องไม่สบายใจพวกนี้ ดังนั้นจึงอดกำชับไม่ได้
พอพูดออกไปแล้ว แน่นอนว่าหลิวเอินก็รู้สึกงุนงงและไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาเป็นคนเฉลียวฉลาด พอได้ยินว่าความหมายของถาวจวินหลันก็คือต่อไปจะบอกเรื่องนี้กับหลี่เย่ เขาก็รู้ได้ว่าปิดบังเอาไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเขาจึงรับปากทันที
ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วพูดถึงแผนการของตัวเองออกมาว่า “ข้าอยากให้เจ้าไปสืบเรื่องของจวนเฝินหยางโหว หลังจากที่จวนเฝินหยางโหวจะหมดอำนาจลงแล้ว เหลือคนอยู่เท่าไร? และมีใครที่มีความสามารถเป็นพิเศษบ้าง เจ้าไปสืบมาให้ละเอียด แล้วก็นำมารายงานข้า”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก หลิวเอินรับคำโดยไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วถึงแม้จะยังสงสัยว่าอยู่ๆ จะสืบเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร แต่เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องปิดบังหลี่เย่เอาไว้
หลิวเอินเองก็รู้สึกในใจว่า เรื่องนี้ปิดบังหลี่เย่เอาไว้จะดีกว่า ไม่อยากนั้นหากเขารู้เข้า เกรงว่าจะรู้สึกไม่สบายใจได้
ถาวจวินหลันมองออกว่าหลิวเอินดูสงสัย แต่กลับไม่ได้อธิบาย เพียงแต่พูดว่า “เจ้าไปสืบมาก็พอ ต่อไปเจ้าจะเข้าใจความหมายของข้าอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางทำร้ายจวนตวนอ๋องของพวกเรา”
หลิวเอินรับคำสั่งแล้วขอตัวออกไป พร้อมทั้งพูดว่า “ไม่เกินครึ่งวันก็รู้ผลได้อย่างแน่นอนขอรับ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะรอคำตอบจากเจ้า เจ้าจะต้องไปสืบให้ชัดเจนว่ามีใครบ้าง ระหว่างพวกเขาใครกับใครมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ใครกับใครมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน”
หลังจากหลิวเอินออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้แต่รอเขาตอบกลับมา นางเองไม่ถึงกับรู้สึกร้อนใจ แล้วก็ไม่ได้ทำให้หลี่เย่รู้สึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่พูดว่าตัวเองไปจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนอ๋องก็เท่านั้น ยังดีที่หลี่เย่ยุ่งอยู่กับการเล่นกับซวนเอ๋อร์ จึงไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก
พูดไปแล้วก็น่าขัน พ่อลูกสองคนอายุห่างกันเช่นนี้ แต่ตอนนี้กลับเล่นอยู่ด้วยกัน หลี่เย่เล่นขี่ม้าไล่กับกระดานไม้เป็นเพื่อนซวนเอ๋อร์ โดยไม่รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย เพื่อได้เล่นเป็นเพื่อนซวนเอ๋อร์แล้ว แม้แต่เวลาอ่านหนังสือของเขายังน้อยลงไปมาก
หงหลัวลอบพูดกับถาวจวินหลันว่า “ตอนแรกข้ายังคิดว่าท่านอ๋องทรงเอ็นดูหมิงจูมากกว่า แต่ตอนนี้ดูไปแล้วก็ทรงรักและเอ็นดูซวนเอ๋อร์เป็นอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้ ใครก็จะเทียบไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
คำว่า “ใคร” นั้น ก็หมายถึงเซิ่นเอ๋อร์ ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ จึงยิ้มออกมา “เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรอกรึ?” ถึงแม้ว่าเป็นลูกชายของหลี่เย่ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรซวนเอ๋อร์กับหมิงจูก็เป็นลูกของนาง หลี่เย่รักลูกของนางมากกว่า นางย่อมต้องรู้สึกดีใจ
สักพักก็พูดต่ออีกว่า “เรื่องนี้อย่าเอาออกไปพูดข้างนอก หากใครมาได้ยินเข้าจะรู้สึกไม่เหมาะไม่ควรเท่าไร” เรื่องดีใจก็อีกเรื่อง แต่ว่าเรื่องนี้ จะเอาออกไปแสดงให้คนอื่นเห็นไม่ได้
แน่นอนว่าหงหลัวเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงยิ้มแล้วรับคำ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ช่วงไม่กี่วันมานี้ติงหมัวหมัวไม่ค่อยสบาย ชายารองจะให้ไปเชิญหมอมาตรวจอาการดูหน่อยดีรึไม่?”
ติงหมัวหมัวอายุมากแล้ว ตอนนี้ไม่ได้ถวายการดูแลอยู่ข้างกายนางอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ได้รับผิดชอบจัดการเรื่องใหญ่ใดๆ เพียงแต่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนชิงกูกูไปในแต่ละวันก็เท่านั้น
ถาวจวินหลันให้ความเคารพติงหมัวหมัวอย่างมาก ในตอนแรกหากไม่ได้ชิงกูกูและติงหมัวหมัวคอยเป็นปีกซ้ายขวาที่แข็งแกร่งให้นาง ตอนที่นางเข้าจวนอ๋องมาใหม่ๆ จะตั้งหลักรวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร? อีกทั้งในตอนที่ยังไม่ได้เข้าจวนอ๋อง ติงหมัวหมัวก็ดีกับนางเป็นอย่างมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ติงหมัวหมัวยังเคยถวายการดูแลหลี่เย่มาก่อน
เพียงแต่ถึงอย่างไรในตอนนี้แต่ละวันนางก็มีเรื่องต้องจัดการไม่น้อย ดังนั้นจึงยากที่จะไม่ละเลยติงหมัวหมัวไปบ้าง ตอนนี้พอได้ยินว่าติงหมัวหมัวล้มป่วย นางจึงตกใจอย่างมาก “ติงหมัวหมัวเป็นอะไรไปรึ? อาการหนักหรือไม่?”
“บอกว่าแน่นหน้าอกเจ้าค่ะ เป็นมาหลายวันแล้ว บอกให้นางออกไปหาหมอตรวจอาการเสียหน่อยก็ไม่ยอมไป น่าเป็นห่วงจริงๆ” ตอนนี้เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ทุกอย่างในเรือนเฉินเซียง หงหลัวต่างเป็นคนจัดการ ดังนั้นนางจึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งหงหลัวก็ให้ความเคารพติงหมัวหมัวอย่างมาก ถึงอย่างไร นางก็เป็นคนที่ติงหมัวหมัวสั่งสอนมาเองกับมือ ถือว่าติงหมัวหมัวเป็นครูให้นางไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ได้ยินหงหลัวพูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมสั่งอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “สั่งให้คนไปเชิญหมอฝีมือดีมาตรวจดูอาการของติงหมัวหมัว” สักพักก็พูดต่ออีกว่า “เช่นนี้ ต่อไปเว้นระยะสักหน่อย ก็ให้คนไปเชิญหมอมาคอยตรวจสุขภาพของติงหมัวหมัวกับชิงกูกู”
หงหลัวรับคำอย่างดีใจ แล้วก็พูดต่ออีกว่า “ข้าตัดสินใจส่งสาวใช้เล็ๆ ไปคนหนึ่ง เพื่อคอยดูแลติงหมัวหมัวโดยเฉพาะแล้วเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วมองหงหลัวอย่างชื่นชม “เจ้าทำดีมาก ติงหมัวหมัวอายุมากแล้ว มีหลายเรื่องที่ทำด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว ก็สมควรส่งสาวใช้สักคนไปคอยดูแลนาง”
พูดไปพูดมา ฉับพลันก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “พูดไปแล้ว พวกเจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรคิดถึงเรื่องใหญ่ในชีวิตได้เสียที เดี๋ยวเจ้าลองไปพูดเรื่องนี้กับพวกสุ่ยปี้ดู บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ถามพวกนางดูว่ามีคนในใจแล้วหรือไม่ หากว่ามีแล้วล่ะก็ ข้าจะเป็นธุระให้พวกนาง ไม่ว่าจะเป็นคนในจวนอ๋องหรือเป็นคนข้างนอกก็ได้ทั้งนั้น”
ถึงแม้ในตอนนี้สาวใช้พวกนี้จะใช้งานได้ดีมาก นางเองก็คุ้นชินกับสาวใช้พวกนี้ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะเก็บสาวใช้พวกนี้ไว้กับตัว ไม่ยอมไปจัดการเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกนาง ดังนั้นแม้ว่าจะไม่อยากให้พวกนางออกไปถึงเพียงใด แต่เรื่องที่ควรทำก็ต้องเริ่มคิดจัดการได้แล้ว
แล้วก็พูดต่ออีกว่า “เจ้าเองก็ลองดูในจวนอ๋อง ว่ามีใครที่เหมาะสมจะเอามาค่อยๆ ฝึกฝนดูบ้างหรือไม่ อายุน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร สักสิบเอ็ดสิบสองก็ถือว่ารู้เรื่องรู้ความแล้ว ต่อไปจะได้ใช้งานได้นานหน่อย” หากเลือกคนที่อายุสิบห้าสิบหก ถึงแม้ว่าจะเรียนรู้งานได้เร็ว แต่ใช้งานได้ไม่ถึงสองปีก็จะต้องส่งออกไปแต่งงานแล้ว
พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหงหลัวก็แดงระเรื่อขึ้นมา แต่ว่านางก็รวบรวมความกล้าแล้วกัดฟันแสดงความคิดของตัวเองออกมาว่า “ไม่ว่าอย่างไร บ่าวก็ไม่มีทางไปจากชายารอง ถึงแม้จะต้องแต่งงาน บ่าวก็จะเลือกคนที่เหมาะสมจากในจวนอ๋อง เพื่อต่อไปจะได้ถวายการดูแลชายารองต่อไปได้เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วมองไปทางหงหลัว “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ แต่อย่างพูดอย่างตัดโอกาสตัวเองเช่นนี้เลย จะอยู่ดูแลข้างกายข้าหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่เจ้าอยู่อย่างมีความสุขก็พอแล้ว เรื่องแต่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผู้หญิง พวกเจ้าเคยดูแลข้ามา ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะได้อยู่อย่างมีความสุข”
ที่หงหลัวพูดออกมานั้นเป็นการรวบรวมความกล้าออกมาอย่างเต็มที่แล้ว พอได้ฟังถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ กลับรู้สึกเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก จึงหาขออ้างแล้วรีบขอตัวออกไป
ส่วนทางด้านหลิวเอินนั้น ก็ทำงานได้อย่างรวดเร็ว วันเดียวกันตอนบ่ายเข้าก็ได้เข้าจวนอ๋องมารายงาน
ถาวจวินหลันยังคงหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อแอบพบกับหลิวเอิน
หลิวเอินไปสืบเรื่องของจวนเฝินหยางโหวมาอย่างชัดเจนทุกเรื่อง
ที่แท้แล้วในตอนนี้จวนเฝินหยางโหวแบ่งออกเป็นสองพวก…พวกแรกของพวกของลูกที่เกิดจากภรรยาเอก อีกพวกคือลูกที่เกิดจากอนุ พวกลูกที่เกิดจากภรรยาเอกก็คือฝั่งแม่ของฮองเฮา และเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ที่เกิดจากแม่เดียวกัน ส่วนพวกลูกของอนุ ก็คือน้องชายต่างมารดาของเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ที่เกิดจากอนุ ตอนที่เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่อยู่ในจวนเฝินหยางโหว ยังไม่ออกเรือน ก็มักจะดูหมิ่นน้องชายที่เกิดจากอนุอยู่เสมอ แน่นอนว่าความสัมพันธ์จึงไม่ดีนัก
แต่ว่าในตอนนั้นกลับยังไม่ได้แยกกัน ถึงขั้นว่าจนถึงตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับจวนเฝินหยางโหว ก็ยังไม่แยกกัน ตอนที่แยกกันคือหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับจวนเฝินหยางโหวแล้ว ในตอนนั้นเนื่องจากฝั่งลูกของอนุเหลือผู้ชายอยู่น้อย เหลือเพียงแค่ลูกชายที่เกิดจากภรรยาเอกเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ก็มีอายุเพียงเจ็ดปี อีกทั้งสมบัติยังแบ่งให้แก่ลูกทางฝั่งอนุเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่ดินก็ไม่ได้แบ่งให้มากมายเท่าไร แค่แบ่งที่ของจวนเฝินหยางโหวออกไปให้ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ที่น่าขันก็คือ เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่รู้เรื่องนี้แล้ว กลับไม่ได้ร้องความเป็นธรรมแทนลูกทางฝั่งอนุเลยแม้แต่คำเดียว
ถาวจวินหลันฟังถึงตรงนี้แล้ว ก็อดถอนใจไม่ได้ “เด็กกำพร้ากับหญิงม่าย เกรงว่าคงจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ง่ายนัก”
หลิวเอินยิ้มแล้วพยักหน้า “ไม่ง่ายเลยจริงๆ ขอรับ ในเมืองหลวงแห่งนี้ หากไม่มีที่พึ่งก็ไม่มีทางอยู่รอดได้ คุณชายจากทางพวกฝั่งลูกอนุผู้นี้ก็ถือว่ามีความสามารถเป็นอย่างมาก อายุแค่สิบสี่ปีก็ช่วยพี่ชายตัวเองจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว ถือว่าได้รับหน้าที่ดูแลจัดการเรือนไปกว่าครึ่ง เนื่องจากเป็นญาติกัน ดังนั้นจึงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ”
ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “หรือว่าเขาจะไม่โกรธเกลียดฝั่งพวกลูกภรรยาเอกบ้างเลยหรือ? ในตอนนั้นที่แยกกัน ก็ไม่ได้มีผลดีต่อพวกเขาเลย”
“ใช่ขอรับ ดังนั้นจึงทำให้คนอื่นต่างรู้สึกนับถือ ช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าเฝินหยางโหวจะลำบาก แต่เรื่องในจวนและเรื่องจัดการธุรกิจการค้าพวกนั้นจัดการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยทีเดียว ทั้งหมดต่างเป็นการจัดการของคุณชายจากฝั่งพวกลูกอนุผู้นี้ทั้งหมด” หลิวเอินหรี่ตายิ้มแล้วถอนใจ ท่าทางดูอนาถใจ
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่สักพัก ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ถึงอย่างไรหากเป็นข้า ก็คงไม่มีทางทำเช่นนี้ได้ อย่างดีที่สุดก็แค่ไม่ติดต่อไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กันอีกก็เท่านั้น หากว่าใจร้ายมากกว่านี้หน่อย คิดว่าคงยังจะคิดแก้แค้นอีกด้วยซ้ำ” ไม่คิดถึงความแค้นความบาดหมางในครั้งก่อนเช่นนี้ นางทำไม่ได้จริงๆ หรือบางทีอาจพูดได้ว่า คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน