ตอนที่เรื่องการแปรพระราชฐานไปพระราชวังฤดูร้อนมาถึงหูของถาวจวินหลัน นางย่อมรู้สึกแปลกใจ นางมองไปทางหลี่เย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ และพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ไม่ใช่ว่าไม่ได้ออกไปวังฤดูร้อนมานานหลายปีแล้วรึ? เหตุใดปีนี้ถึงได้คิดจะเสด็จไปกะทันหัน?”
หลี่เย่คิดถึงเรื่องราชโองการลับที่ตัวเองเห็นก่อนหน้านี้ก็ยิ้ม “อาจด้วยได้ยินเรื่องที่พวกเราออกมาหลบร้อน คงคิดอยากออกมาบ้างเท่านั้น” จริงๆ แล้ว ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าฮ่องเต้ทรงหงุดหงิดใจ จึงอยากเสด็จออกมาพักผ่อนเสียบ้าง
ถาวจวินหลันพยักหน้า “แต่ว่าปีนี้อากาศก็ร้อนเร็วกว่าปีก่อนๆ” ในตอนนี้เพิ่งจะผ่านเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างไปก็ร้อนถึงเพียงนี้ รอจนถึงเดือนหกแล้ว ไม่รู้ว่าจะร้อนเพียงใด
“รอฝนตกลงมาสักครั้งก็จะดีขึ้นแล้ว” หลี่เย่วางหมากลงไปกระดานไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดไป “ถึงตาเจ้าแล้ว”
ถาวจวินหลันมองไปที่กระดานหมาก แล้วก็มองเห็นว่าพอหลี่เย่วางหมากลงไปบนกระดานแล้วหมากสีดำก็ล้อมไปเป็นวง นางจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเมื่อครู่ข้าถึงไม่ทันเห็น” ฉับพลันนางก็ไม่สนใจเรื่องเมื่อครู่ แล้วมาปวดหัวกับการคิดหาวิธีรับมือกับหมากกระดานนี้
หลี่เย่เองก็ไม่เร่ง เพียงแต่ยิ้มแล้วยกแก้วชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ดื่มด่ำกับรสชาติของชา แล้วก็ค่อยๆ หยิบของว่างขึ้นมาชิม ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นท่านอ๋องแล้วออกมาอยู่นอกวังหลวง เขาก็ไม่เคยใช้เวลาว่างและสบายใจเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงรักษาโอกาสที่จะได้อยู่ว่างๆ และสบายใจเช่นนี้เป็นพิเศษ
ถาวจวินหลันคิดไปคิดมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางชนะได้ สุดท้ายแล้วจึงแกล้งทำเป็นเบี่ยงเบนความสนใจของเขา “ใช่ซี ข้าจำได้ว่าช่วงเช้ามีมะเขือม่วงสดๆ ส่งมา กลางวันนี้ทำอะไรกินหน่อยดีหรือไม่? ข้าลงมือทำเอง อืม ช่วงบ่ายนี้ท่านอยากกินอาหารว่างอะไร? ขนมถั่วเขียว? กินคู่กับน้ำบ๊วยเย็น แล้วก็นมตุ๋นดีหรือไม่?”
นมตุ๋นเย็นทำง่ายมาก กินเข้าไปแล้วจะสัมผัสกับความนุ่มละมุนลิ้น บวกกับผลไม้แช่อิ่มกรอบๆ โรยด้วยกากน้ำตาลและดอกไม้ ทั้งน่ากินและอร่อย ทั้งยังช่วยคลายร้อนได้ดี ครั้งก่อนหลี่เย่เคยกินไปแล้ว ก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
หลี่เย่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถาวจวินหลันตั้งใจเบี่ยงเบนความสนใจของเขาอยู่? เขาทำได้เพียงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าถาวจวินหลันค่อยๆ แอบเปลี่ยนตำแหน่งหมากบนกระดานสองตัว แล้วก็ยิ้มและพูดว่า “เอาตามนั้นเถิด” อากาศร้อนๆ เช่นนี้หากได้กินนมตุ๋นเย็นๆ สักถ้วย ก็ดีมากเลยทีเดียว ที่สำคัญก็คือถาวจวินหลันลงมือทำด้วยตัวเอง
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วหยิบหมากขึ้นมาใหม่อีกตัว ตั้งใจทำเป็นครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็ค่อยๆ วางหมากลงไป ด้วยตั้งใจจะโกง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าแก้ไขอะไรมาก ได้แต่เพียงแก้สถานการณ์ที่นางกำลังจะเป็นฝ่ายแพ้เท่านั้น
นางคิดว่าจริงๆ แล้วหลี่เย่ไม่เห็น แต่นางไม่รู้เลยว่าหลี่เย่เห็นแล้วแค่แกล้งทำเป็นไม่เห็น จากนั้นก็ต่อสู้กับนางอยู่อีกสักพัก สุดท้ายถึงแม้นางจะโกงไปแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืดระยะเวลาความพ่ายแพ้ไปก็เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อครั้งนี้นางเห็นว่าตัวเองกำลังจะแพ้ ถาวจวินหลันจึงยอมแพ้ไปเสียดื้อๆ แต่สุดท้ายนางก็ยังไม่ยอมรับ จึงได้กรอกตาใส่หลี่เย่ แกล้งทำเป็นโกรธ บ่นว่า “ต่อไปข้าจะไม่เล่นหมากกับท่านอีกแล้ว ข้าเล่นทีไรก็แพ้ทุกครั้ง น่าเบื่อจริงๆ”
หลี่เย่ไม่โกรธ แต่กลับพยักหน้าอย่างเรียบเฉย “เช่นนั้น ครั้งหน้าข้าจะยอมให้เจ้าชนะสักครั้ง”
ถาวจวินหลันอึ้งไป จากนั้นทั้งรู้สึกขบขันและโกรธ ก่อนพูดอย่างโมโหว่า “มีใครทำเช่นท่านกัน?” พูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ ไม่เท่ากับคิดว่านางไม่มีวันชนะเขาได้นอกเสียจากเขาจะยอมให้หรอกรึ?
อีกทั้งพูดเช่นนี้ เขาเองไม่รู้สึกว่าหลงตัวเองเกินไปหน่อยหรือ? ไม่มีความถ่อมตัวเลยรึ?
หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันมีท่าทีเช่นนี้ รอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้นไปอีก สุดท้ายแล้วเขาก็เก็บหมากลง “พวกเราไปในครัวกันเถิด” ด้วยไม่มีเรื่องอะไรต้องทำ ดังนั้นเวลาที่ถาวจวินหลันยุ่งอยู่ในครัว หลี่เย่ก็จะคอยยืนดูอยู่ข้างๆ
ถาวจวินหลันเหนื่อยใจอยู่หลายต่อหลายครั้ง ยังดีที่ห้องครัวมีขนาดใหญ่พอ อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงแค่ส่วนเดียว ไม่เช่นนั้นหลี่เย่จะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? ถึงแม้จะไม่ได้ทำอาหาร แต่เวลาที่ควันจากกาน้ำร้อนพุ่งออกมา ห้องครัวก็เหมือนกับอยู่ในซึ้งนึ่ง
ดังนั้นห้องครัวจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ห้องด้านหลังจะเป็นห้องที่มีเตา ส่วนห้องด้านหน้าจะไม่มีเตา เอาไว้เพื่อเตรียมวัตถุดิบโดยเฉพาะ
ถาวจวินหลันกรอกตาใส่หลี่เย่ แล้วบ่นอย่างกรุ่นโกรธ “ทุกครั้งที่ข้าแพ้ ท่านจะต้องทำเช่นนี้ตลอด”
หลี่เย่นิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างขบขัน “ข้าคิดว่าเรากำลังพนันกันอยู่เสียอีก?”
ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ทำท่าโกรธ นางค้นพบแล้วว่า พอหลี่เย่ว่างงานเช่นนี้ เขากลับยิ่งชอบแกล้งหยอกนางมากขึ้น
ทั้งสองคนเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน ถาวจวินหลันค้นหาวัตถุดิบที่ต้องใช้ เจอต้นหน่อไม้อ่อนตะกร้าหนึ่ง จึงแย้มยิ้มทันที “หน่อไม้อ่อนนี้เอามาผัดกับเนื้ออร่อยอย่างมาก ทั้งในวังหลวงและในจวนอ๋องจะมีแต่หน่อไม้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น หน่อไม้อ่อนเช่นนี้ไม่เคยส่งเข้ามาก่อน หน่อไม้อ่อนแบบนี้ถึงจะเป็นหน่อไม้ที่อร่อยที่สุด”
ต้นหน่อไม้อ่อนชนิดนี้จะมีในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อนเท่านั้น ขนาดรวมเปลือกหน่อไม้ด้วยแล้วก็ยังใหญ่เพียงแค่เพียงนิ้วโป้งมือเท่านั้น ส่วนที่ใหญ่มากก็จะใหญ่กว่านิ้วโป้งเพียงเล็กน้อย ยังไม่ใหญ่เท่านิ้วมือสองนิ้ว รอจนกระทั่งปลอกเปลือกออกไปแล้ว ก็ยิ่งเหลือขนาดเล็กลงไปอีก หน่อไม้ชนิดนี้จะมีสีเขียวอ่อน มองไปแล้วชวนให้รู้สึกสดชื่น
พอหั่นเป็นชิ้นแล้วเอาไปต้มเพื่อให้หมดรสขมแล้ว ก็จะคงไว้ซึ่งความสด จากนั้นก็ใส่น้ำมัน เนื้อหมูชิ้นเล็กๆ เป็นลูกเต๋า ขิงและกระเทียมบวกกับซอสถั่ว และใส่หน่อไม้อ่อนเป็นขั้นตอนสุดท้าย รอจนกระทั่งได้กลิ่นหอมของต้นหน่อไม้อ่อนโชยมา ก็ยกขึ้นใส่จานได้
ครั้งนั้นถาวจวินหลันไปเที่ยวที่บ้านในชนบทกับท่านพ่อ ถึงได้ลองกินอาหารชนิดนี้เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แต่นางกลับไม่เคยลืมรสชาติแสนอร่อยนั้นเลย เห็นได้ชัดว่ารสชาตินั้นอร่อยมากจริงๆ
หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันพูดอย่างตื่นเต้น เขาเองก็รู้สึกสนอกสนใจเช่นกัน…ถึงแม้ว่าส่วนมากจะดูท่าทางของนางมากกว่าตั้งใจฟัง แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหามิใช่หรือ? นี่ก็ถือว่าต่างคนต่างชอบในแบบของตัวเอง
ถึงแม้จะมีแม่ครัว แต่ในเมื่อถาวจวินหลันลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว สำหรับนางแล้ว ลงมือทำด้วยตัวเองยิ่งมีความหมายมากกว่า ถึงอย่างไรโอกาสที่จะมีเวลาเช่นนี้ก็มีน้อยมาก รีบถือโอกาสในตอนนี้ใช้ชีวิตดั่งเช่นคู่สามีภรรยาแบบชาวบ้านทั่วไป ก็ถือว่าได้ลองเปลี่ยนวิธีชีวิตใหม่ๆ บ้าง
ทำเรื่องพวกนี้ไม่ถือว่าเหนื่อย ดังนั้นหลี่เย่จึงไม่ได้ห้าม จริงๆ แล้วการใช้ชีวิตแบบนี้เขาเองก็รู้สึกสงบและสบายใจเช่นกัน การดูแลซึ่งกันและกันเช่นนี้ ทำให้เขาหลงใหลและอยากให้เป็นเช่นนี้ต่อไป…ถึงอย่างไร หลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไป และกลับไปเมืองหลวงแล้ว เขาก็ต้องกลับไปเป็นตวนอ๋อง ส่วนถาวจวินหลันก็ต้องกลับไปเป็นชายารองตวนอ๋อง เรื่องวุ่นวายต่างๆ มีให้จัดการไม่น้อย จะมีเวลามาอยู่อย่างสบายใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
แน่นอนว่า เวลาที่พวกเขาใกล้ชิดกันเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่ได้เข้ามารบกวนอย่างรู้หน้าที่…จิ้งหลิงชินกับเรื่องนี้แล้ว ส่วนกู่อวี้จือก็สั่งให้คนคอยกันนางเอาไว้ พอหลายๆ ครั้งไป กู่อวี้จือเองก็ ‘รู้หน้าที่’ ไปเอง
แต่ว่าการใช้ชีวิตของพวกเขาเช่นนี้นั้น กลับทำให้องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้ารู้สึกอิจฉา จนถึงขั้นพยายามทำตาม แต่พวกองค์หญิงไม่เคยเรียนเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงไม่มีทางลงมือทำด้วยตัวเองได้ทั้งหมด ได้แต่ให้คนคอยช่วยบอกแล้วลงมือทำเองในขั้นตอนสุดท้ายก็เท่านั้น
ไม่อย่างนั้น องค์หญิงทั้งสองคนนี้จะต้องลงมือหยิบมืดขึ้นมาหั่นผักด้วยตัวเองหรือ? เกรงว่ายังไม่ทันจะหยิบมีดก็คงถูกคนแย่งไปเสียก่อนแล้ว แม้แต่พระสวามีของทั้งสองคนก็ไม่ยอมให้องค์หญิงทั้งสองทำเรื่องพวกนี้ หากว่าถูกมีดบาดขึ้นมา แล้วจะทำเช่นไร?
ถาวจวินหลันกลับเสนอความเห็น ว่านางจะเข้าครัวแล้วเชิญองค์หญิงทั้งสองพร้อมกับพระสวามีมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่หลี่เย่กลับปฏิเสธเรื่องนี้ทันที แล้วพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “หากพวกนางเห็นว่าเจ้าเก่งถึงเพียงนี้ แล้วรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ จนดื้อดึงจะเรียนให้ได้ขึ้นมา แล้วเกิดบาดเจ็บจะทำอย่างไร?”
จริงๆ แล้ว ในใจของหลี่เย่กลับคิดว่า หากซวนเอ๋อร์ไม่ได้เป็นลูกของเขา แม้แต่ซวนเอ๋อร์ก็อย่าคิดจะมาทำให้ถาวจวินหลันต้องเหนื่อย เพียงแค่ทำให้เขากินแค่คนเดียวก็พอแล้ว คนอื่นไม่เกี่ยว
ถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องนี้ จึงคิดว่าก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ต่อจากนี้ไปเวลาอยู่ต่อหน้าองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้านางจะไม่พูดถึงเรื่องเข้าครัวอีกแล้ว แม้แต่องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าจะมาขอให้นางสอน นางก็จะบอกให้ล้มเลิกความตั้งใจไปว่า “เหตุใดฐานะอย่างพวกเราต้องลงมือด้วยตนเองเล่า? ก็แค่ทำเล่นๆ ไป เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น”
องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าคิดว่าถาวจวินหลันทำเช่นนั้นจริงๆ จึงไม่ได้คิดจะลงมือทำอาหารด้วยตัวเองอีก ทำให้พระสวามีของทั้งสองโล่งใจได้ หลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในตัวถาวจวินหลัน แล้วก็เอ่ยปากชมต่อหน้าหลี่เย่ ส่วนหลี่เย่ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ดูไปแล้วมีท่าทีให้คนอื่นเดาได้ยากว่ากำลังคิดอะไร
เพียงแต่วันเวลาที่สุขสงบเช่นนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานองค์หญิงแปดและพระสวามีก็จะต้องเดินทางกลับเมืองหลวง ยังดีที่องค์หญิงเก้าและจิ้งผิงยังอยู่ต่ออีกสักพัก แต่ว่าทุกวันต่างก็มีแผนเดินทางออกไปเยี่ยมเยียนคนนั้นคนนี้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำพุร้อนช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้จริงๆ หรือเป็นเพราะหมอหลวงรักษาเก่ง บาดแผลของหลี่เย่จึงหายไวขึ้นมาก บาดแผลที่แขนก็เหลือเพียงแค่รอตกสะเก็ดและค่อยๆ สมานกัน
แม้แต่ที่ขาก็ค่อยๆ ถอนไม้ค้ำได้ภายในระยะเวลาครึ่งเดือน ถึงแม้จะไม่กล้าใช้แรงมาก แต่อย่างน้อยก็สะดวกสบายขึ้นเป็นอย่างมาก
วันนี้หลี่เย่เสนอความคิดว่าจะออกไปแช่น้ำพุร้อน บอกว่าเรื่องบาดแผลไม่มีปัญหาอะไรแล้ว การแช่น้ำพุร้อนยังช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี จะเป็นผลดีแก่แผลที่บาดเจ็บ
แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่เชื่อ แต่ก็ห้ามหลี่เย่ไม่ได้ นางจึงได้แต่ถามหมออย่างละเอียดรอบคอบแล้ว หลังจากมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ถึงได้ยอมตกลง
เนื่องจากขายังใช้การไม่ถนัด ดังนั้นหลี่เย่จึงได้แต่นั่งอยู่ในบ่อน้ำพุ อีกทั้งมือยังต้องวางอยู่บนไม้กระดาน เพื่อไม่ให้แผลที่บาดเจ็บโดนน้ำ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยังต้องมีคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ ถึงจะดีที่สุด
หลี่เย่กลับไม่ยอมเรียกหวังหรูมาถวายการดูแล เพียงแต่มองมาทางถาวจวินหลัน ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปาก แต่ความหมายก็ถือว่าชัดเจนอย่างมาก
แน่นอนว่าถาวจวินหลันเขินอายและไม่ยอม แต่หลี่เย่ก็ยังคงดึงดัน อีกทั้งยังพูดจาโน้มน้าวเสียจนนางกังวลว่าหวังหรูจะดูแลได้ไม่ดี จึงไปดูแลด้วยตัวเอง
แต่ว่าถึงแม้ว่าจะรับคำแล้ว แต่นางกลับทำข้อตกลงกับหลี่เย่ก่อน ห้ามทำเรื่องอื่นนอกเหนือจากการแช่น้ำพุร้อนเป็นอันขาด เพียงแต่อนุญาตให้แช่น้ำพุร้อนเท่านั้น
หลี่เย่รับคำ แต่ว่ากลับมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากและดวงตาที่เจ้าเล่ห์ กลับทำให้ถาวจวินหลันใจเต้นไม่เป็นจังหวะทันที
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ถาวจวินหลันคาดเดาไม่ผิดเลยจริงๆ
คำพูดที่สัญญากันเอาไว้ หลี่เย่ไม่ได้ปฏิบัติตามเลยแม้แต่ข้อเดียว แล้วยังละเมิดกฎไปหลายข้อ
รอจนกระทั่งแช่น้ำพุร้อนเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันไม่เพียงแต่รู้สึกสบายตัว กลับรู้สึกเหนื่อยเพลียอีกทั้งยังปวดเมื่อยไปทั้งตัว ส่วนหลี่เย่กลับมีท่าทีสดชื่น
ขณะที่ทั้งสองกำลังพักผ่อนกันอย่างสบายใจนั้น ในเมืองหลวงกลับเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบตามมาไม่น้อย ถึงขั้นว่าค่อยๆ เกิดผลกระทบมาถึงพวกเขาแล้ว