เหิงกั๋วกงถวายราชโองการด้วยตัวเอง เรื่องการแต่งตั้งคังอ๋องขึ้นเป็นองค์รัชทายาท บรรดาขุนนางต่างเห็นด้วย อีกทั้งเสียงต่างก็มากขึ้นทุกครั้งเวลาเข้าว่าราชการ วันต่อมาตอนว่าราชการ ก็มีการเรียกร้องเช่นนี้อีกครั้ง
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ตบโต๊ะทนไม่ไหวแล้ว พร้อมทั้งจ้องมองบรรดาขุนนางด้วยสายตาเย็นชาและลุกวาบเป็นไฟอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าเคยพูดแล้วว่า เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง พวกเจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้อีก!”
ความหมายที่พูดออกไป ก็คือบอกให้บรรดาขุนนางพวกนี้หุบปาก
แต่เห็นได้ชัดว่าเหิงกั๋วกงไม่คิดเช่นนั้น เขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมหุบปาก แต่กลับก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยปากออกมาว่า “ฮ่องเต้ทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! การแต่งตั้งองค์รัชทายาทจะทำให้บ้านเมืองสงบขึ้น! ยิ่งแต่งตั้งองค์รัชทายาทเร็วเพียงใด ก็ยิ่งรวบรวมจิตใจของราษฎรได้เร็วเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ! ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทั้งสามพระองค์ หลังจากขึ้นครองราชย์แล้วก็แต่งตั้งองค์รัชทายาทในทันที! แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
ความหมายที่พูดออกมา ก็คือหากไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท จิตใจของราษฎรก็จะไม่สงบ พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าแต่งตั้งองค์รัชทายาทถึงจะทำให้จิตใจของราษฎรสงบได้ เช่นนั้นไม่เท่ากับหมายความว่าฮ่องเต้ไม่สามารถทำให้ราษฎรอยู่อย่างสงบสุขได้รึ!
ฮ่องเต้กริ้วจนหน้าเขียว อดถามออกไปอย่างตำหนิไม่ได้ว่า “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า ข้าไร้ความสามารถถึงเพียงนี้! ข้าอยากถามเหิงกั๋วกงว่า ข้าทำไม่ดีตรงที่ใดรึ? ถึงไม่สามารถรวบรวมจิตใจของราษฎรได้?”
ครู่หนึ่งสายตาก็กวาดไปทางขุนนางทุกคนในตำหนัก ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่รู้ว่า คังอ๋องได้ใจจากราษฎรไปมากเช่นนี้ พวกเจ้าบอกข้าสิว่า คังอ๋องทำอะไรไปบ้าง ถึงได้ใจของราษฎรไปเช่นนี้? เขานำทหารออกไปรบเพื่อความสงบของประเทศ หรือว่าเขาเก่งกาจทั้งบู๊บุ๋นและแผนการปกครองประเทศเช่นนั้นรึ? หรือว่า เขาเก่งเรื่องการหาพรรคพวกมาคอยช่วยเหลือกันแน่?!”
นี่พูดได้ว่าเป็นการต่อว่าและตำหนิ พอพูดถึงเรื่องการหาพรรคพวกเช่นนี้ พวกที่ร้องขอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาท ต่างก็มีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากกันเป็นแถว
ทว่าก็มีคนไม่น้อยที่ไม่หวาดกลัว เพียงแต่ยืนนิ่งเฉย เหิงกั๋วกงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
พริบตาเดียวคนจำนวนมากภายในห้องพลันเงียบกริบ
ส่วนฮ่องเต้กลับค่อยๆ เอ่ยปากตรัสออกมาว่า “ข้าเคยพูดแล้วว่า ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้ เหิงกั๋วกงรู้ดีแต่ก็ยังขัดคำสั่ง ข้าควรลงโทษเจ้าเช่นไร?”
เพียงแค่พูดถึงเรื่องรับโทษ หากเป็นคนอื่นจะต้องรีบคุกเข่ายอมรับความผิดทันที อีกทั้งยังต้องขอร้องให้ฮ่องเต้ทรงประทานอภัยที่ตัวเองทำผิดไป แต่เหิงกั๋วกงกลับยังอยู่อยู่ที่เดิมอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งยังไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่กลับโต้แย้งด้วยเสียงอันดัง “เรื่องนี้กระชั้นชิดเข้ามาทุกทีแล้ว ฮ่องเต้จะทรงยืดเวลาต่อไปอีกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “กระชั้นชิดเข้ามาทุกทีแล้วรึ?”
“หากไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท นับวันก็ยิ่งทำให้ราชสำนักสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ! และยิ่งมีคนไม่น้อยก่อเรื่องเลวร้ายขึ้น เพื่อวางแผนทำการใหญ่พ่ะย่ะค่ะ! แต่งตั้งองค์รัชทายาทในเร็ววัน เพื่อตัดโอกาสนี้ไปเสียให้หมดสิ้น ถึงจะสามารถทำให้บ้านเมืองสงบได้พ่ะย่ะค่ะ!” วันนี้เหิงกั๋วกงดูเหมือนขุนนางผู้ภักดีที่ยอมสละตัวเองเพื่อประเทศชาติ ทุกอย่างที่พูดดูมีเหตุมีผลและจริงจัง
เหิงกั๋วกงทำเช่นนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่เห็นด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าจำนวนลดลงกว่าตอนแรกอยู่มาก
ฮ่องเต้หรี่ตาลงเล็กน้อย “ทำเรื่องเลวร้ายรึ? เหิงกั๋วกงพูดถึงใครกัน?”
เหิงกั๋วกงอึ้งไป แต่กลับเอ่ยชื่อออกมาตรงๆ ไม่ได้ เพียงแค่พูดว่า “องค์ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วมีอยู่มาก หากว่ายังไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท เกรงว่า…”
“ข้ามีลูกชายอยู่แค่ไม่กี่คน ตอนนี้ที่โตเป็นหนุ่มก็มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้น เหิงกั๋วกง สรุปว่าเจ้าหมายถึงใครกันแน่?” ฮ่องเต้กลับไม่ยอมให้ทุกอย่างคลุมเครือต่อไปเช่นนี้ จึงบีบบังคับให้ยอมปริปากพูดออกมา
เหิงกั๋วกงกัดฟัน “ตวนอ๋อง จวงอ๋อง อู่อ๋อง ต่างก็มีความสามารถและมีพวกพ้อง โดยเฉพาะตวนอ๋องที่มีความดีความชอบมากที่สุด อีกทั้งยังได้รับความรักและเมตตาจากฮ่องเต้กับไทเฮาเป็นอย่างมาก หากเวลาผ่านไปนานกว่านี้ เกรงว่าอาจจะได้รับความรักมากจนเกิดความคิดเป็นอื่นไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
พูดไปพูดมา คนที่เหิงกั๋วกงกลัวก็มีเพียงแค่หลี่เย่เท่านั้น
เรื่องนี้ ฮ่องเต้ทรงทราบแต่แรก ทว่าก็บีบบังคับให้เหิงกั๋วกงพูดยอมออกมาวันนี้ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างไม่ร้อนอกร้อนใจว่า “ได้รับความรักมากเกินไปรึ? เกิดความคิดเป็นอื่นไปได้รึ? ในเมื่อเป็นลูกชายของข้าทั้งนั้น เช่นนั้นก็จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถและคู่ควร! คังอ๋องสู้น้องชายของตัวเองไม่ได้ แล้วเขาจะโทษคนอื่นได้รึ?”
ตอนที่ฮ่องเต้ตรัสออกมา น้ำเสียงฟังดูเขร่งขรึม ไม่สนใจว่าคำพูดนี้จะเกิดผลกระทบเช่นไรเลย หรือบางที เหมือนคิดไม่ถึงว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
แต่สำหรับคนที่อยู่ในฐานะฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้ย่อมรู้ว่าทุกคำพูดของตัวเองมีความสำคัญมากเพียงใด ถึงขั้นก่อให้เกิดลมพายุลูกใหญ่เลยมิใช่หรือ? ดังนั้นจะบอกว่าไม่รู้ เช่นนั้นก็คงโป้ปด แต่จะบอกว่าคิดไม่ถึง เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
ดังนั้นจึงพูดได้เพียงข้อเดียวว่า ตั้งใจพูด
ฮ่องเต้มองบรรดาขุนนางทั้งหลายหน้าเปลี่ยนสี มุมปากของเขาพลันยกสูงขึ้นเล็กน้อย เขาตั้งใจพูดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้จริงๆ
“ทว่าตั้งแต่โบราณมา ต่างก็ตั้งแต่งตั้งลูกชายที่เกิดจากภรรยาเอกและลูกชายคนโตพ่ะย่ะค่ะ!” เหิงกั๋วกงได้ยินคำพูดของฮ่องเต้แล้วเห็นว่าไม่เข้าที จึงร้อนใจทันที พูดเร็วขึ้นและน้ำเสียงก็ยังแหลมสูงขึ้นไม่น้อย “อีกทั้งคังอ๋องเป็นคนมีคุณธรรมและมีเมตตา รู้อะไรควรไม่ควร ทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมทุกประการจนหาข้อผิดพลาดไม่ได้! คังอ๋องเหมาะสมที่จะเป็นองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรื่องการแต่งตั้งใครเป็นองค์รัชทายาท ข้าเคยบอกแล้วว่า ข้าจะตัดสินใจเอง!” ฮ่องเต้หุบยิ้ม แล้วแสดงเจตนาของตัวเองให้ชัดเจนอีกครั้ง สุดท้ายยังจ้องไปทางเหิงกั๋วกงด้วยสายตาคมกริบ “เหิงกั๋วกง หากเจ้ายังทำเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”
ฮ่องเต้เอาจริงแล้ว เหิงกั๋วกงเองก็รู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย ลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก
ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้น ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็โบกๆ มือ “จบการว่าราชการ!” พูดจบแล้วก็ลุกขึ้นแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันที
ขุนนางทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา แล้วก็พากันถอนใจค่อยๆ ลุกขึ้น กรูกับออกจากตำหนักใหญ่
เหิงกั๋วกงก็ทำได้เพียงแค่ออกไปก่อนเท่านั้น โดยทีสีหน้าไม่ดีนัก
ขุนนางขั้นห้าคนหนึ่งเข้ามาประจบประแจง “ท่านกั๋วกงอย่าโมโหไปเลย ฮ่องเต้ก็แค่ทรงกริ้วไปชั่วครู่เท่านั้น ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพระอนุชาของฮองเฮา อีกทั้งยังมีความดีความชอบอยู่มาก ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่มีทางหักหน้าท่านได้หรอก”
เหิงกั๋วกงกำลังโกรธอยู่ จะอยากฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้ที่ไหน? พอเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มอย่างประจบประแจง ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจทันที จึงยื่นมือออกมาผลัก “ไสหัวไป!”
สำหรับตำแหน่งอันดับหนึ่งอันดับสองในราชสำนัก แน่นอนว่าเหิงกั๋วกงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าขุนนางขั้นห้าผู้นี้
ทว่าทำหยาบคายเช่นนี้ก็ดูออกจะเกินไปหน่อย
ขุนนางขั้นห้าผู้นั้นถูกผลักจนเซถลาไป เกือบจะประคองตัวเอาไว้ไม่อยู่แล้วล้มลงไปกองกับพื้น แต่หลังจากประคองตัวได้แล้วกลับไม่กล้าแสดงอาการโกรธเลยแม้แต่น้อย ได้แต่เดินตามกลุ่มคนออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เหิงกั๋วกงกลับถึงจวนด้วยความโกรธ จากนั้นก็สั่งให้ฮูหยินของตัวเองไปที่จวนคังอ๋อง
หลังจากที่พระชายาคังอ๋องได้พบกับน้าสะใภ้แล้ว ก็รีบร้อนเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮา
แต่ว่า นั่นก็เป็นเรื่องต่อไป อีกด้านหนึ่งฮ่องเต้กลับสู่ห้องบรรทมของตัวเองด้วยความโกรธ ขณะที่นางกำนัลกำลังถวายการรับใช้ในการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ฮ่องเต้กลับทนความหงุดหงิดในใจเอาไว้ไม่ได้ กระชากหมวกทองของตัวเองแล้วเขวี้ยงลงไปบนโต๊ะอย่างแรง จากนั้นก็พูดอย่างเกรี้ยวโกรธว่า “จะต้องมีสักวัน ที่ข้าต้องอดพูดหยาบคายไม่ได้!”
นางกำนัลผู้นั้นตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม ขันทีเป่าฉวนเองก็ตกใจจนสะดุ้งเช่นกัน เขามองเห็นหมวกทองใบนั้นที่ตอนนี้บิดเบี้ยวไปหมด แต่เขากลับไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ ได้แต่รีบเข้าไปปลอบให้ฮ่องเต้ทรงหายกริ้ว “ฮ่องเต้อย่ากริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้พวกเขาคุ้มคลั่งไปสักพักเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเยือกเย็น “ใช่แล้ว ข้าจะทำให้พวกเขาคุ้มคลั่งไปสักพัก ข้าจะคอยจับตามองเอาไว้ให้ดี ว่าเขาจะสามารถคุ้มคลั่งได้ถึงแค่ไหนกันเชียว!”
ยังมีอีกคำที่ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสออกมา เขาอยากดูว่า สรุปว่าคนที่เป็นฮ่องเต้อย่างเขามีอำนาจ หรือว่าเหิงกั๋วกงมีอำนาจกันแน่!
รอจนกระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ทรงนิ่งเงียบอยู่สักพักก็รับสั่งว่า “เอาตราประจำตัวข้ามา ข้าจะเขียนราชโองการ!”
ขันทีเป่าฉวนตกใจ ในใจก็คาดเดาไปอย่างงุนงง แต่ว่าสุดท้ายเขากลับไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป แล้วก็ไม่กล้าแสดงอาการใดๆ ทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่รับคำเนิบๆ แล้วก็รีบร้อนออกไปจัดเตรียมของ
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนโต๊ะทรงงานและครุ่นคิดเรื่องราชโองการนี้
หลังจากเขียนราชโองการเสร็จอย่างรวดเร็วด้วยความคล่องแคล่ว รอจนกระทั่งตอนหยุดพู่กันลง อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็กวักๆ มือ ฮ่องเต้ถึงขั้นเผยรอยยิ้มออกมา “ประทับตรา”
ขันทีเป่าฉวนรีบหยิบตราประทับหยกส่งให้ฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้ทรงรับตราประทับหยกเอาไว้ในมือ จากนั้นก็เอาไปประทับกับสีแดง แล้วกดลงไปบนพระราชโองการนั้น หลังจากที่พระราชโองการฉบับนี้ได้ประทับตราลงไปแล้ว ก็ถือว่ามีผลโดยสมบูรณ์
ขันทีเป่าฉวนมองไปที่พระราชโองการที่ตอนนี้น้ำหมึกยังไม่ทันแห้ง ในใจก็รู้สึกกังวลแทนใครบางคนขึ้นมา แต่ว่าที่มากกว่านั้นก็คือความรู้สึกเย็บวาบที่ขึ้นมาจากเท้า เกรงว่าแผ่นดินนี้จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว ต่อไปคงจะไม่สงบเช่นนี้อีก
แน่นอนว่า ขันทีเป่าฉวนรู้ดีแก่ใจ เพียงแค่เขาเกาะฮ่องเต้ที่เปรียบดังต้นไม้ใหญ่เอาไว้ให้แน่น เขาก็ไม่มีวันตกต่ำไปได้
พอเก็บตราประทับเรียบร้อย และน้ำหมึกบนพระราชโองการแห้งแล้ว ขันทีเป่าฉวนก็ถามฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท พระราชโองการฉบับนี้จะให้ประกาศออกไปเมื่อไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ตอนนี้นั่นแหละ หลังจากให้คนคัดลอกราชโองการฉบับนี้แล้วเจ้าก็ขี่ม้าเร็วไปมอบราชโองการนี้ให้กับตวนอ๋องด้วยตัวเอง บอกตวนอ๋องว่า หลังจากกลับเมืองหลวง เขาก็จะได้เปลี่ยนฐานะเป็นชินอ๋องแล้ว!”
ฮ่องเต้ทรงตรัสถึงเนื้อหาในพระราชโองการตรงๆ เช่นนี้ ขันทีเป่าฉวนก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ฉีกยิ้มออกมา “บ่าวไปครั้งนี้ เกรงว่าจะต้องได้รางวัลไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้าไปครั้งนี้ ก็สมควรได้รับรางวัลแล้ว!” สักพัก ท่าทีก็ดูเคร่งขรึมลงไป แล้วพูดเสียงเบาว่า “เจ้าเอาคำของข้าไปบอกเขาด้วย บอกตวนอ๋อง ต่อไปจะต้องระวังตัวให้มาก! ไม่ว่าในเวลาใด ความปลอดภัยของเขาถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!”
ฮ่องเต้ตรัสว่าสำคัญ ขันทีเป่าฉวนก็ไม่กล้าทำลวกๆ รีบรับคำสั่งของหนักแน่น แล้วก็ถามขึ้นว่า “จะต้องเชิญตวนอ๋องกลับเมื่อหลวงในทันทีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? บ้านพักแห่งนั้นถึงแม้จะไม่เลว แต่ถึงอย่างไรทหารคุ้มกันก็ยังน้อยเกินไป”
ฮ่องเต้ก็ทรงกังวลใจเรื่องนี้ แต่ว่าคิดแล้วก็ส่ายหัว “เจ้าพาคนไปอีกสักกลุ่มหนึ่งก็พอ แล้วก็ไม่ต้องให้พวกเขากลับมา ให้พวกเขาคอยดูแลตวนอ๋อง” รอจนกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว เกรงว่างานของตวนอ๋องคงมีไม่น้อย อีกทั้งให้เขาได้พักผ่อนอย่างสบายใจบ้าง จะได้รักษาบาดแผลที่บาดเจ็บให้หาย
อีกไม่นานเขาเองก็จะออกจากวังไปพระราชวังฤดูร้อนเช่นกัน สถานการณ์ในตอนนั้นก็คงดีขึ้นมาก
หลังจากรับสั่งเสร็จแล้ว ฮ่องเต้ก็หัวเราะแล้วรับสั่งว่า “ไป รีบไปวังหย่งโซ่ว! นำข่าวนี้ไปทูลไทเฮา ให้ไทเฮาทรงดีพระทัย”
ขันทีเป่าฉวนยิ้มรับคำ แล้วพูดว่า “ไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้แล้ว คิดว่าจะต้องดีพระทัยอย่างมากเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ถึงตอนนั้นหากทรงอารมณ์ดี ไม่แน่ว่าบ่าวก็อาจจะได้รางวัลอีกพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดัง “บ่าวคนนี้ วันๆ ได้แต่คิดถึงเรื่องพวกนี้!”