หลังจากคัดลอกพระราชโองการและประกาศออกไปทั่วราชสำนักแล้ว ขันทีเป่าฉวนก็รีบเดินทางออกไป
ส่วนในเมืองหลวงก็เกิดคลื่นกระทบลูกใหญ่จากพระราชโองการฉบับนี้ ตั้งแต่โบราณมา ถึงแม้จะพูดได้ว่าองค์ชายและพระนัดดาจะไม่ได้มีมากนัก แต่ถึงอย่างไรก็มีไม่น้อย แต่ในบรรดาองค์ชายและพระนัดดานั้น ตั้งแต่เกิดจนตายคนที่จะได้แต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ก็ถือว่ามีน้อยและหากได้ยากเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังหนุ่มแน่นเหมือนหลี่เย่ก็ยิ่งมีให้เห็นน้อยไปอีก
แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ในบรรดาองค์ชาย อยู่ๆ ตวนอ๋อง…ไม่ใช่ซี ตวนชินอ๋อง ยามนี้ถือว่าตวนชินอ๋องมีฐานะสูงกว่าองค์ชายคนอื่นๆ ในพริบตา กลายเป็นคนที่มีฐานะสูงส่งที่สุด
อีกทั้งท่าทีเช่นนี้ ดูเหมือนเป็นการเตือนทุกคนว่าในบรรดาเลือดเนื้อเชื้อไขมากมายของฮ่องเต้ คนที่สำคัญที่สุดก็คือลูกชายคนรอง หากหลี่เย่ยังเป็นใบ้ก็แล้วไป ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางสืบราชสมบัติได้ ยังไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก แต่ตอนนี้…
ความเชื่อใจและความลำเอียงรักของฮ่องเต้นี้ ยิ่งยากจะรับประกันความแน่นอนของตำแหน่งผู้สืบทอดราชสมบัติ ก่อนหน้านี้คังอ๋องเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก ดูเหมือนว่าทุกคนต่างคิดว่าเรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ของคังอ๋องนั้นราบรื่นไร้อุปสรรค แต่ในตอนนี้…อีกทั้งฮ่องเต้ยังได้ตรัสต่อหน้าขุนนางทุกคนแล้วว่า ใครมีความสามารถและเหมาะสมก็จะเป็นของผู้นั้น
คำพูดนี้หมายความอย่างไร? หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกที่เกิดจาดภรรยาเอก หรือลูกชายคนโต ก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษไปมากกว่าใคร คำพูดนี้ฟังไปแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกว่าฮ่องเต้ทรงกำลังให้การสนับสนุนหลี่เย่
ดังนั้นจึงเริ่มมีคนนั่งไม่ติดแล้ว
เช่นคังอ๋อง เช่นเหิงกั๋วกง เช่น…ฮองเฮา
ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ทรงคิดจะปิดบังเรื่องนี้ ฮองเฮาก็ย่อมรู้เรื่องนี้ จริงๆ แล้ว ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จไปเข้าเฝ้าไทเฮา ฮองเฮาเองก็ทรงทราบดี…เป็นฮองเฮามานานหลายปีเช่นนี้ หากไม่มีฝีมือใดๆ เลย จะยังถือว่าเป็นฮองเฮาได้อย่างไร?
ในคืนนั้นฮองเฮาก็ทรง “โรคเก่ากำเริบ” วันต่อมาแน่นอนว่าพระชายาคังอ๋องและแม้แต่เหิงกั๋วกงฮูหยินก็อดเข้ามาช่วยกันถวายการดูแลไม่ได้
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีทางปกปิดเอาไว้ได้ ฮ่องเต้ทรงรับรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก ฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อฮองเฮาสุขภาพไม่ดีเช่นนี้ เรื่องในวังหลวงทั้งหมดก็มอบให้ซูเฟยและจิ้งเฟยดูแลแทนไปเถิด ให้ฮองเฮารักษาสุขภาพให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้อีก”
ซูเฟยและจิ้งเฟย เป็นแม่ของจวงอ๋องและอู่อ๋อง ส่วนที่ฮ่องเต้ทรงตรัสออกมา ก็คือการต้องการตัดอำนาจในมือของฮองเฮา
ถึงอย่างไร สำหรับฮองเฮาแล้วหากถูกยึดอำนาจที่มีอยู่ในมือ เช่นนั้นฮองเฮาผู้นั้นก็เป็นแค่เพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่าเท่านั้น
“บอกซูเฟยและจิ้งเฟย หากว่ามีเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจหรือตัดสินใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปรบกวนฮองเฮา ให้ไปเข้าเฝ้าขอความคิดเห็นจากไทเฮาก็พอ” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ตรัสเช่นนี้ แต่แล้วก็ยังรู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของไทเฮา จึงตรัสออกมาอีกว่า “แต่ก็ห้ามพวกนางไปรบกวนความสงบของไทเฮามากนัก”
หลังจากรับสั่งเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็ลูบๆ หนวดของตัวเอง แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็คิดว่า ตอนนี้ขันทีเป่าฉวนจะเดินทางไปถึงบ้านพักและพบกับเจ้ารองแล้วหรือยัง?
จริงๆ แล้ว ตอนนี้ขันทีเป่าฉวนเดินทางไปถึงประตูบ้านพักแล้ว กำลังรอหลี่เย่ออกมารับพระราชโองการ
ตอนที่ได้ยินว่ามีพระราชโองการ ถาวจวินหลันกับหลี่เย่กำลังพาซวนเอ๋อร์ไปเล่นและให้อาหารปลาอยู่ข้างอ่างปลา พอได้ยินคนเข้ามารายงาน ปฏิกิริยาแรกของถาวจวินหลันคือไม่มีทางเป็นไปได้ จากนั้นนางก็รู้สึกงุนงง พระราชโองการที่ส่งมาตอนนี้ เป็นเรื่องอะไรกันแน่?
ต่อมา นางก็หันไปมองทางหลี่เย่ หลี่เย่มีท่าทีเรียบเฉย ทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยของนางค่อยๆ หายไป นางเองก็รู้สึกนิ่งสงบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
นางพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจู และเรียกจิ้งหลิงกับกู่อวี้จือออกมา คนในบ้านพักทั้งหมดออกมารวมตัวกัน ทุกคนในบ้านต่างรีบร้อนออกมารับพระราชโองการ
ตัดเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรออกไป ตัดหลี่เย่และถาวจวินหลันออกไปแล้ว คนอื่นๆ ต่างมีหน้าตาแปลกใจ อีกทั้งยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย
ถาวจวินหลันกวาดสายตาไปทางอีกสองคน แล้วกระซิบเบาๆ “ทำท่าทีให้สงบลงหน่อย มิเช่นนั้นใครเห็นเข้าจะเอาไปเป็นเรื่องขันได้ อีกทั้งคงไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร” ขอแค่ไม่ใช่เรื่องร้ายก็พอแล้ว
พอเห็นขันทีเป่าฉวนยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ถาวจวินหลันก็ยิ่งมั่นใจว่า จะต้องเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้จะมีเรื่องดีอะไรกัน? ประทานรางวัลรึ? ประทานรางวัลไม่จำเป็นต้องมีพระราชโองการ หรือว่า…
คิดถึงเรื่องนี้แล้ว หัวใจของถาวจวินหลันก็เต้นแรงขึ้น ในใจทั้งรู้สึกดีใจและกังวลใจ
ขันทีเป่าฉวนยิ้มแล้วจะย่อตัวลงคำนับหลี่เย่…ทว่ากลับถูกประคองตัวไว้
หลี่เย่ยิ้ม “กงกงไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอก ประกาศราชโองการก่อนเถิด หลังจากประกาศราชโองการแล้ว ข้าขอเชิญกงกงดื่มชาสักจอก”
ขันทีเป่าฉวนรับกล่าวขอบพระทัย จากนั้นก็ทำท่าทางจะอ่านพระราชโองการ…โต๊ะและแผ่นรองเข่าก็เตรียมเอาไว้อย่างดีแล้ว
พอหลี่เย่พาทุกคนนั่งคุกเข่าลงไปแล้ว ขันทีเป่าฉวนก็ค่อยๆ กางพระราชโองการออก แล้วเริ่มอ่าน
พระราชโองการค่อนข้างยาว ทำให้คนฟังต่างมึนหัว แต่จริงๆ แล้วความหมายก็ง่ายมาก นั่นก็คือตวนอ๋องมีคุณธรรมอันดีงาม อีกทั้งยังทำประโยชน์ให้แก่ราชสำนัก เพื่อเป็นรางวัล จึงแต่งตั้งให้เป็นชินอ๋อง ต่อจากนี้ไปให้เปลี่ยนจวนตวนอ๋องเป็นจวนตวนชินอ๋อง
ดังนั้นในเวลาเดียวกัน พระชายาตวนอ๋อง ก็ให้เปลี่ยนเป็นพระชายาตวนชินอ๋อง ฐานะสูงขึ้นอีกหนึ่งขั้น แน่นอนว่า ฐานะของถาวจวินหลันและคนอื่นๆ ก็สูงขึ้นตามหลี่เย่ไปด้วยเช่นกัน
หลังจากอ่านพระราชโองการจบแล้ว หลี่เย่ก็นำทุกคนน้อมรับราชโองการ ขันทีเป่าฉวนแย้มยิ้มพร้อมกับส่งพระราชโองการให้หลี่เย่ จากนั้นก็ประสานมือคารวะและแสดงความยินดี “บ่าวขอแสดงความยินดีกับตวนชินอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ขอบคุณกงกง นี่เป็นเรื่องดี ข้าจะไม่เชิญกงกงดื่มเสียหน่อยไม่ได้แล้ว”
จริงๆ แล้ว ขันทีเป่าฉวนเดินทางมาประกาศราชโองการไกลเช่นนี้ เวลาก็เกือบเย็นแล้ว ถึงอย่างไรวันนี้ก็จะต้องให้ขันทีเป่าฉวนอยู่ค้างแรมที่นี่ ในเมื่อต้องอยู่ค้างแรมที่นี่ ก็จะขาดงานเลี้ยงไปไม่ได้
ถาวจวินหลันลุกขึ้นยิ้ม “ท่านอ๋องพากงกงไปดื่มชาและนั่งพักเสียก่อนเถิดเพคะ ข้าจะเข้าไปสั่งงานในครัว”
หลี่เย่ยิ้มแล้วรับคำ มองไปทางขันทีเป่าฉวนและผายมือ “กงกง เชิญ”
ขันทีเป่าฉวนถูกทำดีด้วยจนตกใจและรีบปฏิเสธ “เชิญท่านอ๋องเสด็จนำเถิดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะเดินตามท่านอยู่ข้างหลัง”
ซวนเอ๋อร์จำขันทีเป่าฉวนได้ ดิ้นจะลงจากแม่นมที่อุ้มเขาไว้ จากนั้นก็วิ่งไปเกาะที่ขาของขันทีเป่าฉวน “เสด็จปู่!”
ขันทีเป่าฉวนรีบคุกเข่าลงแล้วอุ้มซวนเอ๋อร์เอาไว้ ก่อนอธิบายว่า “ฮ่องเต้ไม่ได้เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์คิดถึงฮ่องเต้รึ? บ่าวจะกลับไปทูลฮ่องเต้ ฮ่องเต้ต้องทรงดีพระทัยอย่างแน่นอน”
รองเท้าของซวนเอ๋อร์ทำให้เสื้อผ้าที่สะอาดของขันทีเป่าฉวนเป็นรอยเท้า หลี่เย่มองเห็นแล้ว ก็ขมวดคิ้วดุ “ซวนเอ๋อร์ ลงมา”
ขันทีเป่าฉวนกลับรีบโบกมือ “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่เป็นไร คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์ยอมให้บ่าวอุ้ม ถือว่าบ่าวมีวาสนาพ่ะย่ะค่ะ” คิดแล้วก็หยิบถุงเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นขนมที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้บ่าว คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์ลองชิมดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซวนเอ๋อร์ไม่เกรงใจ ที่สำคัญก็คือเขาคุ้นเคยกับคนในวังหลวงเป็นอย่างดี ไม่รู้สึกเป็นคนแปลกหน้าเลย มืออ้วนๆ ของเขายื่นออกมาล้วงเข้าไปในถุงเล็กๆ ใบนั้นแล้วหยิบขนมออกมากิน
แต่ก่อนกินนั้นเขายังหยิบให้ขันทีเป่าฉวนหนึ่งลูก พอเห็นว่าขันทีเป่าฉวนกินเข้าไปแล้ว เขาถึงเอาใส่ปากของตัวเอง
ขันทีเป่าฉวนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์ช่างความจำดีจริงๆ อยู่ในวังหลวงไม่ว่าจะกินอะไรก็ต้องให้คนอื่นกินก่อนเสมอ พอเห็นว่าไม่เป็นไรแล้วถึงให้เขากิน”
หลี่เย่ทำท่าทีเคร่งขรึมต่อไปไม่ไหว ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน บางครั้งซวนเอ๋อร์ก็ทำอะไรให้คนอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกัน…เด็กอายุเท่านี้ กลับรู้เรื่องถึงเพียงนี้ บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเฉลียวฉลาดใดๆ เลยสักนิด เรื่องพวกนี้มีเพียงแค่เด็กเท่านั้นที่ทำได้ จึงชวนให้รู้สึกขบขัน
“กงกงอย่าตามใจเขาจนเกินไป” หลี่เย่มองไปทางซวนเอ๋อร์ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้นิสัยก็เกเรอยู่แล้ว เกรงว่าต่อไปโตขึ้นจะกลายเป็นนักเลงเอาได้”
ขันทีเป่าฉวนไม่คิดเช่นนั้น “คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์ยังเด็กนัก บ่าวจำได้ว่าตอนท่านอ๋องยังเด็ก ท่านซุกซนเอาแต่ใจมากกว่านี้เสียอีก เหตุใดวันนี้ไม่เห็นกลายเป็นนักเลงเล่า?”
พอเห็นว่าขันทีเป่าฉวนรักและเอ็นดูซวนเอ๋อร์จากใจจริง หลี่เย่ก็ยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ ในใจกลับยิ่งรู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนว่าคนที่ไม่ชอบซวนเอ๋อร์จะมีน้อยจริงๆ
แต่พอคิดกลับไปอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เด็กนั้นไร้เดียงสาและน่ารัก ไม่มีอะไรซับซ้อน จึงทำให้คนรู้สึกชื่นชอบขึ้นมาได้ง่ายๆ อีกทั้งซวนเอ๋อร์ยังมีนิสัยร่าเริง จึงทำให้คนรู้สึกชื่นชอบได้ง่าย
หลังจากเล่นกับซวนเอ๋อร์อยู่สักพัก ขันทีเป่าฉวนก็ส่งซวนเอ๋อร์ให้แม่นมอุ้มไป ยิ้มแล้วหันไปพูดกับหลี่เย่ว่า “จริงๆ แล้วบ่าวไม่ได้มาเพียงเพื่อประกาศราชโองการเท่านั้น แต่บ่าวยังได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เอาคำพูดมาบอกกับท่าน”
หลี่เย่ชะงัก จากนั้นก็เข้าใจถึงความหมาย “พวกเราไปนั่งคุยและดื่มชากันในห้องหนังสือดีกว่า”
แน่นอนว่า ขันทีเป่าฉวนไม่ยอมให้คนอื่นได้ยินคำพูดที่เขาต้องการบอกอย่างแน่นอน จึงได้ยิ้มและเดินตามหลี่เย่เข้าไปในห้องหนังสือ หลี่เย่ชงชาแล้ว ก็เชิญให้ขันทีเป่าฉวนนั่งลง ส่วนตัวเขาก็เตรียมตัวคุกเข่าลงเพื่อฟังคำสั่งจากฮ่องเต้
ขันทีเป่าฉวนกลับรั้งตัวหลี่เย่ไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งลับหรอกพ่ะย่ะค่ะ แค่ถือว่าเป็นการกำชับเท่านั้น ท่านไม่ต้องทำให้เป็นพิธีรีตองเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่ยิ้ม จากนั้นก็นั่งมองขันทีเป่าฉวน รอให้ขันทีเป่าฉวนเอ่ยปากพูด
ขันทีเป่าฉวนกล่าวตามคำพูดของฮ่องเต้ สุดท้ายแล้วก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างแฝงนัย “ฮ่องเต้ทรงเป็นห่วงท่านอย่างมาก ไม่เพียงแต่กำชับท่านอ๋อง แต่ยังทรงส่งทหารมาอารักขาท่านอ๋องเพิ่มอีกหนึ่งกลุ่มด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งมีเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ที่สำคัญก็คือ คนจำนวนสิบกว่าคนนี้ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี อีกทั้งยังผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือความหมายในนั้น…ทหารพวกนี้เป็นทหารองครักษ์ของฮ่องเต้ ในตอนนี้มอบให้หลี่เย่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรต่างก็แสดงถึงความหมายบางอย่าง
หลี่เย่กะพริบตาปริบๆ แล้วปฏิเสธไปทันที “นั่นเป็นทหารองครักษ์ของเสด็จพ่อ จะมาอยู่ข้างกายข้าได้อย่างไร? เชิญกงกงพาพวกเขากลับไปเถิด นี่ถือเป็นการทำผิดกฎระเบียบ”
ขันทีเป่าฉวนหัวเราะ “ในเมื่อฮ่องเต้ทรงเอ่ยปากแล้ว เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างแน่นอน ท่านอย่าคิดมากเลยพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ทรงทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของท่านเท่านั้น อีกทั้งในเมื่อท่านอ๋องอยากปฏิเสธ เช่นนั้นสู้กลับไปทูลฮ่องเต้ที่เมืองหลวงด้วยตัวท่านเองไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?”