เป็นเพราะอยู่ๆ ก็คิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา ทำให้ถาวจวินหลันไม่สบายใจ อารมณ์ของนางจึงผิดปกติไปหลายวัน
แน่นอนว่าหลี่เย่สัมผัสได้ แต่ก็ไม่มีวิธีอธิบายให้ถาวจวินหลันเข้าใจ จึงทำได้แค่เพียงรอให้นางเข้าใจด้วยตัวเอง
แต่ว่าเรื่องแบบนี้ จะคิดเข้าใจได้ง่ายๆ เช่นนั้นรึ? ถาวจวินหลันไม่เพียงแต่กังวลเรื่องหลี่เย่ แต่นางยังเป็นห่วงซวนเอ๋อร์และยังเป็นห่วงน้อยชายน้องสาวของนาง
อาจด้วยหงุดหงิดใจ ถาวจวินหลันจึงรู้สึกว่าอากาศปีนี้ร้อนยิ่งกว่าปีที่ผ่านๆ มา
วันนี้นางพาซวนเอ๋อร์ออกไปถวายพระพรไทเฮา ไทเฮากลับเป็นไข้แดด ท่าทางดูอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง อาการดูแล้วไม่ดีนัก
อาจด้วยกังวลว่าซวนเอ๋อร์จะพลอยไม่สบายไปด้วย ไทเฮาจึงกำชับถาวจวินหลันว่า “ให้ซวนเอ๋อร์ดื่มน้ำแกงถั่วเขียวเยอะๆ หากว่าเขาไม่ยอมกิน ก็ให้ชงชาที่มีฤทธิ์เย็นให้เขาดื่ม ปีนี้อากาศร้อน ตอนนี้เข้ากลางปีแล้วฝนยังไม่ตก อากาศจึงอบอ้าวจนทนไม่ไหว เจ้าจะต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก ตวนอ๋องเองก็ด้วย เจ้าจะต้องให้เขากินของที่มีฤทธิ์เย็นและดับร้อน”
ความเป็นห่วงเป็นใยของไทเฮานี้ ถาวจวินหลันได้แต่ยิ้มแล้วรีบรับคำ “ไทเฮาวางพระทัยเถิดเพคะ ข้าไม่มีทางละเลยเรื่องพวกนี้แน่นอน”
จางหมัวหมัวถวายการดูแลให้ไทเฮาเสวยโอสถ แล้วก็พูดแทรกด้วยความกังวลใจเช่นกัน “ตอนนี้ถึงกลางปีแล้วฝนก็ยังไม่ตก น้ำในบ่อคงแห้งไปไม่น้อย พวกเรายังถือว่าได้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าบริเวณที่แห้งแล้งจะเป็นเช่นไรบ้าง”
ไทเฮาถอนใจ แล้วสวดมนต์ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเพียงแค่ว่า “หวังว่าฝนจะตกลงมาในเร็ววัน ประชาชนจะได้อยู่อย่างสุขสบาย”
ถาวจวินหลันรู้ว่าไทเฮาทรงกังวล…หากฝนยังไม่ยอมตกลงมาเช่นนี้ จะต้องประสบกับภัยแล้งอย่างแน่นอน พอแห้งแล้งก็ไม่มีผลผลิตทางการเกษตร แต่ประชาชนทั้งหลายต่างใช้ของพวกนี้ในการเลี้ยงชีวิตและครอบครัว หากว่าเกิดปัญหาใดๆ ขึ้นจริง แค่คิดก็รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
หากว่าเกิดภัยแล้งขึ้นจริง บางทีปีนี้อาจยังไม่รู้สึกอะไร แต่ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หรือบางทีอาจไม่ต้องรอถึงฤดูใบไม้ผลิ ผลกระทบก็จะตามมาแล้ว…ไม่มีผลผลิตทางการเกษตรแล้วประชาชนจะกินอะไร? ไม่มีอะไรกิน หากไม่หิวตายก็ต้องคิดหาวิธีจะหาของกินมาให้ได้ ถึงตอนนั้น ไม่แน่ว่าอาจเกิดนักเลงเกลื่อนเมือง หรืออาจไปเป็นโจรกันหมด
เรื่องนี้สำหรับราชสำนักแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดี
“ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ฝนอาจตกลงมาแล้วก็ได้เพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะ เพื่อปลอบใจไทเฮา “ไม่เช่นนั้น รอไทเฮาทรงหายประชวรแล้ว ก็ให้นักบวชมาทำพิธีขอพรก็ได้เพคะ”
ไทเฮาพยักหน้า “ก็ทำได้แค่เพียงเท่านี้แล้ว” หากว่าเป็นภัยที่เกิดจากฝีมือคน ราชสำนักยังมีวิธีรับมือ แต่นี่เป็นภัยธรรมชาติ นอกจากการเตรียมรับมือแล้ว ยังทำอะไรได้อีก? ก็มีเพียงแค่สวดมนต์ขอพรทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
จากนั้นไทเฮาก็มองไปทางถาวจวินหลัน แล้วพูดว่า “เจ้าเตรียมการแทนข้าไปก่อน รอข้าหายดีแล้วข้าจะกินเจเพื่อขอพรด้วยตัวเอง”
“เช่นนี้ข้าจะกินเจกับไทเฮาด้วยเพคะ” ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วก็ไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังพูดเสริมไปเช่นนี้ อารมณ์ของไทเฮาไม่ดีนัก ในตอนนี้หากสามารถหาวิธีที่จะทำให้ไทเฮาคลายความกังวลใจลงไปบ้าง ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ส่วนเรื่องจะได้ผลหรือไม่…นั่นก็มิอาจรู้ได้แล้ว
หลังจากกลับมาจากเรือนที่พักของไทเฮา ถาวจวินหลันที่กังวลใจอยู่แล้ว ก็ยิ่งดูกังวลมากขึ้นไปอีก
แน่นอนว่าเรื่องนี้นางได้พูดกับหลี่เย่ แล้วยังถามเขาว่า “ไม่น่าถึงขั้นว่าเกิดภัยแล้งกระมัง?”
หลี่เย่ส่ายหัว ท่าทีดูเคร่งขรึม “เรื่องนี้รับประกันไม่ได้…หากฝนยังไม่ตกลงมา ก็มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดภัยแล้ง หลิวเอินส่งข่าวมาบอกว่า ทางเหอเป่ยมี่ท่าทีว่าจะประสบภัยแล้งแล้ว พืชต่างๆ เริ่มแห้งตาย แดดยังแรงมาก น้ำบาดาลที่ขุดขึ้นมาก็เริ่มแห้งเหือด”
ถาวจวินหลันได้ยิน ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที “เช่นนั้นราชสำนักพอมีวิธีบ้างหรือไม่?”
“เกรงว่าคงไม่มีวิธีที่ดีมากนัก…” หลี่เย่หัวเราะอย่างขมขื่น ท่าทางดูไม่รู้ควรทำเช่นไร “หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นจริง ก็ทำได้เพียงแค่ส่งเสบียงอาหารไปบรรเทาทุกข์ก็เท่านั้น” เรื่องขาดน้ำนั้นราชสำนักเองก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องน้ำ ไม่เหมือนกับของอื่นๆ น้ำไม่มีวิธีขนส่งไปได้ แล้วจะทำเช่นไร?
ถาวจวินหลันถอนใจ “ไทเฮาเองก็กำลังเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้ แต่ว่าเรื่องนี้ราชสำนักควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ”
สีหน้าของหลี่เย่ยิ่งแสดงความอึดอัดใจมากขึ้นไปอีก เขาพูดว่า “ช่วงกี่วันมานี้ เสด็จพ่อถูกอี๋เฟยรั้งตัวไว้ ข้าเองไม่ได้พบเขาเลย ได้แต่เพียงช่วยตรวจราชโองการต่างๆ เท่านั้น”
ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ จึงร้องตกใจ “หา เพิ่งเกิดเรื่องกับซินพาน ฮ่องเต้ก็ไม่ควรจะ…อีกทั้งตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงงานหนักมาโดยตลอด ทำไมถึงได้…” ทำไมถึงได้เห็นเรื่องพวกนี้สำคัญกว่าเรื่องบ้านเมืองไปได้?
หลี่เย่หัวเราะอย่างขมขื่น “เป็นเพราะเหตุนี้ ถึงได้ทำให้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก”
“หรือบางทีฮ่องเต้กำลังหยั่งเชิงพวกท่าน?” หัวใจของถาวจวินหลันเต้นแรง แล้วคิดได้ว่า “ไม่เช่นนั้นพระองค์จะเรียกให้ท่านเข้าร่วมในเรื่องราชสำนักหรือช่วยตรวจดูราชโองการก็ไม่เหมาะสมนัก”
หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่ในใจสักพัก สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “พูดเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้”
“ฮ่องเต้ไม่ใช่คนมักมากในกามารมณ์ อีกทั้งอี๋เฟยไม่ได้รับความโปรดปรานมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งตอนนี้ยังตั้งครรภ์ ไม่มีเหตุผลให้รั้งตัวฮ่องเต้เอาไว้ ดังนั้นดูแล้วเหมือนเป็นข้ออ้าง” ถาวจวินหลันวิเคราะห์อย่างละเอียด แล้วพูดต่อว่า “หากที่ข้าเดาเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นท่านก็ควรจะต้องระวังให้มากขึ้น” สักพัก ก็พูดต่ออีกว่า “แต่ว่า ท่านเองก็ควรหาโอกาสไปเตือนพระองค์เรื่องนี้”
ข้อแรกเพื่อแสดงความห่วงใย ข้อสองเพื่อแสดงความจงรักภักดี
ตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกออกไปแล้ว หลี่เย่กับฮ่องเต้ก็มีความสัมพันธ์เป็นขุนนางกับกษัตริย์ ดังนั้น บางครั้งนางคิดว่าก็ควรทำตามหน้าที่ที่ขุนนางต้องปฏิบัติต่อฮ่องเต้ จะพูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวเพียงอย่างเดียว…จริงๆ แล้ว ความสัมพันธ์ในครอบครัวของราชวงศ์นั้นช่างเบาบางนัก
แน่นอนว่าหลี่เย่เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วรับคำ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าถือว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าภรรยาที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง”
ถาวจวินหลันถูกเขาแกล้งหยอกเช่นนี้ ก็รู้สึกเขินอาย แล้วมองเขาอย่างตำหนิ “พูดอะไรไร้สาระ? หากใครมาได้ยินเข้า จะไม่หัวเราะจนฟันหลุดรึ? อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่ความคิดของผู้หญิงเท่านั้น เพียงพูดเปะปะไป จะเอาไปคิดเป็นเรื่องจริงจังไม่ได้”
“ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าผู้ชายพวกนั้นด้วยซ้ำไป” หลี่เย่หัวเราะ แล้วไม่ปกปิดน้ำเสียงแสดงความภูมิใจของตัวเองเลยแม้แต่น้อย “แม้แต่พวกหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ที่อบรมสั่งสอนบ่มเพาะมาเป็นอย่างดี ข้าก็ไม่เห็นว่าจะสู้เจ้าได้เลย”
ถาวจวินหลันฟังแล้วรู้สึกว่ายิ่งไปกันใหญ่ จึงลุกขึ้นและไม่สนใจเขา ก่อนเดินออกไปยกน้ำแกงเข้ามา “ส่วนไทเฮานั้น ท่านเองก็ควรไปเยี่ยม ปลอบใจไทเฮาว่าอย่างทรงกังวลไปเลย”
หลี่เย่ได้ยินก็ถอนใจ “ไทเฮาทรงกังวลใจเรื่องราษฎร”
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องทั่วไปสักพัก แล้วก็รับประทานอาหารเย็น พวกเขาเคยชินที่จะไปเดินเล่นด้วยกันในสวนหลังทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ฝนยังไม่ตก ถึงแม้ว่าฟ้าจะมืดลงแล้ว แต่ลมที่พักมาก็ไม่ได้ให้ความเย็นนัก กลับเป็นความรู้สึกร้อนอบอ้าว
“หากว่าฝนตก เกรงว่าคงตกหนักเป็นแน่” หลี่เย่ลองนับนิ้วดูแล้ว ก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย
“เฮ้อ” ถาวจวินหลันถอนใจตามไปด้วย “ฝนตกตามฤดูกาลมานานหลายปี ปีนี้กลับเป็นอะไรไป?”
แต่ว่าจริงๆ คิดไปแล้วก็ไม่แปลก…ผ่านไปช่วงหนึ่ง ก็จะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ราวกับเป็นการกำหนดของสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
“กรมพยากรณ์ถวายหนังสือเรื่องการทำพิธีขอฝนมาแล้ว เพียงแต่ต้องให้เสด็จพ่อออกหน้า อย่างไรก็จะต้องเดินทางกลับไปเมืองหลวง ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นพวกเราก็ไม่มีโอกาสได้อยู่ที่นี่ต่อแล้ว” หลี่เย่พูดด้วยท่าทีเสียใจเล็กน้อย “ไม่ง่ายเลยที่จะได้มีเวลาว่างพาเจ้าออกมาปลดปล่อยเช่นนี้ แต่กลับมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุด”
ถาวจวินหลันเม้มปากแล้วหัวเราะ คิดถึงก่อนหน้านี้ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างว่างๆ และสบายใจ หากจะพูดว่าไม่คิดถึงเวลาช่วงนั้นก็คงโกหก เพียงแต่จะคิดถึงเช่นไร วันเวลาพวกนี้ก็ต้องผ่านไป อะไรที่ควรจะเกิดก็ต้องเกิด ดังนั้นสุดท้ายแล้วนางจึงพูดขึ้นเพียงว่า “เป็นอะไรไปเล่า? ก่อนหน้านี้ไม่ได้พักผ่อนไปตั้งหลายวันแล้วรึ? เรื่องนี้จะโทษท่านได้อย่างไร? อีกทั้ง พวกเรายังมีเวลาอีกทั้งชีวิต จะมาสนใจเวลาเล็กน้อยพวกนี้ไปเพื่ออะไร?”
หลี่เย่ได้ยินแล้ว ก็รู้สึกหวานซึ้งในใจ แล้วก็พูดว่า “ใช่ซี พวกเรายังมีเวลาอีกทั้งชีวิต” ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในตอนนี้
ทั้งสองคนพูดคุยกันไป แล้วก็เดินช้าๆ อิงแอบกันไปมา ทำให้เกิดเป็นความรู้สึกอบอุ่น
วันนี้ถาวจวินหลันได้เล่นหมากกับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้า ฉับพลันองค์หญิงแปดก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ถาวจวินหลันถึงกับรู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมา “พี่สะใภ้รองอย่าคิดมากไปเลย ก็แค่คนชั่วคิดทำเรื่องเลวๆ เท่านั้น ปล่อยนางไปก่อน รอนางคลอดแล้ว พวกเราค่อยหาวิธีแก้แค้น”
ถาวจวินหลันชะงักไปทันที ไม่เข้าใจความหมายที่องค์หญิงแปดพูดมา จึงค่อยๆ พูดว่า “อะไรรึ?”
องค์หญิงแปดรู้สึกตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ “พี่สะใภ้รองไม่รู้เรื่องนี้รึ?”
ถาวจวินหลันรู้ว่าองค์หญิงเก้าเสียใจที่พูดเรื่องนี้ออกมา นางพลันใจเต้นและรู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่องค์หญิงแปดพูดจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน อีกทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางอีกด้วย พอเอามาปะติดปะต่อกับเรื่องคลอดลูก นางจึงเอ่ยปากถามไปว่า “อี๋เฟยทำอะไรรึ?”
องค์หญิงแปดมองถาวจวินหลันอย่างทำตัวไม่ถูก แล้วกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมา “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก พี่สะใภ้รองอย่ารู้เลยจะดีกว่า”
องค์หญิงเก้ามองไปทางองค์หญิงแปด ท่าทีดูครุ่นคิด
องค์หญิงแปดก้มหน้า จึงมองไม่เห็นสายตาที่องค์หญิงเก้ามองมา
ถาวจวินหลันเห็นว่าองค์หญิงแปดไม่ยอมพูด จึงหันไปทางองค์หญิงเก้า “เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”
องค์หญิงเก้าส่ายหัว “จิ้งผิงยังบาดเจ็บอยู่ ข้าเองก็ไม่ได้ออกไปที่ใด จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? ถามพี่หญิงแปดเอาเถิด” สุดท้ายแล้วก็โยนไปให้องค์หญิงแปด ทั้งยังพูดล้อเล่นว่า “พี่หญิงแปดทำเช่นนี้ก็เกินไปจริงๆ ตั้งใจพูดเพื่อล่อให้อยากรู้รึ?”
องค์หญิงแปดทำหน้าไม่ถูก “ข้าคิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้รองจะไม่รู้เรื่องนี้ ข้าเห็นว่าพี่สะใภ้รองทำท่าทางกังวลใจ เลยคิดว่านางไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”
“เอาล่ะ รีบพูดมาเถิด ไม่อย่างนั้นต่อไปข้าจะไม่พูดกับเจ้าแล้ว” ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วเร่ง “เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบคนตรงไปตรงมา เจ้าจะทำตัวแปลกๆ เช่นนี้ไปทำไมกัน?”
องค์หญิงแปดเห็นว่าพูดจนถึงขั้นนี้แล้ว หากนางยังไม่ยอมพูดก็คงไม่ดีนัก จึงได้ถอนใจเอ่ยว่า “ท่านไม่รู้หรอกว่า อี๋เฟยพูดอะไรไม่ดีกับเสด็จพ่อ จึงทำให้เสด็จพ่อเรียกตัวพี่รองไปตำหนิเพราะเรื่องนี้”
ถาวจวินหลันรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง จากนั้นก็ถามเนิบๆ ว่า “ฮ่องเต้ตำหนิท่านอ๋องเรื่องอะไรรึ?”