ตอนอาหารเย็น ฮ่องเต้ได้รับคำรายงานจากขันทีเป่าฉวน นิ่งไปนานแล้วถึงกำชับว่า “วันนี้ไปที่วังของจิ้งเฟย ทางอี๋เฟยก็ให้ดูแลครรภ์ให้ดี ข้ามีเวลาว่างแล้วจะไปเยี่ยม อีกอย่างข้าจำได้ว่าของบรรณาการปีนี้มีเพชรขนาดเท่าไข่ห่านอยู่ เอาไปมอบให้ชายารองตวนชินอ๋องเสีย และมอบไข่มุกตะวันออกให้อีกหนึ่งกระบุง”
นี่ถือเป็นรางวัลที่ล้ำค่าเต็มไปด้วยราคา แค่พูดถึงเพชรที่มีขนาดเท่าไข่ห่านชิ้นนั้นก็ถือว่าเป็นของล้ำค่าในบรรดาของล้ำค่า เพชรนั้นไม่ใช่ของที่ผลิตในแคว้น ล้วนนำเข้ามาจากเมืองขึ้นทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเทียบกับอัญมณีอย่างอื่นและด้วยความใหญ่ของเพชรก็จะยิ่งล้ำค่ามากยิ่งขึ้น
ขันทีเป่าฉวนแอบคิดว่า เจ้านายที่พอมีหน้ามีตาในวังหลวงนั้นคาดหวังเฝ้ามองเพชรเม็ดนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ฮ่องเต้เก็บเอาไว้ไม่เคยประทานให้ใคร แต่ตอนนี้กลับคิดไม่ถึงว่าจะประทานให้กับชายารองตวนชินอ๋อง หากเรื่องนี้กระจายออกไปไม่รู้ว่าจะทำให้คนอื่นคิดอิจฉามากเท่าไร อีกทั้งไข่มุกตะวันออกหนึ่งกระบุงก็น่าอิจฉาเช่นกัน ไข่มุกตะวันออกตอนนี้ผลิตได้น้อยจำนวนจำกัด ปีนี้ที่คัดเลือกออกมาได้ก็มีเพียงไม่กี่กระบุงเท่านั้น ตอนนี้ฮ่องเต้กลับประทานให้หนึ่งกระบุงเลยทีเดียว…
แต่แอบปาดเหงื่อเย็นแทนถาวจวินหลันก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขันทีเป่าฉวนก็ยังยิ้มและนำของรางวัลทั้งหมดไปส่งให้ถาวจวินหลัน
ขันทีเป่าฉวนตั้งใจนำไปมอบให้ตอนกลางวันของวันรุ่งขึ้น และยังไปอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่อีกด้วย ที่แอบแฝงอยู่นั้นก็คือความตั้งใจของฮ่องเต้
อย่างไรก่อนหน้าที่กล่าวโทษถาวจวินหลันและยังว่ากล่าวหลี่เย่ ฮ่องเต้คิดจะกู้ศักดิ์ศรีของหลี่เย่ด้วยการกระทำนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นพูดได้ว่าขันทีเป่าฉวนรู้ใจความคิดของฮ่องเต้อย่างแท้จริง
เมื่อได้รับของพระราชทานถาวจวินหลันก็แปลกใจอย่างมาก รีบหันไปมองหลี่เย่วูบหนึ่งตามสันชาตญาณด้วยคิดว่าเป็นเพราะตัวเขา ใครจะรู้ว่าหลี่เย่กลับไม่รู้เรื่องเช่นกัน
สุดท้ายแล้วก็เป็นขันทีเป่าฉวนที่คลายความสงสัยให้พวกเขา “นี่เป็นของรางวัลที่ฮ่องเต้ประทานให้ชายารองถาวด้วยตั้งใจดูแลไทเฮาเต็มที่ ชายารองถาวคงไม่ทราบ ไทเฮาชื่นชมท่านต่อหน้าฮ่องเต้เสียยกใหญ่”
ถาวจวินหลันและหลี่เย่เข้าใจได้ในฉับพลัน
ถาวจวินหลันรู้สึกซาบซึ้งต่อไทเฮาอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็รู้ได้ว่าที่ไทเฮาทำเช่นนี้เหตุผลส่วนใหญ่แล้วก็เพราะหลี่เย่
ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดกับขันทีเป่าฉวนว่า “เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะไม่กล้าน้อมรับคำว่าหลานสะใภ้ แต่นั่นเป็นเสด็จย่าของท่านอ๋อง ข้าจะแสดงความกตัญญูย่าของตัวเองก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา”
ขันทีเป่าฉวนหัวเราะและพูดว่า “คำพูดนี้บ่าวจะต้องนำไปถ่ายทอดถึงฮ่องเต้แน่ขอรับ แต่ในเมื่อฮ่องเต้ประทานรางวัลให้ชายารองถาว ถ้าเช่นนั้นย่อมเหมาะสมจะรับรางวัลชิ้นนี้ขอรับ”
หลี่เย่รั้งตัวขันทีเป่าฉวนให้ร่วมรับประทานอาหาร แล้วถึงได้สั่งให้คนส่งขันทีเป่าฉวนกลับวังหลวงไป
รอจนส่งขันทีเป่าฉวนกลับไปแล้ว หลี่เย่และถาวจวินหลันถึงได้ไปดูรางวัลที่ฮ่องเต้ประทานมาให้พร้อมกัน
ถาวจวินหลันเป็นคนมองของออก รู้ว่าไข่มุกตะวันออกนั้นล้ำค่า และยิ่งเห็นว่าไข่มุกตะวันออกแต่ละเม็ดนั้นกลมอย่างมาก ขนาดเล็กใหญ่ก็ใกล้เคียงกัน ก่อนทอดถทอนใจเอ่ยว่า “ตอนนี้ด้านนอกอยากจะซื้อยังยาก คิดไม่ถึงว่าจะได้มามากขนาดนี้ เอามาฝังใส่ปิ่นก็ดี เอามาทำสร้อยข้อมือก็ดี พอใช้อีกเยอะเลย”
หลี่เย่มองวูบหนึ่ง ยิ้มพลางแนะนำว่า “ไม่สู้ไปทำเป็นปิ่นดอกไม้คู่หนึ่ง หรือต่างหู และส่วนที่เหลือก็เอาไปฝังไว้ที่รองเท้าหรือจะเอามาทำเป็นกระดุมก็ดีมากเช่นเดียวกัน”
“ข้าคงไม่คิดเอาไปทำเป็นรองเท้า เสียดแทงสายตามากเกินไป กระดุมก็เช่นกัน ไม่สู้เอาไปทำปิ่นดอกไม้คู่หนึ่งกับต่างหูอีกคู่ ที่เหลือก็เอาไปแบ่งให้องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า และยังมีจิ้งหลิงและคนอื่นๆ อีก แบ่งกันไปคนละเม็ดสองเม็ด ไม่บังคับว่าจะต้องเอาไปทำตุ้มหูหรือจะเก็บไว้ปักรองเท้าก็ตามใจแล้วเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหน้า และนั่งวางแผนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หัวเราะและพูดว่า “ยังฝังไว้บนรองเท้าของหมิงจูคู่หนึ่งได้ เข้ากับชื่อของนางพอดีเพคะ”
ที่คิดว่าทิ่มแทงสายตามากเกินไปนั้นเพราะนางเป็นแค่ชายารอง ไม่ดีถ้าจะข้ามหน้าข้ามตามากเกินไป ถ้านางเป็นชายาเอกตวนชินอ๋อง ไม่จำเป็นต้องให้หลี่เย่พูดนางก็กล้าทำเช่นนั้น ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ประทานมาให้นางก็ต้องไปไขว่คว้าหามาสองสามเม็ด เพื่อแสดงถึงหน้าตาและตัวตนมิใช่หรืออย่างไร?
แต่ในเมื่อเป็นชายารอง นางก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมกับฐานะของนาง จักให้คนเอาเรื่องนี้ไปติฉินนินทาพูดว่านางไม่รู้ความไม่ได้
แม้นหลี่เย่จะรู้สึกว่าถาวจวินหลันไม่ต้องระมัดระวังเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของนาง เขาจึงไม่ได้พูดกล่อมต่อไป เพียงแค่หยิบเพชรที่มีขนาดเท่าไข่ห่านเม็ดนั้นขึ้นมา หัวเราะและพูดว่า “ชิ้นนี้ให้ช่างเอาไปขัดเสียหน่อย และเอามาทำเป็นปิ่นปักผมก็ดี หรือจะเอาไปฝังในมงกุฎดอกไม้ หากเจ้าคิดว่าทิ่มแทงสายตามากเกินไปก็ให้คนตัดแบ่งเป็นหลายๆ ชิ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ใหญ่พอ”
ได้ยินคำเย้าแหย่ของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็อดกรอกตามองเขาไม่ได้ “ท่านคิดว่าข้าตาไม่มีแววหรือ? อัญมณีของพวกนี้ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งล้ำค่า หากข้าตัดแบ่งจริงก็ถือว่าทำลายของล้ำค่าจากสวรรค์นะเพคะ! ชิ้นนี้ข้าจะเก็บไว้ให้หมิงจูเป็นของติดตัวตอนออกเรือนเพคะ”
“อะไรกัน ข้าตวนชินอ๋องหรือว่าแม้แต่ของติดกายตอนออกเรือนของลูกสาวจะเตรียมให้ไม่ได้เลย? รอจนหมิงจูออกเรือนนั้นข้าจะให้มงกุฎหงส์ฝังอัญมณีห้าสีกับนาง” หลี่เย่พูดด้วยแฝงปณิธานแก่กล้าเอาไว้ “ถึงตอนนั้น อัญมณีชิ้นใหญ่ขนาดนี้คงจะมีไม่ต่ำกว่าชิ้นหนึ่งเป็นแน่!”
ถาวจวินหลันอดเม้มริมฝีปากหัวเราะไม่ได้ “เกรงว่าตอนที่เจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้า ยังไม่ทันได้มองหน้าตาหมิงจูให้ชัดก็คงสายตาเลอะเลือนเพราะแสงประกายของอัญมณีเหล่านี้แล้ว!”
หลี่เย่คิดภาพตามก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลังจากที่สามีภรรยาทั้งสองคนพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดจุดประสงค์ที่ฮ่องเต้ประทานของรางวัลเหล่านี้มาให้
ถาวจวินหลันหัวเราะและพูดว่า “ไทเฮาต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องนี้เพราะท่านแล้ว วันพรุ่งนี้ท่านควรไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮานะเพคะ”
หลี่เย่ย่อมต้องเข้าใจว่าไทเฮาทำเพื่อตนเอง จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “ไทเฮาใส่ใจข้ามากที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” และก็พูดอีกว่า “แต่เสด็จพ่อใช้ชื่อของเจ้ามาทำให้ข้ามีหน้ามีตา ดูแล้วเหมือนรู้ว่าใส่ร้ายเจ้าอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้เกรงว่าทางด้านอี๋เฟยคงถูกทำเย็นชาใส่เป็นแน่”
ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น “เมื่อเป็นเช่นนี้ อีกทั้งผลลัพธ์ของการทำพิธีในวันพรุ่งนี้ เกรงว่าอี๋เฟยคงจะไม่เพียงแค่ถูกทำเย็นชาใส่ง่ายๆ เท่านั้น ต่อจากนี้ไม่มีนางมาคอยเป่าหูฮ่องเต้ คังอ๋องคงจะได้รับผลกระทบไม่น้อยเลยทีเดียว”
ผ่านไปครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็คิดถึงหลี่เย่เสนอให้คังอ๋องไปทำพิธีขอฝนแทนฮ่องเต้ ก็ยิ้มให้หลี่เย่อีก “ท่านก็ช่างดีเสียจริง เอาขวากหนามโยนให้คังอ๋อง กว่าคังอ๋องและฮองเฮาจะรู้เรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะแค้นท่านมากเพียงใด”
หลี่เย่ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ “กลัวอะไร? ไม่ช้าก็เร็วจะต้องฉีกหน้าสะสางบัญชีกันอยู่ดี ว่าไป หรือว่าข้าทำเช่นนี้แล้ว คังอ๋องกับฮองเฮาจะไม่คิดแค้นข้าแล้ว? นี่เป็นโอกาสที่ดีข้าจะพลาดไปได้อย่างไรกัน?”
“โชคดีที่ท่านคิดแผนการนี้ได้” ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม รู้สึกว่าแผนการนี้ของหลี่เย่ช่างโหดเ**้ยมเสียจริง
แต่แรกก็เป็นเช่นนั้น ครั้งนี้ไม่ว่าจะขอฝนสำเร็จหรือไม่ เกรงว่าคังอ๋องก็คงไม่ได้รับผลประโยชน์เป็นแน่
ลองคิดดู คังอ๋องขอฝนไม่สำเร็จคนอื่นจะพูดเช่นไร? จะต้องบอกว่าคังอ๋องไม่จริงใจพอ ไม่มีความสามารถทำให้สวรรค์เห็นใจ จนไม่อาจทำให้ฝนตกลงมาจากท้องฟ้าได้ ฮ่องเต้จะพอใจหรืออย่างไรกัน? แน่นอนว่าต้องไม่พอใจ แม้ว่าจะไม่เอ่ยออกมาแต่ในใจคงโทษว่าคังอ๋องทำงานไม่ได้เรื่อง
แต่หากขอฝนสำเร็จ เช่นนั้นฮ่องเต้จะต้องสงสัยคังอ๋อง ตั้งแต่อดีตเรื่องการขอฝนนี้ล้วนเป็นฮ่องเต้ออกโรงด้วยตนเอง ฮ่องเต้เป็นใคร? เป็นมังกรสวรรค์ที่แท้จริง! ในตอนนี้คังอ๋องที่เป็นองค์ชายเล็กๆ สามารถขอฝนได้สำเร็จ เช่นนั้นก็หมายความว่าคังอ๋องถึงจะเป็นมังกรสวรรค์ที่แท้จริง? ถึงเวลานั้นถ้าหากโหมไฟให้แรงขึ้น ข่าวลือกระจายขึ้นมา คังอ๋องก็เหมือนว่าถูกมัดขึ้นไปเผาอยู่บนกองไฟแล้ว
ดีที่ตอนนี้คังอ๋องยังไม่รู้ตัว ด้วยคิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ย่อมกลับมายังเมืองหลวงอย่างว่าง่ายและดีใจเป็นอย่างยิ่ง
หากเปลี่ยนเป็นคนที่เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย คงไม่เพียงไม่รับเรื่องนี้ แม้ว่ารับแล้วก็คงจะคิดหาวิธีปฏิเสธไป
หลี่เย่ยิ้มเล็กน้อยแต่กลับส่ายหน้า “พอคังอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวง ทางด้านฮองเฮาจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นแน่ ฮองเฮาจะให้คังอ๋องจัดการเรื่องนี้อย่างไร ในตอนนี้ยังรู้ไม่แน่ชัด ไม่แน่ว่าฮองเฮาไม่อยากให้คังอ๋องเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไรก็ไม่ดีทั้งนั้น”
ถาวจวินหลันมองไปยังหลี่เย่ รับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เกรงว่าท่านคงคิดถึงเรื่องนี้ไว้นานแล้ว หากฮองเฮาไม่ยอมให้คังอ๋องเข้าร่วมเรื่องนี้จริง ไม่ว่าจะใช้เหตุผลอะไรฮ่องเต้ก็จะต้องรู้สึกว่าคังอ๋องตั้งใจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้เป็นแน่ ถึงตอนนั้นในใจก็คงไม่พอใจเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร?”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง มองดูถาวจวินหลันและพูดว่า “คนที่รู้จักข้าคงมีเพียงจวินหลันคนเดียว” ในใจนั้นกลับรู้สึกเสียดายขึ้นมาอีกครั้ง หากไหวพริบและความรอบรู้ของถาวจวินหลันเกิดกับผู้ชาย ไม่ต้องพูดว่าถึงตำแหน่งราชการ ต่อให้แต่งตั้งอ๋องรับตำแหน่งขุนนางก็ถือว่าคุ้มค่า
แต่ภรรยาของตนเองมีไหวพริบและความรอบรู้เช่นนี้ ไม่เพียงแค่ทำให้เขาพอใจเพราะมีคนชื่นชมเท่านั้นและยิ่งพึงพอใจอย่างมาก อย่างไรพอดูทั่วเมืองหลวงนั้นจะหาผู้หญิงมาเทียบกับถาวจวินหลันได้สักกี่คน? จะเอาชายาเอกของพี่น้องทั้งหลายมาพูดก็ได้จะมีใครบ้างที่เทียบกับถาวจวินหลันได้? ไม่มีแม้แต่คนเดียว
แน่นอนว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของถาวจวินหลัน ตอนเด็กๆ นั้นได้รับการสั่งสอนแบบบุตรสาวตระกุลสูงส่ง กฎเกณฑ์มารยาทที่ควรจะมีนั้นก็ไม่หกหาย และเรื่องจัดการเรือนในอย่างไรก็รับรู้และได้เห็นเป็นประจำตั้งแต่ยังเด็ก ของเหล่านี้เมื่อมีแล้วก็ย่อมไม่ได้แตกต่างอะไรกับชายาเอกคนอื่นมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือความยากลำบากที่ถาวจวินหลันเคยได้รับมาก่อนตอนอยู่ในวังหลวง เห็นเรื่องมากมายตั้งเท่าไร?
เมื่อมีประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เมื่อเทียบนางกับพระชายาคนอื่นก็จะมีความนิ่งขรึมและรู้จักกาลเทศะเพิ่มมากขึ้น และยังมีแววตาชาญฉลาดที่มองภาพสถานการณ์ออก และความมั่นใจที่มีต่อคนอื่น
วันรุ่งขึ้นเพราะว่าต้องทำพิธี ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่ไป หลี่เย่ ฮ่องเต้ องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็อยู่ด้วย
พระสนมสองสามคนที่พอมีหน้ามีตาในวังหลวงนั้นก็อยู่เช่นเดียวกัน นอกจากแค่อี๋เฟยเท่านั้น เพราะนางตั้งครรภ์ฮ่องเต้จึงไม่ยอมให้นางมาสัมผัสเรื่องพิธีมนต์ดำอะไรเหล่านี้
ดูจากแค่เรื่องนี้ก็เห็นได้ถึงความสำคัญที่ฮ่องเต้มีต่ออี๋เฟย
หมอเจ้าพิธีที่เชิญมานั้นเป็นแม่หมอที่มีชื่อเสียง คนผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังในบรรดาประชาชน ได้ยินว่าเป็นคนที่มีความสามารถ ถนัดเรื่องการดูอาการเจ็บป่วยแปลกประหลาดมากที่สุดและอาการป่วยเช่นนี้ของไทเฮาก็ได้ยินมาว่าหายดีไปหลายคนแล้ว
ถาวจวินหลันไม่เคยพบเจอเรื่องพิธีเช่นนี้มาก่อน จึงสนใจเป็นอย่างมาก