พอพูดขึ้นมาแล้วก็แปลกนัก ตอนที่แม่หมอคนนั้นทำพิธีก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นดู เพียงแค่ขอห้องหนึ่งในเรือนพักของไทเฮาเท่านั้น และให้คนเอาผ้าไปบังช่องตามประตูหน้าต่างเอาไว้ ไม่อนุญาตให้แสงสาดเข้ามาแม้แต่น้อย คนที่คอยช่วยเหลือก็ไม่ใช้คนแปลกหน้า เพียงแค่ใช้ลูกศิษย์ของนางสองคนเท่านั้น
ลูกศิษย์สองคนนั้นก็แปลกประหลาด คนหนึ่งตาบอดตั้งแต่เกิด ส่วนอีกคนหนึ่งก็หูหนวกตั้งแต่เกิด ที่จริงแล้วแม่หมอคนนั้นก็ไม่ปกตินัก ทั้งร่างนั้นให้ความรู้สึกหมองมัว ดวงตาก็เหมือนมีฝ้าบางๆ บดบังอยู่ชั้นหนึ่ง ไม่ได้สว่างสดใส
เพราะแม่หมอพูดว่าฐานะของไทเฮาสูงส่ง ดังนั้นของบรรณาการที่เตรียมมาย่อมต้องล้ำค่าเป็นพิเศษ สัตว์บรรณาการสามอย่างไม่จำเป็นต้องพูดถึง ผลหมากรากไม้ต้องใช้เก้าชนิด โต๊ะพิธีก็ต้องใช้ไม้หลิวและไม้ไหวมาทำชั่วคราว สุดท้ายแล้วก็ใช้ต้นท้อร้อยปีสลักเป็นหยกสมปรารถนาคู่หนึ่งวางไว้บนเตียงของไทเฮา
แน่นอนว่าไม่เพียงเท่านี้ แล้วยังต้องการอัญมณีบูชาแปดอย่างของสำนักพุทธ ยังดีที่ในห้องเก็บของส่วนตัวของไทเฮามีของเหล่านี้ไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ถึงขั้นตาบอดคลำทาง
เพราะว่าไม่อนุญาตให้คนอื่นอยู่ดู ดังนั้นถาวจวินหลันและผู้หญิงคนอื่นจึงนั่งพูดคุยกับไทเฮาอยู่ในห้อง ส่วนฮ่องเต้และผู้ชายคนอื่นกลับนั่งดื่มชาอยู่ห้องด้านนอก
การรอคอยมักยาวนาน แม่หมอและลูกศิษย์สามคนนั้นเก็บตัวอยู่ในห้องไม่รู้ว่ากำลังยุ่งวุ่นวายกับอะไรอยู่ แต่กลับมีเสียงแปลกประหลาดดังออกมาไม่น้อย บางครั้งก็มีเสียงร้องสูงและเสียงสวดคาถาออกมา แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจทั้งนั้น ส่วนเสียงแปลกประหลาดนั้นฟังแล้วก็ให้รู้สึกว่าไม่ใช่เสียงของมนุษย์
ตัวของไทเฮาเองก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
จิ้งเฟยกลับสงบนิ่งไม่กระวนวายยิ้มและปลอบไทเฮาว่า “ไทเฮาไม่ต้องกังวลไปเพคะ คนนี้มีความสามารถมากทีเดียว หม่อมฉันตามหานางก็เพราะว่านางมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้ยินว่าช่วยคนมาไม่น้อยเลยเพคะ”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มั่นใจขึ้นมาไม่น้อย
กวนผินที่อยู่ข้างๆ และจิ้งเฟยไม่ค่อยลงลอยกันเท่าไร ยิ้มเบิกบานพูดแทรกขึ้นมาว่า “แต่อย่างไรก็น่าหวาดหวั่นเกินไปเสียหน่อย เวลานักพรตนักบวชที่ถูกต้องตามหลักทำพิธีไฉนเลยจะน่ากลัวเช่นนี้? คงไม่ถึงขั้นที่ทำให้คนไม่กล้าดูเช่นนี้”
จิ้งเฟยแค่นหัวเราะ “ทุกฝ่ายทุกสำนักมีใครบ้างไม่มีความลับเป็นของตนเอง? อีกทั้งเดิมก็เป็นวิชาลับ คนปกติจะดูไม่ได้ ไม่เพียงแค่ให้พิธีล่มได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และยิ่งทำให้สิ่งของเหล่านั้นเข้าหาตนเอง แม่หมอทำเพราะหวังดีต่อพวกเรา ไม่ว่าอย่างไรก็เพียงแค่มีผลก็ดีแล้ว”
ไทเฮาทนฟังเรื่องพวกนี้ไม่ไหว จึงพูดว่า “พอได้แล้ว เงียบเสีย เสียงดังจนข้าปวดหัวไปหมด”
จิ้งเฟยและกวนผิงทำได้แค่เงียบปากลง
ถาวจวินหลันอดก้มหน้าครุ่นคิดไม่ได้ จากวิธีการพูดของจิ้งเฟย เกรงว่าแม่หมอคนนั้นไม่ใช่เทพเซียนที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเสียเท่าไร เป็นแม่มดหมอผีก็ไม่อาจรู้ได้ หรืออาจจะเพราะว่าเก็บงำความลึกลับถึงได้มีเจตนาสร้างความลี้ลับซับซ้อนหลอกให้คนสับสน?
ตอนที่กำลังวิเคราะห์อยู่ก็ได้ยินเสียงนางกำนัลรายงานมาจากด้านนอก “แม่หมอออกมาแล้วเพคะ!”
เพราะว่าขันทีเป็นคนธาตุหยิน ไม่ถือว่าเป็นชายและหญิง ดังนั้นแม่หมอจึงไม่อนุญาตให้ขันทีอยู่บริเวณใกล้เคียง ตอนนี้ที่เหลืออยู่ในวังจึงมีเพียงนางกำนัลหญิงเท่านั้น
ไทเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง “เรียกให้เขาเข้ามาพูดคุย”
ความหมายก็คือทางนี้ต้องการถามคำถาม
เมื่อแม่หมอเดินเข้ามา ฮ่องเต้และคนอื่นๆ ก็ตามเข้ามาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ต้องฟังว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่อย่างไรก็ถือเป็นวัตถุประสงค์ของการทำพิธี
แม่หมอยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย มองจากที่ไกลๆ ก็เห็นว่ามีสีสันแปลกประหลาด สีมืดครึ้ม แต่บางครั้งก็มีสีอื่นประกายออกมา พอเดินเข้ามาใกล้และตั้งใจมองให้ดีถาวจวินหลันถึงได้เข้าใจ นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าธรรมดา แต่เป็นชุดขนนกที่เกิดจากการร้อยขนนกเข้าด้วยกัน
ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตัวอย่างที่คนเอาขนนกมาร้อยเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเสื้อขน แต่เสื้อขนเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกเอาขนนกที่มีสีสันหลากหลาย แต่เสื้อขนนกของแม่หมอคนนี้กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นขนนกสีเข้มทั้งนั้น มีเพียงแค่บางตำแหน่งที่สีสว่างขึ้นเล็กน้อย
ใบหน้าของแม่หมอไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร บวกกับดวงตาที่แสนพิเศษคู่นั้น จนทำให้ทั้งร่างนั้นยิ่งดูมืดมนจนคนไม่กล้าจ้องมองนางแม้แต่น้อย
ไทเฮากวาดตามองแค่เพียงครั้งเดียวก็ขมวดคิ้ว แต่เมื่อคิดว่าสุดท้ายก็เป็นเพราะลูกหลานกตัญญูคิดกังวลถึงได้คิดใช้วิธีเช่นนี้ จึงเก็บอารมณ์ของตนกลับไป
ใครจะคิดว่าแม่หมอคนนั้นกลับเป็นคนที่มีความสามารถ เพียงแค่พริบตาเดียวก็มองความคิดของไทเฮาออก เอ่ยปากถามฉับพลันทันทีว่า “ไทเฮาไม่เชื่อแม่หมอชราอย่างข้าหรือเพคะ?”
ไทเฮาไร้ซึ่งคำพูด
กวนผินคิดว่านี่เป็นโอกาสให้นางแสดงออก จึงตะโกนออกมาเสียงดังอย่างอาจหาญ “กล้านัก พบไทเฮาแล้วยังไม่รีบคุกเข่าทำความเคารพอีกอย่างนั้นหรือ?”
แม่หมอคนนั้นกลับไม่ได้ทำเรื่องผิดนอกกรอบ ทำความเคารพตามกฎเกณฑ์มารยาท แต่กลับเอ่ยคำถามเดิมออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้ แต่กลับให้คนรู้สึกได้ถึงความหัวแข็งเป็นอย่างมาก จำต้องให้ไทเฮาตอบออกมาเท่านั้น
ไทเฮาอดทนนั่งคิดตอบ “ไม่ว่าข้าจะเชื่อหรือไม่ ขอเพียงแค่เจ้ามีความสามารถจริงแล้วยังต้องกลัวข้าสงสัยไปทำไม?”
แม่หมอคนนั้นได้ยิน ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเอ่ย “เป็นเช่นนั้นจริงเพคะ เป็นข้าที่หัวดื้อไป”
จิ้งเฟยเริ่มรู้สึกขายหน้า จึงรีบถามว่า “การทำพิธีคราวนี้หาสาเหตุที่ไทเฮาประชวรมานานได้แล้วหรือไม่? แล้วมีวิธีกำจัดหรือไม่?”
พอจิ้งเฟยถามเช่นนี้ ฉับพลันนั้นสายตาแฝงแววสอบถามของทุกคนก็มองไปยังแม่หมอคนนั้น
ปฏิกิริยาของฮ่องเต้ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เพราะว่าเป็นลูกชาย และปกติแล้วแม่ลูกก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ความใส่ใจและห่วงใยที่ฮ่องเต้มีต่อไทเฮานั้นพูดได้ว่าจริงใจมากที่สุดในบรรดาคนที่อยู่ ณ ที่นี้ แน่นอนว่าก็ไม่ได้หมายความว่าหลี่เย่ไม่จริงใจหรือไม่เป็นห่วง แต่ว่าการแสดงออกของเขาไม่ได้ชัดเจนเท่าฮ่องเต้ก็เท่านั้นเอง
หากแสดงออกชัดเจนเกินกว่าฮ่องเต้ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรืออย่างไรกัน?
แม่หมอคนนั้นพยักหน้า “ค้นพบสาเหตุแล้วเพคะ วิธีก็ง่ายมากเลยทีเดียว แต่ต้องดูว่าพวกท่านจะทำหรือไม่”
แม่หมอพูดอย่างมั่นใจ ต่อให้ใช้แค่ตามองก็สัมผัสถึงความมั่นใจของนางได้ ถาวจวินหลันสบายใจอย่างบอกไม่ถูก จึงรู้สึกว่าอาการประชวรของไทเฮาจะต้องหายดีเป็นแน่
ไม่รอให้จิ้งเฟยถาม ฮ่องเต้ก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “เจ้าพูดมาว่าเป็นวิธีอย่างไร? ขอเพียงแค่รักษาไทเฮาได้ ข้าจะมอบทองพันแท่งเป็นรางวัลให้เจ้า!”
แม่หมอคนนั้นกลับส่ายหน้า “ข้าเป็นคนเล่นของ ไม่อาจรับของล้ำค่าได้ ขอเพียงแค่เงินประทังชีวิตก็พอแล้วเพคะ ข้าขอเพียงเรื่องเดียว พอถึงวันที่เกิดมหันตภัยขึ้น ก็ให้ฮ่องเต้เห็นใจและประคับประคองประชาชน อย่าได้ทำให้แผ่นดินที่ยิ่งใหญ่นี้กลายเป็นขุมนรกบนผืนดิน!”
คนผู้นี้เอ่ยปากมาก็เป็นคำว่ามหันตภัยแล้ว ทำให้ฮ่องเต้มีสีหน้าหมองคล้ำลงไปในทันใด แต่เมื่อคิดถึงว่าไทเฮาไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ก็ยังว่ากล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าเลิกพูดจาเลอะเทอะ จะมีมหันตภัยได้อย่างไร? ข้าได้ให้คนไปทำพิธีขอฝนแล้ว ไม่นานก็จะมีฝนตกหนักจะต้องผ่อนผันเรื่องความแห้งแล้งได้อย่างแน่นอน!”
แม่หมอคนนั้นหลุบตาลงมองปลายเท้า พูดออกมาเรียบๆ “ทำไมฮ่องเต้จะต้องตื่นตระหนกเช่นนั้นด้วยเพคะ? ข้าก็เพียงแค่พูดสมมติเท่านั้น เวลาที่ควรจะมาก็ต้องมาอยู่ดี ถ้าจะไม่เกิดจริงก็คงไม่เกิดเพราะคำพูดของข้าเพียงคนเดียวหรอกเพคะ”
เมื่อพูดเช่นนี้ก็ทำให้ฮ่องเต้พูดไม่ออก แม้ว่าในใจจะโมโห แต่ใบหน้าและคำพูดก็ยังต้องใจกว้าง “ดี ถ้าเช่นนั้นข้ารับปากเจ้าแล้วอย่างไร? พวกเขาเป็นพสกนิกรของข้า ข้าย่อมเห็นใจพวกเขา ไม่ละเลยชีวิตของพวกเขาเป็นแน่!” หยุดไปครู่หนึ่งก็รีบเร่งว่า “เจ้ารีบพูดวิธีของเจ้าออกมา จะได้ทำให้ไทเฮาหายในเร็ววัน”
“ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชฐานมีผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นเป็นหญิงมีครรภ์ เป็นชะตาของนางที่ขัดกับไทเฮา ถึงทำให้ไทเฮาเป็นเช่นนี้” แม่หมอคนนั้นชี้นิ้วไปที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ปากก็เอ่ยพูดออกมา
คนทั้งหมดล้วนตกใจ ถาวจวินหลันเองก็เสแสร้งแกล้งทำเช่นกัน แต่ในใจของนางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหญิงมีครรภ์ที่บอกนั้นคือใคร
กลับเป็นไทเฮาที่มองฮ่องเต้ “หรือว่ามีนางสนมคนไหนตั้งครรภ์อีกอย่างนั้นหรือ?”
ฮ่องเต้แม้ว่าจะมีสีหน้าเขียวคล้ำ หลังจากที่มาพระราชฐานแล้ว เขาก็ไปหาบรรดาสนมทั้งหลายน้อยครั้ง ส่วนใหญ่แล้วก็จะไปพักที่วังของอี๋เฟย เขาเองก็อยากจะคิดว่าเป็นคนอื่นที่ตั้งครรภ์ แต่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือกลับมีเพียงอี๋เฟยพักอยู่คนเดียวเท่านั้น!
“ถ้าเช่นนั้นหญิงมีครรภ์คนนั้นเพิ่งจะมีครรภ์หรือ?” ในใจของจิ้งเฟยกระตุกวูบ เหมือนจะจับอะไรบางอย่างได้ ในตอนนั้นในใจก็เกิดความลิงโลดขึ้นมา แต่ก็ยังต้องกดความยินดีนี้เอาไว้ และถามแม่หมออีกครั้ง
แม่หมอส่ายหัว “ข้าลองถอดจิตไปดูแล้ว ดูท่าทางมีอายุครรภ์แปดเดือนได้แล้ว”
อายุครรภ์แปดเดือน? ใช่แล้ว ในท้องของอี๋เฟยก็เหมือนกับครรภ์อายุแปดเดือนจริงๆ
“เป็นเด็กที่ดวงชะตาขัดกับไทเฮาหรือว่าผู้หญิงคนนั้นที่ชะตาขัดกับไทเฮา?” จิ้งเฟยรีบถามออกมา
“เป็นผู้หญิงคนนั้น แต่การตั้งครรภ์นั้นส่งผลให้นางมีอำนาจมากขึ้น เพิ่มอำนาจดวงให้กับนาง ยิ่งครรภ์ใหญ่มากเพียงใด นางก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และยิ่งขัดกับดวงชะตาของไทเฮามากขึ้น” แม่หมอคนนั้นอธิบายอย่างมีเหตุมีผล และยังพูดกล่อมทุกคนได้
“แต่ก่อนนี้ในวังหลวงไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมพอมาถึงพระราชฐานแล้วถึงได้เกิดขัดกันขึ้นมากะทันหัน?” ฮ่องเต้เริ่มสงสัย อีกคนเป็นแม่แท้ๆ อีกคนเป็นอนุภรรยาและลูก อยากให้เขาเชื่อนั้นย่อมไม่ง่าย
แม่หมอคนนั้นส่ายหน้า อธิบายต่อไป “ภายในวังมีลมมังกรของฮ่องเต้หลายสมัยหลงเหลืออยู่ และยังมีดาวจักรพรรดิส่องประกาย อีกทั้งสถานที่พักของไทเฮาในตอนนั้นก็มีคนอยู่จำนวนมาก และยังได้รับความนับถือ ดังนั้นย่อมต้องไม่กลัวเรื่องเช่นนี้เป็นแน่ แน่นอนว่าพอดึงดันกับฝ่ายตรงข้ามได้ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่ตอนนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่และยังขาดแสงส่องประกายของดาวจักรพรรดิ และบวกกับคนไม่เยอะมากพอ แต่ฝ่ายตรงข้ามนั้นกลับมีพลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไทเฮาถึงได้ถดถอยลงทุกวัน”
คำอธิบายเช่นนี้ก็ถือว่าพอไปได้ นับว่าสมเหตุสมผล อย่างน้อยหากนางไม่รู้มาก่อนว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ เกรงว่านางคงเชื่อคำพูดนี้เป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้นวิธีแก้ไขเล่า?” จิ้งเฟยถามขึ้นมา น้ำเสียงแฝงความตื่นเต้นและยินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของคนอื่นอยู่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอี๋เฟยยังจะได้ประโยชน์อีกหรือไร? แน่นอนว่าไม่มีทางได้รับประโยชน์ใดๆ อย่างแน่นอน
ถาวจวินหลันหลุบตาลง ในใจคิดว่า ตั้งแต่เมื่อไรกันที่จะงีบนอนแล้วมีหมอนมายื่นให้ถึงที่? นี่อย่างไรเล่า จะต้องรู้ว่าที่จิ้งเฟยแสดงออกอย่างร้อนรนเช่นนี้ ต่อจากนี้ไปหากไม่สงสัยจิ้งเฟยแล้วจะไปสงสัยใคร?
ดังนั้นพูดได้ว่าต่อให้โยนความผิดนี้ให้จิ้งเฟยเป็นแพะรับบาป ก็โทษได้แค่การแสดงออกของนางในวันนี้แล้ว
จะต้องรู้ว่าฮ่องเต้ยามนี้แสดงความหงุดหงิดใจชัดเจนแล้ว
แม่หมอคนนั้นส่ายหน้า “คงไม่สามารถทำเรื่องที่โหดเ**้ยมไร้มนุษยธรรมได้ เพียงแค่แยกกันเท่านั้น และนำหญิงมีครรภ์คนนั้นไปกักไว้ที่สถานที่ห่างไกล และเอายันต์ไปแขวนไว้ที่สี่มุมของเรือน ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว แต่ทางที่ดีที่สุดคือให้ออกห่างมากที่สุดเท่าที่ทำได้”
วิธีนี้ค่อนข้างสะดวก แค่เพียงพาอี๋เฟยไปเก็บตัวไว้เท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นจำต้องทำถึงเมื่อไร?” จิ้งเฟยถามขึ้นมาอีก
“อย่างน้อยก็หลังจากที่คลอด” แม่หมอคนนั้นกล่าว
ทุกคนหันไปมองฮ่องเต้