มีตระกูลใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ยืนยันเสนอตัวจะออกกจาเมืองไปปราบกองโจรกลุ่มนี้ ข่าวนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและพ่อค้าจำนวนมาก
อย่างไรเสียเป็นกองโจรหรือว่าผู้ลี้ภัยมองเพียงปราดเดียวก็รู้
ถาวจวินหลันรู้สึกว่าค่อนข้างเกินไปเสียหน่อย อย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่ได้ทำอะไร จะสรุปเอากันเองว่าจะจัดการมอบโทษประหารให้พวกเขาก็ถือว่าไม่ค่อยมีเมตตาไปเสียหน่อย ถ้าหากว่าทำเช่นนี้จริง ไม่เพียงแค่สูญเสียใจของประชาชน ต่อไปก็ยังมีแต่เสียก่นด่าเท่านั้น
ความคิดของหลี่เย่คือให้รอดูก่อน แต่จนใจที่ตอนนี้บรรดาตระกูลใหญ่ๆ ล้วนคิดเช่นนี้หมด เสียงของคนหลายๆ คนได้ฝังลงไปในใจ ก็เทียบได้กับควายดินเหนียวจมหายไปในทะเล หายลับไปไม่ได้พบอีก
เพื่อเรื่องนี้แม้แต่ความอยากอาหารหลี่เย่ก็ไม่ค่อยมี เคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
ถาวจวินหลันเองก็พลอยได้รับผลกระทบ ไม่มีความอยากอาหารไปด้วย
เจ้านายเป็นเช่นนี้ แล้วบ่าวรับใช้เล่า? ภายในช่วงเวลาสั้นๆ บรรยากาศทั่วทั้งจวนก็หดหู่ แม้แต่ซวนเอ๋อร์ที่ดื้อซนอยู่ตลอดก็นิ่งเงียบไปมากเช่นกัน
ตกดึกทั้งสองคนก็เอนตัวลงนอนบนเตียง แต่ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ท้ายสุดถาวจวินหลันก็ทนไม่ได้เอ่ยปากออกมา “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ?”
หลี่เย่ไม่ส่งเสียง แต่กลับส่ายหน้า
“ถ้ามีวิธีแยกผู้ลี้ภัยและกลุ่มจลาจลเล่าเจ้าคะ? กลุ่มจลาจลอาจจะสมควรตาย แต่คนที่อยู่นอกเมืองเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมด แม้ว่าจะทำ ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องสมัครใจ ส่วนมากมักถูกบังคับให้เป็นเช่นนั้น” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วพูดออกมาช้าๆ “สวรรค์ไม่เห็นใจ มนุษย์เองก็ไม่มีทางแก้ ถ้ายังทำมาหากินที่บ้านเดิมได้ พวกเขาก็คงไม่จำเป็นต้องเดินทางมาแสนไกลถึงเมืองหลวงเป็นแน่”
หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “จะแบ่งอย่างไร? รวมอยู่ด้วยกันทั้งหมด”
“ผู้ลี้ภัยที่แท้จริงหวังอะไรเจ้าคะ? แค่พื้นที่ทำการเกษตรได้ และห้องที่หลบฝนบังแดดได้ก็เท่านั้น มีสองอย่างนี้พวกเขาก็พอใจแล้ว” ถาวจวินหลันพูดไปก็เริ่มรู้สึกสงสาร ท้ายสุดก็ถอนหายใจ “บางทีแค่มีสองเรื่องนี้ก็จะต้องมีคนคล้อยตามอย่างแน่นอน พื้นที่นอกเมืองของเมืองหลวงมีสวนมากมาย สวนที่หนึ่งก็ให้แบ่งคนไปสองสามคน ก็จะสามารถจัดการคนเหล่านี้ได้แล้ว รอจนมหันตภัยผ่านไป พวกที่ยินยอมจะกลับไปก็ค่อยกลับ ถึงเวลานั้นราชสำนักค่อยช่วยเหลืออีกทีหนึ่งก็พอแล้ว”
“แล้วค่อยเอาความคิดนี้ของราชสำนักไปถ่ายทอดภายในกลุ่มประชาชน พวกเขาอยากมีชีวิตหรืออยากตายล้วนแล้วแต่พวกเขาทั้งนั้น” ถาวจวินหลันพูดจบก็รู้สึกว่าในใจเหมือนมีลูกตุ้มตกลงมา หนักหนายากเย็น
หลี่เย่เหมือนว่าจะคล้อยตาม มีความคิดมากมายพุ่งออกมา จนแทบจะครอบครองความคิดของเขาทั้งหมด
สุดท้ายหลี่เย่ก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างเร่งรีบ “ตอนนี้ข้าจะเข้าวังหลวงสักครั้ง”
ถาวจวินหลันตกใจ “ตอนนี้ประตูเมืองปิดหมดแล้ว จะเข้าวังได้อย่างไรเพคะ? อีกอย่างตอนนี้ดึกมากแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงบรรทมแล้ว ไม่สู้รอประตูวังหลวงเปิดพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ดีกว่าเพคะ”
หลี่เย่ส่ายหน้า “ไฉนเลยจะรอถึงวันพรุ่งนี้ได้เล่า? เกรงว่าพรุ่งนี้ตอนบ่ายจะออกไปนอกเมืองปราบโจรกันหมดแล้ว”
ถาวจวินหลันทำได้แค่ลุกขึ้นมาปรนนิบัติหลี่เย่ให้สวมเสื้อผ้าเหมาะสมอย่างเร่งรีบ และไปส่งเขาที่ประตู เมื่อผ่านเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้นางหายง่วงไป แทบจะนั่งเอนอยู่จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
นางฉวยโอกาสตอนนี้มาเรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้
ด้วยเป็นกังวล ดังนั้นวันรุ่งขึ้นถาวจวินหันจึงเรียกคนไปรับถาวซินหลันให้มาพูดคุยกัน
“ทางด้านตระกูลเฉินได้เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?” แม้จะบอกว่าตระกูลเฉินเป็นตระกูลใหญ่ การจัดการเรื่องต่างๆ ล้วนเตรียมพร้อมอย่างเหมาะสม แต่ถาวจวินหลันก็ยังถามเพื่อความวางใจอีกรอบหนึ่ง
ถาวซินหลันโบกมือ “เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเป็นกังวล ย่อมต้องมีคนคอยจัดการดูอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากเป็นกังวลมากเกินไป คนอื่นก็จะพลอยคิดว่าข้ามีจุดมุ่งหมายอย่างอื่น ไม่สู้ออกคำสั่งแล้วให้คนอื่นทำไปดีกว่าเจ้าค่ะ แต่ทางท่านพี่เถิด เตรียมทุกอย่างพร้อมพรักแล้วหรือยังเจ้าคะ? ยามนี้ผู้ลี้ภัยนอกเมืองมีจำนวนมาก หลายวันแล้วที่ไม่ได้เปิดประตูเมือง ภายในจวนขาดแคลนอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”
“ใช้ประหยัดเสียหน่อยก็พอผ่านไปได้” ถาวจวินหลันยิ้ม ท้ายสุดก็ถอนหายใจออกมา “อีกทั้ง ไม่ว่าอย่างไรประตูเมืองก็ต้องเปิด”
“ข้าเองก็ได้ยินเฉินฟู่พูดเรื่องการเปิดประตูเมืองแล้ว” ถาวซินหลันขมวดคิ้วน้อยๆ “หลังจากนี้ไปท่านต้องบอกพี่เขยว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำลายชื่อเสียงเสียเปล่า”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ข้ากลับวางแผนว่าจะเอาเผือกร้อนนี้ไปโยนไว้ให้จวนเหิงกั๋วกง”
ถาวซินหลันตกใจเล็กน้อย ทว่าจากนั้นก็หัวเราะเห็นด้วย “นี่ถือเป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ แต่ว่าจะใส่ร้ายอย่างไร? ถ้าเป็นแค่ข่าวลือเกรงว่าจะไม่มีคนเชื่อ แต่หากต้องเอาหลักฐานออกมาจริงๆ ก็ไม่มีอีก”
“ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธี” ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม ถอดสายตามองถาวซินหลัน
ถาวซินหลันเข้าใจความหมายของถาวจวินหลันทันที ยิ้มและพูดว่า “ขอเพียงแค่พูดกล่อมคนนั้นได้ คิดว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่สำเร็จเป็นแน่”
“แต่การที่จะกล่อมคนผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นพี่เขยหรือว่าเฉินฟู่ หรือว่าจะเป็นพ่อสามีของข้าล้วนไม่เหมาะออกหน้า” ถาวซินหลันส่ายหน้า อย่างไรหากพูดเรื่องนี้ไปตามใจชอบจริง เกรงว่าต่อจากนี้ฮ่องเต้คงรู้สึกว่าหลี่เย่กำลังวางแผนร้ายต่อพี่น้องตนเองอยู่ หรือถ้าทางด้านจวนเหิงกั๋วกงรู้เข้าก็จะดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์
ในเมื่อถาวจวินหลันพูดออกมาแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องมีแผนการของตนเอง นางหัวเราะออกมาเบาๆ มองถาวซินหลัน ก่อนถามว่า “ตั้งแต่เจ้าออกเรือนไปก็ยังไม่ได้เข้าวังหลวงเลยสักครั้งใช่หรือไม่? พูดไปแล้วไทเฮากลับเสียแรงเอ็นดูเจ้าแล้ว”
ถาวจวินหลันเปลี่ยนหัวข้อพูดอย่างกะทันหัน ทำให้ถาวซินหลันนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
ถาวซินหลันค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา มองไปที่ถาวจวินหลันอย่างขบขัน “ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้ท่านพี่พาข้าเข้าวังหลวงไปทำความเคารพไทเฮาเสียหน่อยเป็นอย่างไรเจ้าคะ? พูดไปแล้ว ได้ยินว่าไทเฮาประชวรตอนอยู่ที่พระราชฐาน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันเล่าเรื่องการทำพิธีและสถานการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด แต่เรื่องวิธีการที่พวกเขาแอบทำนั้นกลับไม่ได้พูดออกมา
แต่ถาวซินหลันกลับมองนางอย่างแฝงนัย ก่อนคลี่ยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าพอคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่ยิ้มบางๆ
ถาวซินหลันมองพี่สาวของตนเอง แล้วอดลอบถอนหายใจไม่ได้ หลายปีมานี้ท่านพี่ใช้ชีวิตโดยไม่ได้พักผ่อน ไม่ง่ายดายเลยแม้แต่วินาทีเดียว เทียบกับนางแล้วท่านพี่ต้องลำบากมากกว่าตั้งกี่เท่า?
ถาวซินหลันกลับถามการกระทำของถาวจวินหลันที่ตนเองสงสัยออกมาเบาๆ “หรือว่าพี่เขยคิดจะ…”
เรื่องเหล่านี้เฉินฟู่ไม่ได้บอกถาวซินหลัน ถาวซินหลันย่อมต้องไม่รู้ แต่สามารถคาดเดาได้จากคำพูดเหล่านี้ของถาวจวินหลันก็ถือไม่ง่ายเลย
เรื่องนี้ไม่ควรปล่อยให้ช้าไปกว่านี้ ตอนบ่ายวันนั้นถาวจวินหลันก็พาถาวซินหลันเข้าวังหลวง เหตุผลที่ใช้ย่อมเป็นเรื่องเข้าวังหลวงไปทำความเคารพ ยังดีที่ถาวซินหลันถือว่าโตขึ้นมาในวังหลวง และไทเฮาก็เอ็นดูมาโดยตลอด ดังนั้นนางเข้าวังมาทำความเคารพไทเฮาก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ไม่มีคนมาขัดขวางอะไร
ไทเฮาได้ยินว่าสองพี่น้องตระกูลถาวเข้าวังหลวงมาทำความเคารพตน ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าเด็กไม่มีมโนธรรม สุดท้ายก็คิดถึงข้าจนได้”
เจ้าเด็กไม่มีมโนธรรมย่อมต้องหมายถึงถาวซินหลัน
จางหมัวหมัวได้ยินก็หัวเราะเอ่ยว่า “นางได้ยินเข้าคงไม่ยอมเป็นแน่เพคะ แต่ว่าหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้ว ไฉนเลยจะสบายได้เช่นนั้น? ข้างบนยังมีพ่อสามีแม่สามี พี่ชายพี่สะใภ้นะเพคะ”
“ช่างเถิด ให้ข้าเดา ไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็คงไม่มาหา” ไทเฮายิ้มอย่างไม่ยี่หระ พูดว่า “เจ้าไปรับพวกนางเถิด เหมือนกับหญิงสาวที่ออกเรือนไปกลับมาบ้าน ก็ควรให้เกียรติพวกนางเสียหน่อย”