หลังจากทำความเคารพแล้ว ไทเฮาก็ประทานที่นั่งให้
“เจ้าเด็กตระกูลเฉินปฏิบัติต่อเจ้าดีหรือไม่?” ไทเฮาอมยิ้มมองถาวซินหลัน พอเห็นถาวซินหลันหน้าแดงเถือกจนก้มหน้าลงไป จึงพูดหยอกล้อว่า “ดูท่าทางจะใช้ได้ทีเดียว มิเช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นลืมข้าหรอก”
ถาวซินหลันเอียงอาย ขาดแค่เพียงกระทืบเท้าเท่านั้น “ไทเฮา!”
“เพียงหยอกล้อเจ้าเล็กน้อย ทำไม ไม่ยอมหรืออย่างไร?” ไทเฮาส่งเสียงหัวเราะออกมา แต่ยิ่งดูมีเมตตามากกว่าเดิม “หากเขากล้าทำไม่ดีต่อเจ้า ข้าจะออกหน้าแทนเจ้าเอง!”
พูดหยอกล้อกันครู่หนึ่งก็ควรต้องเข้าเรื่องจริงจังแล้ว
ถาวซินหลันมองไปทางถาวจวินหลันทีหนึ่ง ลอบคิดว่างานนี้เห็นท่าว่าตนเองจะต้องเป็นคนเริ่มแล้ว อย่างไรพี่สาวของตนเองยังต้องรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ เรื่องเช่นนี้ให้นางเอ่ยปากพูดออกมาจะดีกว่า หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงตั้งใจถามว่า “คนเหล่านั้นที่อยู่บริเวณนอกเมืองทำให้คนที่อยู่ภายในเมืองหลวงตอนนี้รู้สึกหวาดหวั่น ประตูเมืองก็เปิดไม่ได้ พี่สะใภ้ใหญ่ของหม่อมฉันพูดอยู่ทุกวัน ว่าแม้แต่ผักก็ยังหาซื้อไม่ได้ ช่างน่าเจ็บปวดใจเสียจริง” หยุดไปครู่หนึ่งก็ถามไทเฮาอีกว่า “ไทเฮาเพคะ ทุกคนต่างพูดว่านั่นไม่ใช่ผู้ลี้ภัยจริงๆ เป็นเรื่องจริงหรือไม่เพคะ?”
ไทเฮาเหลือบมองถาวซินหลัน ต่อว่า “รู้อยู่แก่ใจแล้วยังถาม ยามนี้เฉินฟู่เป็นคนสำคัญข้างกายฮ่องเต้แล้ว พ่อสามีของเจ้าเองก็เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก หรือว่าพวกเขาจะไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ? ยังจะตั้งใจมาถามข้า ข้าไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
ถาวซินหลันถูกจี้จุดก็ไม่เห็นว่าจะประหม่า แต่กลับยิ้มออดอ้อน “พวกเขาไม่พูดเรื่องเหล่านี้ภายในจวนนี่เพคะ ข้าไม่ถามไทเฮาแล้วข้าจะไปถามใครเล่า? ไทเฮาหากท่านไม่รู้ เช่นนั้นใครจะรู้เล่าเพคะ?”
ท่าทีเช่นนี้ของถาวซินหลันทำให้ไทเฮาหัวเราะเสียงดัง “เจ้าลิงนี่!”
ถาวซินหลันทำหน้าเอียงอาย “ไทเฮาได้โปรดบอกหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะได้วางใจขึ้นมาบ้าง”
ไทเฮาเห็นเช่นนั้น ก็ค่อยๆ หุบยิ้ม สะบัดมือให้นางกำนัลหญิงที่อยู่ปรนนิบัติออกไปให้หมด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “หากเป็นผู้ลี้ภัยจริง ก็คงไม่มีท่าทีเช่นนี้ ราชสำนักไม่เปิดประตูเมือง ก็ด้วยคิดถึงประชาชน จะต้องรู้ว่าหากเป็นผู้ลี้ภัยจริง ราชสำนักจะไม่บรรเทาทุกข์ไม่ทำอะไร แล้วจะยังปล่อยอีกฝ่ายหนึ่งไปอย่างนั้นหรือ ?”
หลังจากพูดจบแล้ว ก็มองไปที่ถาวจวินหลันทีหนึ่ง “พี่สาวของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าอย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง เจ้ามีอะไรอยากพูดกับข้า?”
ประโยคสุดท้ายนี้กลับหันมามองถาวจวินหลัน
ในใจของถาวจวินหลันเทิดทูนเคารพความตาเหยี่ยวของไทเฮา ย่อมต้องไม่กล้านั่งนิ่งอีกต่อไป เม้มปากพูดเสียงเบา “หม่อมฉันได้ยินท่านอ๋องพูดว่าราชสำนักวางแผนจะสลายกลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่านั้นใช่หรือไม่เพคะ? หากทำเช่นนั้นจริง เกรงว่าไม่ว่าใครนำขบวน ต่างก็ต้องรับเสียงก่นด่าทั้งนั้น ชื่อเสียงของฮ่องเต้ก็เช่นกัน…”
คำพูดนี้ถือว่าจี้ถูกจุด ไทเฮาอดถอนหายใจไม่ได้ “เป็นเช่นนั้น ข้าเองก็เป็นกังวล” เป็นฮ่องเต้นั้นไม่ง่าย และเป็นฮ่องเต้ที่ดีก็ยิ่งไม่ง่าย หากทำไม่ดีก็จะเหลือชื่อเสียงให้โดนด่าจนถึงหมื่นปี คนเป็นแม่ไฉนเลยจะหวังให้ลูกชายของตนเองตายไปก็ยังถูกคนก่นด่าเล่า?
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ฮ่องเต้อาจหาญ ไม่อาจถูกทำลายได้ในเวลาสั้นๆ เมื่อคืนนี้ท่านอ๋องคิดวิธีออกวิธีหนึ่ง เป็นวิธีที่จะแบ่งผู้ลี้ภัยจริงๆ และกลุ่มจลาจลออกจากกัน หากวิธีนี้สำเร็จ เรื่องนี้อย่างน้อยก็พอผ่อนได้บ้างเพคะ แต่ว่ากลุ่มจลาจลเหล่านั้นท้ายสุดแล้วก็ยัง…”
บริเวณรอบเมืองหลวงไม่ได้มีหน่วยทหารมาก ต่อให้ต้องสั่งย้ายมาก็ต้องใช้เวลาและกำลังแรง นี่ถึงเป็นสาเหตุว่าทำไมกลุ่มจลาจลเหล่านั้นถึงได้ปิดประตูเมืองอยู่ตลอด
ไทเฮาถอนหายใจอีกครั้ง “นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
“หากฮ่องเต้ไม่ออกหน้า เสียงก่นด่านี้…” ถาวจวินหลันเอ่ยเสียงเบา ใช้เสียงแค่พอให้สามคนได้ยินเท่านั้น
ไทเฮาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถอนหายใจ “ให้คนแบกความผิดนี้ไว้ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี แต่ไม่ว่าให้ใครทำ ท้ายสุดแล้วล้วนเป็นขุนนาง สุดท้ายคนที่รับความผิดก็ยังเป็นฮ่องเต้”
ถาวจวินหลันมองถาวซินหลันทีหนึ่ง คิดแล้วคิดอีกสุดท้ายก็พูดออกมาก่อน “ที่จริงแล้วหม่อมฉันคิดตัวเลือกที่ดีได้แล้วเพคะ”
ไทเฮาเลิกคิ้ว พูดอย่างเด็ดขาด “เจ้าพูดมา”
“เหิงกั๋วกง” ถาวจวินหลันพูดแผนการของตนเองเสียงเบา “เหิงกั๋วกงมีอำนาจมากมาย ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเรื่องบีบบังคับเช่นนี้เพคะ”
ไทเฮาเขม็งมองถาวจวินหลันนิ่ง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “วิธีนี้แท้จริงแล้วเป็นเจ้าที่คิดหรือว่า…” แต่เดิมอยากถามว่าเป็นสิ่งที่หลี่เย่คิดหรือไม่ แต่พอจะเอ่ยปากออกมากลับกลืนคำพูดลงไป แต่ก็สื่อความหมายเช่นนั้น
ถาวจวินหลันส่ายหัวทันที พูดออกมาว่า “นี่ไม่เกี่ยวข้องกับท่านอ๋องเพคะ เพียงแค่หม่อมฉันคิดเลอะเทอะเท่านั้น คิดว่าบางทีอาจจะช่วยได้”
ไทเฮามองถาวจวินหลันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในใจสับสนวุ่นวาย ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าถาวจวินหลันไม่ใช่คนซื่อขนาดนั้น พอยามนี้ก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่คิด ก่อนหน้านี้อยู่ที่เรือนในก็ยังปล่อยไปได้ ตอนนี้กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องภายในราชสำนักก็กล้าเข้ามายุ่งด้วย
แม้ว่าจะเป็นไทเฮา แต่ก็จำต้องยอมรับว่าวิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดี หากเรื่องนี้สำเร็จ ผลประโยชน์ที่ตามมาย่อมต้องมากมายเป็นแน่
ถาวจวินหลันแม้ว่าจะไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจ แต่เมื่อถูกไทเฮาถาม ก็รู้สึกอึดอัดทันที ในใจของนางเข้าใจดี หากดูตามบรรทัดฐานของผู้หญิงแล้ว นางทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม ด้วยเป็นผู้หญิงนางก็ควรจะยุ่งวุ่นวายแค่เรื่องภายในเรือน ทว่าเวลานี้นางกล้าเข้ามายุ่งเรื่องราชการ ไทเฮาต้องไม่พอใจเป็นแน่
เวลานี้เองถาวซินหลันก็เอ่ยปากออดอ้อนไทเฮา “ไทเฮา! ท่านพี่ของหม่อมฉันไม่ใช่เพราะว่าเห็นใจตวนชินอ๋องหรืออย่างไรเพคะ? ที่นางทำก็เพื่อแบ่งเบาภาระของราชสำนักไม่ใช่หรือเพคะ? ใครบอกว่าผู้หญิงสู้ผู้ชายไม่ได้เพคะ? ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คิดหาวิธีได้ย่อมเป็นคนดีมิใช่หรือเพคะ?”
ต่อให้ความคิดของไทเฮาจะสับสนวุ่นวาย สุดท้ายแล้วก็อดรู้สึกขบขันกับคำพูดของถาวซินหลันไม่ได้ ไทเฮามองถาวจวินหลันนิ่งวูบหนึ่ง แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ “เจ้าว่ามาก็จริง ใครบอกว่าผู้หญิงสู้ผู้ชายไม่ได้ พี่สาวของเจ้าคนนี้กลับเก่งกาจกว่าบุรุษจำนวนมากหลายคน น่าเสียดายที่มาเกิดเป็นสตรี” หากถาวจวินหลันเป็นผู้ชาย บางทีตระกูลถาวคงฟื้นกลับมานานแล้ว
“ข้าถามเจ้า ตวนชินอ๋องรู้เรื่องนี้หรือไม่” ไทเฮาหุบยิ้ม แล้วถามอย่างเคร่งขรึมอีกครั้ง
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “วันนี้ท่านอ๋องออกจากจวนไปตั้งแต่เช้าเพคะ แต่ข้าเพิ่งคิดได้ช่วงสายๆ นี้เองเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้า พูดว่า “ในเมื่อเขาไม่รู้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบอกเขา”
ถาวจวินหลันรู้ว่าไทเฮาตั้งใจจะใช้วิธีนี้ จึงรีบพยักหน้าทันที “หม่อมฉันฟังไทเฮาเพคะ”
“เมื่อพ้นจากประตูนี้ไป ไม่อนุญาตให้เอ่ยเรื่องนี้กับคนอื่นอีก ทางที่ดีที่สุดคือให้ลืมไปให้หมด” เสียงของไทเฮาเข้มงวดเล็กน้อย ไม่เพียงแค่กับถาวจวินหลันเท่านั้น มากกว่านั้นคือต่อถาวซินหลัน
ทั้งสองคนไม่กล้าละเลย รีบเอ่ยรับปากในทันใด
“เอาเถิด เรื่องนี้ข้าจะไปคิดดู หากพวกเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็กลับไปก่อนเถิด”
ไทเฮาอยากคิดเรื่องนี้เพียงลำพัง ดังนั้นจึงพูดไล่แขก แต่เมื่อคิดดูแล้วก็มองถาวจวินหลันและพูดว่า “คราวนี้ถือเป็นโอกาสดี ฉวยโอกาสคิดหาวิธีคืนชื่อเสียงดีๆ ให้ตวนชินอ๋องเถิด”
ถาวจวินหลันเอ่ยรับปากเสียงเบา รู้ว่าไทเฮากำลังแนะนำตนเองอยู่ นางก็สบายทันที ไทเฮาแม้จะไม่เคยชื่นชมวิธีของนางมาก่อน แต่คิดว่าคงเห็นด้วยเป็นแน่
ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาก็ดี หรือนางก็ดี พูดไปแล้วก็เพื่อตัวของหลี่เย่ทั้งนั้น
ทั้งสองคนทูลลากลับจวน แล้วถาวซินหลันก็พูดกับถาวจวินหลันเสียงเบา “ไทเฮาดูทรงอำนาจอย่างมาก แต่ที่จริงแล้วใจอ่อนมากนัก”
ถาวจวินหลันคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ บางทีไทเฮาอาจจะใจอ่อน แต่ก็ต้องดูว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร เกี่ยวข้องกันอย่างไรด้วย ถาวซินหลันไม่พูดเรื่องอื่น อีกทั้งนิสัยขี้อ้อน ไทเฮาจะลำเอียงเอ็นดูก็ไม่น่าแปลก สำหรับนางนั้นอย่างแรกเป็นเพราะว่ามีบทเรียนก่อนหน้านี้ อย่างที่สองก็เพราะว่าไทเฮาเป็นห่วงหลี่เย่มากที่สุด ย่อมต้องเปรียบเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ไม่ว่าไทเฮาจะมองนางอย่างไรก็ดี ขอแค่ไทเฮาทำเรื่องนี้และช่วยหลี่เย่ไดสำเร็จ นางก็พอใจไม่ขออะไรมากกว่านี้แล้ว
เพียงไม่นานก็ถึงจวนตวนชินอ๋อง ถาวจวินหลันให้คนส่งถาวซินหลันกลับไป จากนั้นก็สั่งบ่าวรับใช้ “ไปเชิญชายารองเจียงและบรรดาอี๋เหนียงทั้งหลายมาพูดคุยปรึกษา”
ในเมื่อไทเฮากำชับให้นางนำชื่อเสียงที่ดีมาให้หลี่เย่ เช่นนั้นนางย่อมต้องพยายามเป็นอย่างดี แน่นอนว่านางคนเดียวทำให้เกิดผลไม่ได้ ยังต้องการผู้ช่วยอีกสองสามคน
ไม่นาน ทุกคนก็มากันพร้อมหน้า เจียงอวี้เหลียนกลับมาเป็นคนสุดท้าย ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ภายในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงเรียกพวกเรามากะทันหันเช่นนี้?”
ถาวจวินหลันมองเจียงอวี้เหลียนวูบหนึ่ง ไม่มีเวลาว่างมาถกเถียงกับนาง จึงพูดออกไปตรงๆ “วันนี้ที่เรียกทุกคนมา ก็ด้วยมีเรื่องอยากปรึกษากับทุกคน”
เจียงอวี้เหลียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่ได้คิดทำอะไรตุกติกอีก นั่งลงพลางขมวดคิ้วพูดว่า “ภายในจวนเกิดเรื่องจริงๆ อย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงที่ใช้นั้นก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ นางคาดหวังให้ถาวจวินหลันดวงตก แต่ไม่คาดหวังให้ภายในจวนเกิดอะไรขึ้น อย่างไรเสียนางก็มีเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ย่อมต้องคาดหวังให้จวนตวนชินอ๋องดีขึ้นเรื่อยๆ
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ภายในจวนไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่สถานการณ์ด้านนอกพวกเจ้าน่าจะได้ยินมาบ้างแล้ว นี่เป็นแค่ผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกเท่านั้น จากนี้ยังมีอีกมาก ข้าครุ่นคิดดูแล้วพวกเราควรต้องแสดงท่าทีอะไรบ้าง อย่างไรท่านอ๋องก็เป็นชินอ๋องแล้ว ฐานะสูงส่งขึ้นมาก ไม่ควรถ่อมตัวเหมือนเมื่อก่อนนี้ ตอนที่ควรจะแสดงท่าทีออกมาก็ควรแสดงถึงจะดี”
“ภายในจวนเตรียมอาหารเสื้อผ้าและผ้าห่มเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ?” เจียงอวี้เหลียนอึ้งไป “หรือของพวกนี้ยังไม่พอ? แต่นอกจากนี้แล้วพวกเรายังทำอะไรได้อีก?”
“ท่านอ๋องคิดวิธีหนึ่งได้” ถาวจวินหลันเอ่ยเสียงเบาพูดถึงวิธีการนั้น ยังคงพูดว่าหลี่เย่คิดได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องจัดการเรียบเรียงคนเหล่านั้นให้ไปที่สวนในชนบท เมื่อเป็นเช่นนี้ สวนสวนหนึ่งเลี้ยงดูคนสองสามคนความรับผิดชอบก็ไม่ได้ถือว่าเยอะมากนัก อีกทั้งพวกเขาจะต้องช่วยทำงานได้อยู่แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องดี”
ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนและคนอื่นต่างฉายแววเคร่งขรึม
จิ้งหลิงตอบโต้ทันที “แต่ในมือของราชสำนักก็ไม่ได้มีสวนมากมายถึงเพียงนั้น ดังนั้นยังต้องอาศัยตระกูลเก่าแก่และตระกูลใหญ่ ขุนนางข้าราชการใช่หรือไม่เจ้าคะ? ในจวนของพวกเราก็มีสวนจำนวนไม่น้อย”
เจียงอวี้เหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว สวนเหล่านั้นของจวนพวกเราสามารถจัดการรองรับคนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าได้ชื่อเสียงดีๆ กลับคืนมา” ถือว่าเป็นความคิดที่ดี เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของหลี่เย่ดีขึ้น ถึงเวลาก็จะได้รับความชื่นชมจากฮ่องเต้ คงได้รางวัลหรือความสำคัญเป็นแน่ ถึงเวลานั้นต้องการอะไรแล้วจะไม่ได้บ้าง?