“ไม่เพียงแค่สวนภายในจวนเท่านั้น ของที่อยู่ในมือของพวกเราเองก็เอาออกมาได้เช่นเดียวกัน” ถาวจวินหลันส่ายหน้าเอ่ยว่า “สวนในจวนของพวกเราไม่ได้มีมากนัก เมื่อเอาไปเทียบกับบรรดาตระกูลใหญ่แล้วย่อมไม่พอ ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะให้คนเอาไปเปรียบเทียบหรืออย่างไร? สมาชิกผู้หญิงอย่างพวกเราจึงต้องแบ่งสวนของตัวเองด้วย นี่ย่อมได้รับชื่อเสียงที่ดีกลับคืนมาแน่ ถือเป็นเรื่องดี”
เพื่อให้เกิดผล ถาวจวินหลันจึงพูดอีกว่า “แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่ยกเว้น พื้นที่หลายแห่งในชื่อของข้าจะต้องถูกนำออกมาทั้งหมด”
เจียงอวี้เหลียนครุ่นคิด พูดว่า “ในมือของข้ามีที่อยู่สามแปลง หนึ่งในนั้นยังเป็นที่ท่านอ๋องให้มา” ตอนที่พูดออกมา นางก็เหลือบมองถาวจวินหลันเล็กน้อย
ถาวจวินหลันทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่หันไปมองจิ้งหลิง กู่อวี้จือและถาวจือ
จิ้งหลิงพูดว่า “ในมือข้ามีที่สองแปลง”
กู่อวี้จือถอนหายใจ “มีเพียงแค่แปลงเดียวเท่านั้น”
ถาวจือก้มหน้าลง “ข้าเป็นเพียงอี๋เหนียง และไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่มีที่จริงๆ เจ้าค่ะ”
เจียงอวี้เหลียนมองจิ้งหลิงทีหนึ่ง จิ้งหลิงและถาวจือเหมือนกัน เป็นนางกำนัลที่ออกมาจากวังหลวงเหมือนกันเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน ที่ดินย่อมไม่ใช่สิ่งที่บ้านเดิมของนางให้มาอย่างแน่นอน
จิ้งหลิงเห็นแล้วก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่กลับพูดออกมาเรียบๆ “สวนนั้นมีผืนหนึ่งที่ข้าซื้อเอง อีกผืนหนึ่งท่านอ๋องให้มา” แต่เดิมนางไม่อยากพูด แต่เมื่อคิดถึงกั่วเจี่ยเอ๋อร์ท้ายสุดก็ต้องพูดออกมา
ถาวจวินหลันกลับหัวเราะ อธิบายแทนจิ้งหลิง “จิ้งหลิงปรนนิบัติท่านอ๋องมานานหลายปี ตอนที่อยู่ในวังหลวงก็ไม่รู้ว่าได้รับรางวัลมามากมายเท่าไร ซื้อสวนสักแปลงก็คงเหลือเฟือ อีกทั้งท่านอ๋องก็เห็นว่าเป็นคนเก่าแก่ ต่อจากนี้พวกเจ้าก็ปรนนิบัติท่านอ๋องให้ดี คงไม่ขาดของพวกเจ้าเป็นแน่ อีกทั้งข้างกายของจิ้งหลิงก็มีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ จะมอบสวนให้อีกสักแปลงก็ถือว่าเหมาะสม”
เจียงอวี้เหลียนหัวเราะเยาะ พูดออกมาอย่างนึกอิจฉา “ข้าเป็นถึงชายารอง? ข้างกายข้าก็ยังมีเซิ่นเอ๋อร์อีก ทำไมไม่เห็นจะให้ข้าเพิ่มบ้าง?”
ถาวจวินหลันรู้สึกเจ็บปวดใจ กวาดตามองเจียงอวี้เหลียนทีหนึ่ง “เอาเถิด ถ้าเจ้าอยากได้จริงๆ ข้าจะกลับไปคุยกับท่านอ๋อง”
เจียงอวี้เหลียนอับอายเล็กน้อย แต่กลับไม่ยอมแพ้ ทว่าต่อหน้าคนมากมาย คงไม่เหมาะจะระเบิดอารมณ์ เพียงแค่พูดว่า “ข้าไม่ได้ละโมบเสียหน่อย”
ถาวจวินหลันทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดอีกว่า “นอกจากเรื่องเหล่านี้ บ่าวรับใช้ข้างกายพวกเจ้าก็จะต้องใช้บ้าง ข้าจะคิดวิธีซื้อผ้าเนื้อหยาบมา ไม่ว่าใครก็ตาม ขอแค่มีเวลาว่างก็ไปช่วยกันทำเสื้อผ้าเนื้อหยาบ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นน้ำใจ ข้าจะตั้งเรือนหนึ่งออกมาเพื่อทำงานเย็บปักถักร้อยโดยเฉพาะ”
จิ้งหลิงพยักหน้า “ผู้ลี้ภัยไม่ขอสิ่งของสวยงามประณีต ขอเพียงแค่บดบังร่างกายและกันหนาวได้ก็พอแล้ว วิธีนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
“ถึงเวลาข้ายังคิดจะตั้งโรงทาน ภายในจวนของพวกเราก็ทำหมั่นโถวแป้งข้าวโพด แล้วก็ข้าวต้มที่ต้มตรงนั้น ให้หนึ่งถ้วยต่อหนึ่งคน ให้หมั่นโถวแป้งข้าวโพดอีกคนละลูกก็บรรเทาความหิวได้แล้ว แม้จะบอกว่าง่ายไปเสียหน่อย แต่ยังดีที่ทำต่อไปได้เป็นเวลานาน” นี่เป็นสิ่งที่ถาวจวินหลันครุ่นคิดมาอย่างละเอียด ตอนแรกที่ยากจนนั้น นางก็ซื้อพวกหมั่นโถวแป้งข้าวโพดเนื้อหยาบมาสองสามชิ้น ข้างในนั้นก็เติมพวกพืชผักเข้าไป ทั้งถูกและยังบรรเทาความหิวได้นาน เทียบกับหมั่นโถวแป้งข้าวแล้วใช้งานได้มากกว่านัก
และด้วยเคยผ่านประสบการณ์มาด้วยตนเอง ดังนั้นนางจึงคิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ งบประมาณเท่ากัน แต่นางก็สามารถทำได้มากกว่าคนอื่น อีกอย่างวัตถุดิบเช่นนี้เมื่อเทียบกับแป้งข้าวเจ้าที่แพงแล้วก็นับว่าหาซื้อง่ายกว่า
ทุกคนครุ่นคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าความคิดนี้ใช้ได้ จึงพากันรับปาก
เจียงอวี้เหลียนเสนอขึ้นมาก่อน “ถึงเวลานั้นหากคนไม่พอ พวกเราเจ้านายก็ออกมาทำเองบ้างสองสามวัน ให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเราจริงใจ ถึงเวลานั้นจะต้องยิ่งน่าฟังเป็นแน่”
ความคิดนี้ใช้ได้เลย แต่เมื่อเจียงอวี้เหลียนพูดอย่างชำนาญ กลับทำให้ถาวจวินหลันอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ หรือว่าวิธีนี้เจียงอวี้เหลียนจะเคยใช้มาก่อน?
เจียงอวี้เหลียนเคยใช้มาก่อนจริง ตอนแรกที่เกิดภัยพิบัติหิมะ นางก็ฝ่าหิมะออกไปแจกหมั่นโถวและบะหมี่มา จึงได้รับชื่อเสียงที่ดี แต่เรื่องนี้นางย่อมไม่พูดให้ใครฟัง
เพียงไม่นานก็ปรึกษากันอย่างครบถ้วน ถาวจวินหลันสั่งให้คนไปเรียกหลิวเอินมา คนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกก็มีเพียงหลิวเอินเท่านั้นที่นางเชื่อใจและคุ้นเคยมากพอ
อีกทั้งนางก็ครุ่นคิดมาแล้ว ว่าถ้าหากหลิวเอินมากลางดึก ไม่แน่ว่าหลี่เย่อาจอยู่ด้วย ทว่าพอสองสามคนปรึกษารายละเอียดกันเรียบร้อยแล้ว คิดไม่ถึงว่าตกดึกแล้วหลี่เย่ก็ยังไม่กลับมา มีเพียงแค่หลิวเอินที่มาตอนกำลังทานอาหารค่ำเท่านั้น
ถาวจวินหลันเพิ่งจะเริ่มกิน คิดไปคิดมาก็ให้หงหลัวไปถามว่าหลิวเอินทานข้าวมาแล้วหรือยัง เมื่อได้ยินว่าหลิวเอินยังไม่ได้ทานมาจึงเอากับข้าวสองอย่างไปให้หลิวเอิน ให้เขาทานข้าวก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน
แต่ก็กลัวว่าหลิวเอินจะรอนาง นางจึงทานข้าวเพียงถ้วยเดียวอย่างรวดเร็ว แล้วให้คนไปชงชามาดื่ม พอดีกับตอนที่พูดคุยกับหลิวเอิน
หลิวเอินดูแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ท่าทีกลับดูโทรมลงเล็กน้อย
ถาวจวินหลันจึงถามเขา “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? ข้าดูท่าทีของเจ้าเหมือนจะไม่ค่อยปกตินัก”
หลิวเอินอธิบายว่า “พอปิดประตูเมืองแล้วก็ติดต่อกับด้านนอกได้ยากขอรับ ด้วยเหตุนี้จึงยุ่งวุ่นวายช่วงหนึ่ง อีกทั้งท่านอ๋องก็ให้ไปช่วยสืบข่าวบางเรื่องขอรับ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า แต่ไม่ถามว่าหลิวเอินไปสืบข่าวเรื่องอะไรมาให้หลี่เย่กันแน่ เพียงแค่พูดแผนการของตัวเอ จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าเองก็ช่วยข้าพิจารณาดู ว่ามีอะไรไม่เหมาะสมหรือไม่”
หลิวเอินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าชื่อเสียงจะดี แต่ก็สร้างความเกลียดชังได้ง่ายเช่นกันนะขอรับ โดดเด่นมากเกินไปก็ไม่ดี”
“มีคนพูดว่านกที่โผล่หัวออกมาจะถูกยิง ลมมักพัดกิ่งไม้ที่ยื่นเด่นออกมา ความหมายของเจ้าข้าเข้าใจแล้ว” ถาวจวินหลันพยักหน้า และนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งถึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้ามีคำแนะนำอย่างไร?”
หลิวเอินพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่เป็นคนที่ออกหน้า ราชสำนักย่อมต้องตั้งโรงทานอยู่แล้ว แล้วยังมีบรรดานางสนมในวังใน หรือว่าบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ชายารองลองคำนวณเวลาดู ไม่จำเป็นต้องเร็วเกินไปและช้าเกินไปขอรับ”
หยุดไปครู่หนึ่ง หลิวเอินก็พูดอีกว่า “ที่จริงแล้ว ไม่จำต้องต้มข้าวต้มก็ได้นะขอรับ พวกเราเคี่ยวยาไปแจกจ่ายได้ อากาศร้อนลดความชื้นทำให้เย็นขึ้น พวกเขามาจากที่ประสบภัยแล้ง ร่างกายต้องมีโรคมาบ้าง พวกเราก็สามารถลงมือจากเรื่องนี้ได้ขอรับ”
“เจ้าพูดว่า บริจาคยา? ตรวจโรคโดยไม่เก็บเงินอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่แม้ว่าความคิดนี้จะดี แต่สุดท้ายก็ยังมีข้อเสีย “เกรงว่าจะไม่มีสมุนไพรมากขนาดนั้น สิ่งนี้เมื่อเอามาเทียบกับอาหารแล้วก็ยิ่งทำยากไปใหญ่” นี่ไม่ใช่สิ่งของที่มีเงินก็หาซื้อได้ แต่เดิมจำนวนของสมุนไพรที่ผลิตก็สู้ของอุปโภคไม่ได้
“สมุนไพรหาซื้อเข้ามาจากทางใต้ได้ขอรับ ใช้เรือขนเข้ามาตามแม่น้ำ แล้วส่งมายังวังหลวง แน่นอนว่าไม่ต้องต้มข้าวต้มก็จริง แต่หมั่นโถวแป้งข้าวโพดเหล่านี้ก็ได้เหมือนกันขอรับ อย่างไรที่อื่นก็พากันแจกโจ๊ก นี่ก็ดูจะซ้ำกันมากเกินไป” หลิวเอินพูดอย่างละเอียด ท่าทีดูมั่นใจ “ไม่ว่าจะเป็นข้าวสารหรือว่าวัตถุดิบ ไม่เพียงแค่ต้องมากพอ ประหยัดเสียหน่อยก็พอผ่านไปได้นะขอรับ อีกทั้งต่อให้ถึงช่วงที่ไม่มีสมุนไพรแล้วจริง ก็โทษพวกเราไม่ได้มิใช่หรืออย่างไรขอรับ?”
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าคำแนะนำของหลิวเอินใช้ได้ทีเดียว จึงตกลงว่า “ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน” เทียบกับของกินแล้ว ยามนี้ยาเป็นสิ่งของที่ล้ำค่ามากกว่า อย่างไรอาหารเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้มีชีวิตรอดได้เสมอไป มีโรคบางโรคที่ต้องกินยาถึงจะหาย เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่หลบหนีมหันตภัยมาต้องรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นแน่ ถึงตอนนั้นคงพูดถึงข้อดีของจวนตวนชินอ๋องแน่นอน
“เรื่องคราวที่แล้วชายารองเรียกข้ามาสอบถาม ข้าสืบมาได้เล็กน้อยแล้วขอรับ” หลิวเอินยิ้ม จากนั้นก็พูดออกมา
ถาวจวินหลันยังไม่ทันได้ตั้งตัวว่าเป็นเรื่องอะไร กลับต้องนิ่งอึ้งไป “เรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“เรื่องเกี่ยวกับจวนเฝินหยางโหวขอรับ” หลิวเอินพูด “ชายารองคิดว่าจั่วเสี่ยนอวี้ดีจนน่าสงสัยเกินไปมิใช่หรือขอรับ? ดังนั้นจึงให้ข้าน้อยสั่งคนไปตรวจสอบดู ผลคือสืบเจอเรื่องน่าสนใจไม่น้อยเลยขอรับ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “อย่างนั้นหรือ? หรือว่าจั่วเสี่ยนอวี้จะไม่ได้ดีเหมือนที่แสดงออกมาอย่างนั้นหรือ? ให้ข้าเดา หรือว่าเขาจะแนะนำเฝินหยางโหวที่อายุยังน้อยไปในเส้นทางที่ไม่ดีอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเขาตั้งใจปล่อยข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับเฝินหยางโหว? หรือว่าเขาเสนอตัวปล่อยข่าวให้ฝ่ายหญิงทราบ ทำให้เรื่องการแต่งงานของเฝินหยางโหวเสียหาย?”
หลิวเอินแสดงท่าทีแปลกใจออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ชายารองทายเพียงครั้งเดียวก็ถูกเลยขอรับ แม้ว่าจะผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็ใกล้เคียงความจริงมากแล้วขอรับ”
ถาวจวินหลันก็ยิ้มเช่นกัน “แค่เพียงเดามั่วเท่านั้น อย่างไรก็ไม่มีใครใครสมบูรณ์แบบทุกอย่างหรอก พูดไปแล้วก็ดีเกินไปจริงๆ ภรรยาเอกปฏิบัติกับเขาเช่นนั้น เขาก็ยังไม่มีคำกล่าวโทษใดๆ ช่างทำให้เชื่อได้ยากเสียจริง แต่คนเช่นนี้ถนัดเรื่องการหลบซ่อนมากที่สุด คนโบราณพูดว่าลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย ในเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะเทียบไม่ได้แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก จะพูดว่ามานะบากบั่นอย่างทรหด ตั้งปณิธานแก้แค้นล้างอัปยศให้แก่ประเทศชาติก็ไม่เกินไป”
ยังดีที่จั่วเสี่ยนอวี้ได้รับความเชื่อใจจากเฝินหยางโหว คิดว่าขั้นตอนที่ผ่านมาคงไม่ง่ายเป็นแน่
หลิวเอินพยักหน้า ดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “ข้าน้อยเองก็คิดเช่นนั้นขอรับ มาถึงตอนนี้ได้ถือว่าไม่ง่ายแล้ว แค่วิธีการแก้แค้นเช่นนี้ ก็ถือว่าดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่างแรกคือปกป้องคนทั้งครอบครัว อย่างที่สองก็ยังสามารถแก้แค้นได้ขอรับ”
ถาวจวินหลันได้ยินก็อดพยักหน้าไม่ได้ “ใช่แล้ว นี่ถึงจะเรียกว่าวางแผนอย่างกล้าหาญและชาญฉลาด”
“ตระกูลจั่วอยากจะแต่งงานสานสัมพันธ์กับตระกูลกู่ ตระกูลกู่มีลูกสาวจากภรรยาเอกสองคน แม้ว่าจะอายุน้อยไปเสียหน่อย แต่ก็หน้าตางดงามมาก…” หลิวเอินพูด จนถึงขั้นส่งเสียงจิ๊ปากออกมา ถอนใจเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าสวยงามจนพระจันทร์ต้องหลบหลีก ดอกไม้ต้องเ**่ยวเฉา ปลาต้องนอนนิ่ง นกต้องตกหน้าผา เรียกว่างามล่มเมืองที่แท้จริง”
ใจของถาวจวินหลันเริ่มคล้อยตาม ถามออกมาย่างสงสัย “ตระกูลกู่? ตระกูลกู่ไหน? หรือว่าจะเป็นตระกูลกู่ของกู่อี๋เหนียง?”
หลิวเอินพยักหน้า “ใช่ขอรับ แต่ครั้งนี้กลับเป็นสายเลือดของภรรยาเอกที่แท้จริงขอรับ”
“คิดดูแล้วจั่วเสี่ยนอวี้เพื่อสิ่งนี้ถึงได้ทำให้เจ้าจับร่องรอยได้ใช่หรือไม่? เขาอยากทำลายงานแต่งงานนี้อย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันอดคาดเดาไม่ได้
หลิวเอินตอบรับว่าใช่
ถาวจวินหลันจึงถามหลิวเอิน “ตระกูลกู่ยินยอมเองหรือว่า…”
หลิวเอินส่ายหน้า “เรื่องนี้กลับสืบไม่ได้ขอรับ คิดแล้วก็ไม่น่าถือว่าบีบบังคับ อย่างไรตระกูลกู่ก็ล่มสลายแล้ว หากเกาะจวนเฝินหยางโหวได้จริงก็ถือว่าปีนไปสู้จุดสูงแล้ว”
ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ทำลายการแต่งงานนี้เถิด ปีนขึ้นที่สูงอย่างนั้นหรือ? ภาพลักษณ์อย่างเฝินหยางโหวนี่คู่ควรกับหญิงสาวสวยล่มเมืองด้วยหรือ? ไม่มีอะไรน่าเสียดายไปกว่านี้แล้ว”
หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดว่า “ตอนที่จัดการเรื่องนี้ เจ้าเองก็คิดหาวิธีให้จั่วเสี่ยนอวี้รู้ แล้วก็ดูว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร หากเขาคิดจะร่วมมือ นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี” ไม่ว่าจะเป็นของที่ทนทานมากเพียงใด แต่ถ้าเน่าเปื่อยจากภายใน ต่อให้หยุดก็หยุดไม่อยู่