เมื่อหงหลัวพูดเตือน ถาวจวินหลันก็ส่ายหัวอธิบายว่า “ผู้หญิงในตระกูลหยวนมีไม่น้อย หยวนฉงหวาเป็นลูกของภรรยาเอกแต่ก็ไม่ใช่คนที่ได้รับการโปรดปรานมากที่สุด เจ้าก็รู้ว่าทำไมทั้งๆ ที่หยวนฉงหวาเป็นคุณหนูของตระกูลขุนนาง แต่กลับยังถูกส่งเข้าวังหลวงไปเป็นนางกำนัล? ก็เพียงเพราะว่าตระกูลหยวนต้องการเกาะชายกระโปรงนางเพื่อปีนขึ้นไปเท่านั้น หยวนฉงหวาเป็นคนที่มีหน้าโดดเด่นที่สุดในบรรดาหญิงสาวสกุลหยวน ตระกูลหยวนส่งนางเข้าวังหลวงก็คงไม่พ้นคิดอยากให้นางเป็นชายาเป็นแน่”
“แล้วอย่างไรเจ้าคะ?” หงหลัวยังคงไม่เข้าใจ
“เดิมตระกูลหยวนไม่ให้ความสำคัญกับหยวนฉงหวา ตอนนี้คังอ๋องเป็นองค์รัชทายาท ตระกูลหยวนไม่มีทางยอมให้หยวนฉงหวาเพียงคนเดียวทำให้องค์รัชทายาทไม่พอใจ” ถาวจวินหลันยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่านางไม่ได้ไปหาตระกูลหยวนมาก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตระกูลหยวนไม่ยอมสนใจนาง เจ้าคิดว่านางจะมาหาข้าอย่างนั้นหรือ? ทางด้านตระกูลหยวนอาจจะเตรียมหญิงสาวอีกคนหนึ่งให้กับองค์รัชทายาทแล้วก็เป็นได้”
“แต่นั่นก็เป็นถึงพระชายารององค์รัชทายาท หรือถ้าส่งอีกคนหนึ่งไปจะเป็นชายารองได้อีกหรือเจ้าคะ? หงหลัวหัวเราะเยาะ แสดงท่าทีดูถูก “พวกเขาไม่เห็นใจหญิงสาวของตระกูลตนเองเกินไปหน่อยแล้วเจ้าค่ะ”
“หยวนฉงหวาเป็นชายารองไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ต่อจากนี้เกรงว่าคงให้กำเนิดไม่ได้อีก และยังสูญเสียความโปรดปราน เจ้าว่าตระกูลหยวนจะยังสนใจอีกหรือ? หญิงสาวที่นำผลประโยชน์ใดๆ มาให้ตระกูลหยวนไม่ได้ ตระกูลหยวนก็ไม่เคยให้ความสำคัญอยู่แล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ “สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือหญิงสาวที่ทำให้องค์รัชทายาทโปรดปรานได้ เป็นหญิงสาวที่นำผลประโยชน์มาให้ตระกูลหยวนได้”
อีกอย่างในเมื่อหยวนฉงหวาคิดจะแก้แค้น ตระกูลหยวนก็ยิ่งไม่กล้าลงเรือลำเดียวกับนาง ไม่มีองค์รัชทายาท ตระกูลหยวนยังพึ่งใครได้อีก? กว่าจะเกาะเรืองขององค์รัชทายาทลำนี้ได้ก็ไม่ง่าย คนตระกูลหยวนจะยอมแพ้หรืออย่างไร?
เรื่องนี้คิดว่าหยวนฉงหวาคงจะเข้าใจมากกว่าใคร ดังนั้นนางถึงได้กล้าเสี่ยงอันตรายมาหาตนเอง
“อีกอย่างคนที่อยู่ข้างกายองค์รัชทายาทคือนาง ไม่ใช่พวกเรา นางจะทำอะไรแล้วเกี่ยวกับพวกเราเล่า” ถาวจวินหลันขยิบตาให้หงหลัว แล้วถามอย่างเจ้าเล่ห์
หงหลัวเข้าใจความหมายของถาวจวินหลันทันที ย่อมต้องเลี้ยวเข้ามาร่วมทาง แล้วก็ไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอีก เพียงแต่พูดว่า “เช่นนั้นชายารองท่านคิดจะช่วยสกุลหยวนอย่างไรเจ้าคะ?”
ต่อให้ถาวจวินหลันจะมีอำนาจเพียงใด แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะวิ่งไปพูดอธิบายที่จวนองค์รัชทายาท อีกทั้งเรื่องนี้ถาวจวินหลันก็ไม่ควรออกหน้าเอง มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าคนจะเอาไปติฉินนินทาได้
ต่อให้เรื่องนี้จะวางแผนเช่นไร แต่ถ้าหากต้องทำร้ายชื่อเสียงของถาวจวินหลัน หงหลัวก็ไม่มีทางชอบใจ ชื่อเสียงนั้นสำคัญมากเพียงใด?
ถาวจวินหลันกระซิบแผนของตนให้หงหลัวฟัง
หงหลัวกระพริบตา แล้วก็ต้องหัวเราะเช่นเดียวกัน “คิดแล้ววิธีนี้ดูไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้ต้องมอบให้เจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องสนว่ามอบให้ใคร เพียงแค่ทำเรื่องนี้ให้เหมาะสมก็เพียงพอ แล้วจะต้องเร็วด้วย” ถาวจวินหลันยิ้มกำชับ ตนเองนั้นกลับคิดจะสลัดหน้าที่ความรับผิดชอบออกไป
หงหลัวรับปากเรื่องนี้
ยังไม่พ้นสองวัน หลี่เย่ก็กลับมาพูดเรื่องหนึ่งให้ฟัง ตระกูลหยวนฟ้องร้องให้ปลดพระชายาองค์รัชทายาท
เรื่องนี้แท้จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่ถาวจวินหลันคาดเอาไว้ หลุดหัวเราะออกมาในฉับพลัน ใช่ ฟ้องร้องปลดพระชายาองค์รัชทายาทที่ปฏิบัติต่อชายารองไม่ดีและอิจฉาไม่สนใจใครใช่หรือไม่?
“ไม่เพียงเท่านั้น ฟ้องร้องพระชายาองค์รัชทายาทว่าเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นหญ้า ใส่ร้ายคนดี” หลี่เย่พูดพลางหัวเราะ มองถาวจวินหลันเหมือนเข้าใจบางอย่าง “เรื่องนี้เจ้ารู้อยู่แล้วหรือ? หรือนี่เป็นฝีมือของเจ้า?”
ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา จากนั้นก็เล่าเรื่องของหยวนฉงหวาให้ฟัง แน่นอนว่าพูดถึงการแลกเปลี่ยนของนางกับหยวนฉงหวาด้วย ท้ายสุดแล้วก็พูดปนหัวเราะ “ข้าให้หงหลัวไปหาคนที่พึ่งพาได้ ให้ไปตีสนิทกับคนดูแลบ้านใหญ่ของตระกูลหยวน จากนั้นก็ออกความคิดกับคนผู้นั้น ให้คนดูแลบ้านใหญ่ตระกูลหยวนเอาความคิดนี้ไปเอาหน้ากับเจ้านายตนเอง ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้เพคะ”
หลี่เย่เลิกคิ้ว มองถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจำได้ว่า หยวนฉงหวาคนนั้นเคยมีปัญหากับเจ้ามาก่อนมิใช่หรือ? แล้วทำไมจะยังช่วยนางอีก?”
ความหมายของหลี่เย่นั้นเรียบง่าย ในเมื่อเป็นคนที่ทำให้นางไม่สบายใจ แล้วทำไมยังจะต้องยื่นมือช่วย? ปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรมก็ได้แล้ว
“ในเมื่อนางมอบข้อมูลให้กับข้า ข้าเองก็ต้องรักษาสัญญา” ถาวจวินหลันส่ายหน้า พูดอีกว่า “นางสูญเสียลูกไปก็น่าสงสารมากพอแล้ว อีกทั้งสุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้ทำร้ายข้าจนถึงแก่ชีวิต ข้าเองก็คงไม่ถึงขั้นเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยนี่เพคะ นางมีชีวิตก็จริงแต่ก็ไม่มีความสุข ก็แค่ก้มหน้ารับกรรมเท่านั้นเพคะ”
“ข้อมูลที่นางบอก แม้จะน่าสนใจแต่ก็ไม่คุ้มค่าให้เจ้าเหนื่อยใจแทนนาง องค์รัชทายาทอย่างไรแล้วก็คือองค์ชาย หากไปมีความสัมพันธ์กับสตรีที่มีเจ้าของแล้วจริง ขอแค่เพียงไม่ใช่การบีบบังคับขืนใจก็เป็นเรื่องที่ให้ต่อว่าเล็กน้อยเท่านั้น พื้นฐานของสมัยนี้ไม่ได้เข้มงวดเท่าแต่ก่อน เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร” หลี่เย่พูดออกมา มีท่าทีไม่ค่อยยินยอมให้นางเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายมากเกินไป หลายวันมานี้แค่ใช้ตามองก็รู้ว่าถาวจวินหลันผอมลงไปมาก เนื้อหนังที่กว่าจะได้มาก็หายไปหมดแล้ว เขาคิดหาวิธีให้ถาวจวินหลันพักผ่อนอย่างสบายใจ ไฉนเลยจะยินยอมให้ไปเหนื่อยเล่า?
“ดูจากท่าทีของนางแล้ว คิดว่าไม่ใช่แค่สตรีที่มีสามีธรรมดาๆ เป็นแน่” ถาวจวินหลันส่ายหัวพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “ท่านยังจำตอนแรกที่พวกเราพบกันได้หรือไม่?”
หลี่เย่ย่อมจำได้ ถ้าไม่ใช่ครั้งนั้น เกรงว่าเขาคงไม่สังเกตนางกำนัลเล็กๆ คนหนึ่ง แน่นอนว่าครั้งนั้นถาวจวินหลันก็ตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ตอนนั้นท่านเคยคิดเรื่องฆ่าคนปิดปากหรือไม่?” ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องนี้ก็ถามอย่างเย้าแหย่
หลี่เย่ค่อยๆ พูดอย่างหลบหลีก “ตอนนั้นข้าเห็นว่าองค์รัชทายาทและนางกำนัลแอบมีความสัมพันธ์กัน แต่ไม่เห็นหน้าหญิงผู้นั้น” หลังจากที่เขาไปทำความเคารพไทเฮาแล้วคิดจะกลับวังเต๋ออัน ก็บังเอิญพบองค์รัชทายาทระหว่างทาง ด้วยเห็นองค์รัชทายาทท่าทีลับๆ ล่อๆ ถึงได้ตามไป แต่ใครจะรู้ว่าจะได้เห็นฉากนั้น ตอนที่คิดจะถอยไป ถาวจวินหลันกลับเดินเข้ามาชนพอดี
ตอนนั้นนอกจากกลัวว่าจะมีคนเห็นแล้ว ที่จริงแล้วเขาก็เขินอายอยู่เล็กน้อย แอบดูเรื่องเช่นนี้แล้วถูกคนพบเข้า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้สึกประหม่าและเขินอาย อีกทั้งถาวจวินหลันก็ยังพูดว่านางเป็นนางกำนัลของวังเต๋ออัน คิดว่าต่อจากนี้คงจะได้พบหน้ากันทุกวัน เขาก็ยิ่ง…
ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ นางก็เพียงแค่จ้องเขาและเม้มปากยิ้ม ตราบจนหลี่เย่ยิ้มเก้ๆ กังๆ แล้วถึงได้พูดช้าๆ ว่า “ถ้าหากตอนนั้นข้ากล้าเอาเรื่องนั้นไปบอกคนอื่น คิดว่าท่านจะต้องฆ่าปิดปากข้าเป็นแน่”
หลี่เย่ไม่ได้ปฏิเสธ ก็ถือว่าเห็นด้วยโดยดุษณี แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ถอนหายใจ “แต่เดิมคิดจะคอยจับตาดูเจ้าเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะตกลงมาเอง” มองดูอยู่ทุกวัน ใส่ใจอยู่ตลอดเวลา ความสัมพันธ์หยั่งรากลึกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ที่จริงแล้วตอนนั้นเขาเองก็คิดจะส่งถาวจวินหลันไปไกล แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ผลลัพธ์จึงเป็นอย่างทุกวันนี้
ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าก็แดงก่ำควบคุมไม่ได้ คิดถึงหลี่เย่ที่ทำเรื่องเหล่านั้นแทนนาน ก็รู้สึกอ่อนหวานซาบซึ้ง แต่ปากก็ยังตั้งใจพูดว่า “คำพูดของท่านหมายความว่าเช่นไรเพคะ? หรือว่ายังไม่พอใจหรือ?”
หลี่เย่รีบหัวเราะปฏิเสธ “ไฉนเลยจะไม่พอใจ? ย่อมต้องพอใจมากอยู่แล้ว พูดไปแล้ว เป็นข้าต่างหากที่ได้กำไร ไม่มีเจ้าที่เป็นแรงช่วยเหลือ ตอนนี้จวนตวนอ๋องจะมีสภาพอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้” หลิวซื่อพึ่งพาไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วจวนตวนอ๋องก็ต้องถูกย้ายจนว่างเปล่า อนุภรรยาในจวนมีเยอะแยะมากมาย ย่อมต้องไม่สงบเป็นแน่
ที่จริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะถาวจวินหลัน เวลานี้หลี่เย่ก็อาจจะไม่ได้มีผู้หญิงเพียงเท่านี้เท่านั้น ตอนนี้ที่มีอยู่ก็เอาไว้เป็นเครื่องประดับเท่านั้น พูดตามจริงแล้วเป็นถึงชินอ๋อง แต่กลับมีผู้หญิงเพียงไม่กี่คน ก็ถือว่าไม่สมหน้าตาไปเสียหน่อย
ถาวจวินหลันเม้มปากแอบยิ้ม “พูดคำเลี่ยนเพียงนี้ ไม่รู้สึกร้อนหน้าบ้างหรือเพคะ?”
“ใช่แล้ว ฮ่องเต้คิดเห็นอย่างไรกับฎีกาของตระกูลหยวนบ้างเพคะ?” ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็รีบถามออกมา
หลี่เย่ก็ทำได้แค่เพียงกลับมาพูดเรื่องจริงจังอีกครั้ง “แล้วจะให้ทำอย่างไรได้อีกเล่า? ย่อมต้องชักสีหน้าหรือแสดงอารมณ์โกรธโดยพลัน สั่งสอนองค์รัชทายาทอย่างหนักหน่วงทีหนึ่ง ในตอนนี้ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อองค์รัชทายาทเข้มงวดอย่างมาก สั่งสอนว่ากล่าวตลอดเวลา คราวนี้ชื่อเสียงเรียงนามไม่ดี องค์รัชทายาทจะพบเรื่องดีได้อย่างไร?”
“แต่ตระกูลหยวนไม่ได้ฟ้องร้องให้ปลดองค์รัชทายาท แต่ฟ้องให้ปลดพระชายาองค์รัชทายาท” ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว ออกแรงไปมากมายถึงเพียงนี้ นางไม่ยินยอมลงแรงไปโดยไม่ได้อะไรคืนเป็นแน่ องค์รัชทายาทถูกสั่งสอน แล้วถ้าหากว่ายิ่งโมโหหยวนฉงหวา นั่นก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
“องค์รัชทายาทดูแลไม่ดี แม้แต่ภรรยาของตนเองก็ไม่มีวิธีจัดการให้ดี ย่อมทำให้เสด็จพ่อไม่พอใจเป็นแน่ อีกทั้งพระชายาองค์รัชทายาทเข้มงวดต่ออนุภรรยา แต่เดิมก็เป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทปล่อยตามใจ” หลี่เย่ยิ้มเย็น มีท่าทียินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของคนอื่น “เรื่องนี้โหวกเหวกต่อหน้าขุนนางเต็มท้องพระโรง เสด็จพ่อย่อมรู้สึกเสียหน้า ทำได้เพียงระบายอารมณ์ใส่องค์รัชทายาท”
เขารู้ว่าถาวจวินหลันอยากถามอะไรกันแน่ สุดท้ายก็หัวเราะออกมา “ทางด้านหยวนซื่อนั้นเจ้าก็วางใจเถิด คนตระกูลหยวนพูดออกมาอย่างน่าเวทนา เสด็จพ่อได้สั่งให้องค์รัชทายาทปฏิบัติตัวให้ดี ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด ชายาเหลียงตี้ไม่หลุดไปไหนแน่”
ถาวจวินหลันผ่อนลมหายใจเบาๆ ยิ้มและพูดว่า “ใช่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตของนางก็ไม่มีอะไรมากีดขวางแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ต้องให้นางไปพยายามเองแล้ว”
หลี่เย่หัวเราะ “พรุ่งนี้ข้าจะคิดหาวิธีให้คนไปวางแผนองค์รัชทายาท ให้เขาทำดีต่อหยวนซื่อ เพื่อแสดงความเมตตาและความสัมพันธ์ครั้งเก่าของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการทอดบันไดให้กับหยวนซื่อแล้ว ขอแค่นางอย่าทำให้เจ้าผิดหวังก็พอ”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ทีหนึ่ง “ที่จริงแล้วถ้าหากว่าลำบากก็ไม่จำเป็นนะเพคะ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้ากลับถือว่าส่งพระถึงสุขาวดีแล้ว ข้ารู้นิสัยของหยวนซื่อดีที่สุด นางไม่ใช่คนไว้หน้าภาพรวม นางคิดแค้นองค์รัชทายาทและพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่วางมือง่ายๆ เช่นนี้เป็นแน่ ต่อให้นางไม่ลงมือกับองค์รัชทายาทและพระชายาองค์รัชทายาท พวกเราก็ไม่เสียหาย นิสัยขององค์รัชทายาทท่านเองก็รู้ดี ไม่มีฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายาทออกความคิดและจัดการดูแลเรือนในให้เขา ไฉนเลยจะยังเสเพลเช่นนี้ได้อีกเล่า?”
ทำเช่นนี้ก็เท่ากับตัดแขนซ้ายขวาและเส้นทางในอนาคตขององค์รัชทายาท
หลี่เย่เห็นว่าถาวจวินหลันพูดมีเหตุผล ก็ยิ้มพลางถอนหายใจ “ใช่แล้ว จูเก๋อหญิงของข้า”
ถาวจวินหลันถูกเขาเย้าแหย่ก็ถลึงตาใส่ในทันใด แอบบิดเนื้อตรงเอวเขาไปทีหนึ่ง “พูดมั่วอีก คนอื่นก็จะได้ยินแล้วนะเพคะ!”
ทางด้านนี้สองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ทางด้านโจวอี้กลับเร่งรีบมาในทันใด บอกว่ามีเรื่องต้องการรายงานหลี่เย่ หลี่เย่ถึงได้ให้โจวอี้เข้ามา
หลังจากที่โจวอี้เข้ามาแล้ว ก็พูดกระซิบข้างหูหลี่เย่ หลี่เย่กลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง
ใจของถาวจวินหลันแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันที แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้หลี่เย่เป็นเช่นนี้?