หลี่เย่ได้ยินที่โจวอี้เข้ามารายงายแล้ว ก็พูดว่า “ข้าจะไปดูพร้อมกับเจ้า” สักพักพลันก็ขมวดคิ้วและหยุดฝีเท้าพร้อมกับส่ายหัว “ไม่ได้ ข้าไม่ไปจะดีกว่า เรื่องนี้จะให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้ เอาอย่างนี้ เจ้าให้เขาพักฟื้นที่ห้องของเจ้า หลังจากหายดีแล้วค่อยว่ากัน ข้าจะหาโอกาสเข้าไป”
จากนั้นก็หันหน้ามาถามถาวจวินหลันทันที “ในห้องเก็บของมียารักษาบาดแผลพวกนี้หรือไม่? หากว่ามี ก็ไปเอามาให้โจวอี้”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “มี ข้าจะให้หงหลัวไปเอาใส่ย่ามมาให้”
รอจนกระทั่งสั่งหงหลัวเรียบร้อยแล้ว นางถึงได้กระซิบถามหลี่เย่เสียงเบา “ซินพานกลับมาแล้วหรือ?”
หลี่เย่ชะงักไปทันที ท่าทีดูประหลาดใจ ถึงแม้จะไม่ได้พยักหน้า ทว่าท่าทีของเขาก็อธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
ถาวจวินหลันเห็นท่าทีเช่นนี้แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองเดาถูก จึงรู้สึกโล่งใจที่ซินพานยังไม่ตาย ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ขอเพียงแค่เขากลับมาได้แล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก? ความสำคัญของซินพานที่มีต่อหลี่เย่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้
คิดแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดต่อว่า “เช่นนั้นก็พูดออกไปว่ามีญาติของคนงานในจวนมาขออาศัย ถึงอย่างไรปีนี้ก็มีภัยพิบัติ เช่นนี้จะไม่ดึงดูดสายตาของคนอื่น นอกจากนั้น ข้ายังได้เชิญหมอมาตรวจดูอาการของผู้ลี้ภัย ก็สามารถรักษาแผลบาดเจ็บได้ เช่นนั้นก็ให้ไปรักษาเขาด้วย หมอผู้นั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่เคยพบกับเขามาก่อน แน่นอนว่าจะไม่รู้ฐานะของเขา ส่วนเรื่องที่มาของบาดแผลพวกนั้น ก็บอกว่าเกิดตอนที่ประชาชนลุกฮือขึ้นมา”
คำพูดนี้ทำให้หลี่เย่ตาเป็นประกายทันที แล้วก็พยักหน้าไม่หยุด “พูดไปเช่นนี้ก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะทำให้ผู้อื่นสงสัยเอาได้ ทำอย่างเปิดเผยจะดีกว่า”
หลังจากนั้นก็ได้ห่อยารักษาบาดแผลแก้บวมช้ำและของบำรุงอย่างดีมอบให้โจวอี้เอาไป
หลังจากโจวอี้ออกไปแล้ว หลี่เย่ก็รู้สึกว่าจิตใจกระวนกระวายไม่มีสมาธิ คิ้วก็ขมวดอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนกับเป็นกังวลอย่างมาก
ถาวจวินหลันพยายามหาเรื่องคุยกับเขา สุดท้ายก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว จึงได้แต่ถามเขาออกไปตรงๆ “ข่าวคราวของซินพานนั้น โจวอี้ว่าอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บหนักหรือไม่?”
หลี่เย่ส่ายหัว “บาดเจ็บหนักเช่นกัน เกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งนี้ทหารอารักขาข้างกายซินพานยอมพลีชีพเพื่อช่วยเหลือเขา อีกทั้งยังมีทหารที่เหลืออีกไม่กี่คนพยายามซ่อนตัวมาตลอดทาง ถึงได้พาเขากลับมาจนถึงเมืองหลวงได้”
ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ในใจก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากขึ้น เรื่องใหญ่เช่นนี้ อีกฝ่ายต้องการเอาชีวิตของซินพานอย่างแน่นอน เขากลับมาได้เช่นนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย
“ในเมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงได้ เช่นนั้นก็จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน” ถาวจวินหลันตบๆ แขนของหลี่เย่ แล้วปลอบเขา “ที่เขาพูดกันว่า เมื่อผ่านความเป็นความตายมาได้ ต่อไปก็จะต้องได้พบกับสิ่งดีๆ อย่างแน่นอน ท่านว่าจริงหรือไม่?”
หลี่เย่ไม่อยากพูดให้ถาวจวินหลันไม่สบายใจอีก จึงได้พยักหน้า “จะต้องไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่นอน”
“หากว่าท่านไม่วางใจ พรุ่งนี้ก็แอบไปดูเสียหน่อยก็ได้” ถาวจวินหลันพูดออกมา จากนั้นก็คลี่ยิ้ม “ทำทีว่าไปดูโจวอี้ เช่นนี้จะได้ไม่ทำให้ใครสงสัย”
หลี่เย่พยักหน้า ทั้งสองคนพูดคุยกันต่ออีกสักพัก แล้วถึงได้เข้านอน
วันต่อมา ถาวจวินหลันส่งหลี่เย่ออกไปแล้ว ก็สั่งให้คนจัดการเรื่องตามหมอไปตรวจดูบาดแผลของซินพาน แน่นอนว่า เรื่องนี้นางไม่ได้ออกหน้า และไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ทำราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงญาติของคนงานในจวนอ๋องจริงๆ ด้วยมีเมตตาจึงได้หาหมอมาเพื่อรักษาอาการให้ก็เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่มีใครสงสัย
เรื่องนี้ก็ถือว่าปกปิดเอาไว้ได้ ซินพานก็พักฟื้นเงียบๆ รอให้อาการดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน
ถาวจวินหลันไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพียงแต่คอยถามจากหลี่เย่เป็นบางครั้งเท่านั้น แต่นางกลับกังวลใจเรื่องภายในจวนอ๋องมากกว่า…ผลผลิตจากชนบทนั้นเกรงว่าจะน้อยลงเนื่องจากฝนที่ตกกว่าสิบวันในคราวนั้น คนที่นำของมาส่งบอกเรื่องนี้กับนาง
พอเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจะทำอะไรได้ ผลผลิตในจวนอ๋องก็จะต้องน้อยลง…ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ข้าวสารที่ใช้ในจวนอ๋องแต่ละวันนั้น ตอนนี้ไม่เพียงพอจนต้องออกไปหาซื้อ แต่ที่สำคัญก็คือยามนี้ข้าวสารพวกนั้นไม่มีขาย
ข้าวสารที่ขายกันอยู่นั้นไม่เพียงแต่ขึ้นราคาจนสูงลิ่ว ที่สำคัญก็คือในคลังของเมืองตอนนี้ไม่เหลือข้าวสารที่กักตุนเอาไว้เลย ข้าวสารต่างถูกขายออกไปจนเกลี้ยง ถึงแม้ว่าจะยังส่งเข้ามาจากนอกเมืองอยู่เรื่อยๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ของจำนวนน้อยนิดเพียงเท่านั้น จริงๆ แล้วข้าวสารที่กักตุนไว้นอกเมืองก็เหลือน้อยเช่นกัน ถึงอย่างไรเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ข้าวสารจำนวนไม่น้อยก็จะถูกส่งไปเหอเป่ย อีกทั้งยังมีเงินอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องใช้เพื่อซื้ออาหารมากักตุน ป้องกันไม่ให้ปีหน้าเกิดการขาดแคลนอาหารเนื่องจากไม่มีผลผลิตในปีนี้
ดังนั้น ในตอนนี้ถาวจวินหลันจึงรู้สึกกังวลใจ ก่อนหน้านี้ที่ซื้อเอาไว้ต่างเป็นธัญพืชและอาหารแห้ง เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ไร้ประโยชน์
ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี กลับมีคนนำเทียบเชิญมาส่งให้นางเพื่อขอเข้าพบ คนผู้นั้นชื่อว่าฉินฮูหยิน
ถาวจวินหลันเห็นเทียบเชิญนั้นแล้ว ก็รู้สึกงุนงงและหันหน้าไปถามหงหลัว “ข้ารู้จักฉินฮูหยินผู้นี้อย่างนั้นหรือ?”
หงหลัวครุ่นคิดแล้ว ก็พูดว่า “ใช่คนที่สามีเป็นขุนนางขั้นห้าผู้นั้นหรือไม่เจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันส่ายหัว “ฉินฮูหยินคนนั้นไม่ได้ตามสามีที่ไปรับราชการต่างเมืองแล้วรึ? นางไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงตั้งนานแล้ว แล้วยังจะมาส่งเทียบเชิญขอพอข้าได้อย่างไรกัน?”
หงหลัวพยายามคิดอีกครั้ง สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้า “เช่นนั้นก็คงเป็นฉินฮูหยินอีกคนจริงๆ ”
“บางทีอาจเป็นคนที่ไม่รู้จักแต่อยากมาทำความรู้จักกระมัง?” ถาวจวินหลันลองเดาและพูดกับตัวเอง คิดแล้วก็มองไปที่เทียบเชิญนั้นอีกครั้ง สุดท้ายถึงได้พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ออกไปพบสักหน่อยเถิด”
หงหลัวสั่งให้คนออกไปบอก เพียงไม่นาน สาวใช้ก็พาฮูหยินที่ยังสาวคนนั้นเดินเข้ามาในเรือน หงหลัวยืนมองอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วก็หันมาส่ายหัวกับถาวจวินหลัน “ไม่รู้จักจริงๆ เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้าแสดงความหมายว่านางเข้าใจแล้ว จากนั้นก็นั่งตัวตรงรอฮูหยินผู้นั้นเข้ามา
ตอนที่ฉินฮูหยินผู้นั้นเข้ามา ถาวจวินหลันก็มองประเมินนางอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าอีกฝ่ายถึงแม้จะสวมชุดที่ลายและเนื้อผ้ากำลังนิยมในช่วงนี้ แต่ว่าสีสันกลับดูเรียบๆ และสะอาดสะอ้าน ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่านิสัยของนางจะต้องเป็นคนที่เรียบง่าย อีกทั้งฐานะก็ยังไม่ได้สูงมากนัก…จากเครื่องประดับของนางก็พอจะรู้ได้ ไม่เพียงแต่เรียบง่าย อีกทั้งปิ่นปักผมรูปหงส์นั้นก็มีหางเพียงสามหางซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยที่สุด
ฉินฮูหยินก้มหน้าและคำนับถาวจวินหลัน พร้อมกับพูดว่า “ถวายพระพรพระชายารองถาว”
ถาวจวินหลันรีบเข้าไปประคอง ยิ้มแล้วพูดว่า “รีบนั่งลงเถิด” หงหลัวยิ้มแล้วเชิญให้ฉินฮูหยินนั่งลง จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ไปยกชามาวางข้างๆ ฉินฮูหยิน
หลังจากทักทายกันเรื่องทั่วไปสักพัก ถาวจวินหลันก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก จึงได้แต่ยิ้มแล้วมองไปทางฉินฮูหยิน รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจุดประสงค์ของตัวเองออกมา จริงๆ แล้วจากที่พูดคุยกันไปมาสักพัก ฉินฮูหยินก็ยังไม่ได้พูดออกมาว่านางมาจากบ้านตระกูลไหน ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจอย่างมาก
ฉินฮูหยินรู้หน้าที่ดี จึงได้เอ่ยปากพูดออกมาว่า “บ้านสามีของข้าแซ่จั่ว เป็นสายเลือดที่แยกออกมาของจวนเฝินหยางโหว ตอนนี้สามีของข้าได้รับหน้าที่จัดการเรื่องในจวนเฝินหยางโหวอยู่ข้างกายเฝินหยางโหวเจ้าค่ะ”
พูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็รู้ถึงฐานะของฉินฮูหยินคนนี้ทันที ว่านางเป็นภรรยาของจั่วเสี่ยนอวี้
ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “ข้าเคยได้ยินเรื่องสามีของเจ้า ได้ยินว่าเป็นคนมีความสามารถ”
ฉินฮูหยินเม้มปากยิ้มอย่างเคอะเขิน “พระชายารองชมเกินไปแล้ว เขาก็แค่ช่วยคนอื่นทำงานเท่านั้น ตอนนี้พวกเราก็หาเงินเพื่อค่อยๆ ขยับขยายกิจการของพวกเราเท่านั้น วันนี้ที่มาขอพบพระชายารอง ก็เพราะได้ยินว่าพระชายารองต้องการหาซื้อข้าวสาร”
“ข้าวสารรึ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจพอจะเดาอะไรบ้างอย่างได้ “ทำไมรึ พวกเจ้ามีข้าวสารจะนำมาขายให้ข้าได้รึ?”
ฉินฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ พวกเรายังมีร้านค้าและคนรู้จักอยู่บ้าง ดังนั้นถึงสามารถหาข้าวสารมาได้เจ้าค่ะ ได้ยินว่าจวนตวนอ๋องต้องการหาซื้อ สามีของข้าจึงส่งให้ข้ามาลองถาม” สักพักก็พูดเสริมอีกว่า “เรื่องราคาก็ถือเสียว่าเป็นการช่วยเหลือกันเท่านั้น ขอแค่ค่าขนส่งเพียงเล็กน้อยก็พอเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันคิดแล้ว ก็พูดออกไปว่า “ทำเช่นนี้คงไม่เหมาะสมนัก ตอนนี้ข้าวสารหาได้ยาก อีกทั้งพวกเรากับจวนเฝินหยางโหวก็ไม่ได้เกี่ยวดองกัน ทำเช่นนี้ถือว่าเอาเปรียบพวกเจ้า ท่านอ๋องจะทรงตำหนิข้าเอาได้”
ฉินฮูหยินกัดฟัน แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจวนเฝินหยางโหว เป็นเพียงแค่เรื่องของบ้านเราเท่านั้น พระชายารองอย่ากังวลใจไปเลยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรเรื่องกิจการพวกนี้ก็เป็นของพวกเราเอง”
พูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เข้าใจความหมายของฉินฮูหยินทันที “พูดเช่นนี้ ก็หมายความว่านี่เป็นเรื่องของบ้านเจ้าเท่านั้นรึ? ไม่เกี่ยวกับจวนเฝินหยางโหวเช่นนั้นรึ?”
ฉินฮูหยินพยักหน้า แววตาดูอ้อนวอน “พวกเรามิบังอาจมาผูกสัมพันธ์ด้วย เพียงแต่คิดว่าหากมีการไปมาหาสู่กันบ้างก็พอ หากว่าต่อไปมีโอกาสได้ร่วมมือกัน ก็จะได้ร่วมมือกันเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าไม่กลัวเฝินหยางโหวจะรู้เรื่องนี้รึ?” ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วมองไปทางฉินฮูหยิน “ถึงอย่างไร พวกเจ้าก็น่าจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างจวนเฝินหยางโหวกับจวนตวนอ๋องดี หากไม่ใช่เป็นเพราะท่านอ๋อง ท่านเฝินหยางโหวก็คงไม่…”
ท่าทีของฉินฮูหยินเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นและคุกเข่าลงตรงหน้าถาวจวินหลันอย่างหนักแน่น “เรื่องในตอนนั้น เป็นเพราะจวนเฝินหยางโหวไม่ดีจริงๆ เจ้าค่ะ เพียงแต่เรื่องนี้ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว พวกเราเองก็ถูกขับไล่ออกจากจวนเฝินหยางโหว ขอพระชายารองอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธพวกเราเพราะเรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ”
ท่าทีของฉินฮูหยินแสดงออกชัดว่าจริงใจอย่างมาก
ถาวจวินหลันถอนใจเบาๆ แสดงท่าทีบอกให้หงหลัวประคองฉินฮูหยินลุกขึ้น สุดท้ายก็พูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากคบหากับพวกเจ้า ข้าเข้าใจความคิดของพวกเจ้าดี ข้าแค่เพียงเป็นห่วงฝั่งพวกเจ้าก็เท่านั้น แต่ในเมื่อพวกเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าเองก็วางใจ เรื่องการร่วมมือกันนั้น ขอแค่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร พวกเราเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยินดี”
ฉินฮูหยินได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าดีใจอย่างมาก จากนั้นก็พูดไม่หยุดว่า “ขอบพระทัยพระชายารองเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะ “พวกเจ้าไม่ต้องลดราคาข้าวสารให้ถูกจนเกินไป เอาตามราคาที่ค้าขายกันตอนนี้เถิด ลดราคาลงเล็กน้อยก็พอ ไม่อย่างนั้นข้าเองก็จะไม่สบายใจ ต่อไปหากเจ้ามีเวลา ก็มาพูดคุยกันได้ ข้าเองอยู่ในเรือนทุกวันก็รู้สึกเบื่อ อยากได้คนมาพูดคุยกับข้าบ้าง หากไม่ใช่เพราะมีเรื่องร้านค้าที่ทำให้ข้าออกไปไหนไม่ได้ ข้าจะต้องออกจากเรือนไปข้างนอกทุกวันอย่างแน่นอน”
จากนั้นก็พูดคุยกันต่อไปอีกสักพัก ฉินฮูหยินก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รั้งตัวนางให้อยู่ต่อ เพียงแต่ออกไปส่งนางที่หน้าประตูเรือนเท่านั้น
รอจนกระทั่งหงหลัวส่งฉินฮูหยินขึ้นรถม้าไปแล้ว นางถึงได้หัวเราะและพูดกับหงหลัวว่า “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเอาของดีมาป้อนให้ถึงปาก”
หงหลัวรู้ดีว่าถาวจวินหลันคิดหาวิธีสร้างความสัมพันธ์กับจั่วเสี่ยนอวี้มาโดยตลอด จึงเม้มปากแล้วยิ้ม “เช่นนี้จะไม่เรียกว่าเอามาป้อนให้ถึงปากได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ จังหวะพอดีที่กำลังขาดแคลนข้าวสาร เมื่อเป็นเช่นนี้พระชายารองก็ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไปแล้ว”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “มีเวลาไหนที่ไม่ต้องกังวลใจรึ? ไม่กังวลใจเพราะเรื่องนี้ ก็มีเรื่องอื่นมาให้กังวลใจแทนอยู่ดี”