หลี่เย่ครุ่นคิด เห็นด้วยกับความคิดของถาวจวินหลัน แต่เขาก็ยังพูดอีกว่า “หากสถานการณ์ไม่ดีนัก เจ้าก็ต้องไปด้วย เพียงแต่ตอนนี้ให้ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไปก่อน”
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดปรึกษาอะไรกับเขาต่อมากนัก เพียงแค่พยักหน้า แต่กลับเห็นได้ชัดว่าจิตใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรื่องนี้สำหรับนางแล้วถือว่ากระทบกระเทือนจิตใจของนางไม่น้อยเลยจริงๆ
ตั้งแต่อดีตกาล ทุกครั้งที่เกิดกาฬโรคขึ้น ก็มักจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ตามมา และทุกครั้งก็มีคนล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน
ดังนั้น จึงต้องเตรียมตัวรับมืออย่างดี
ถาวจวินหลันยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้กังวลใจ “ปีนี้เพิ่งเกิดภัยพิบัติขึ้น หากเกิดกาฬโรคตามมาอีก เช่นนั้นฮ่องเต้…”
“หากสถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ เกรงว่าจะต้องประกาศราชโองการลงโทษตัวเอง” หลี่เย่ถอนใจ “ตอนนี้มีคนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ที่เกิดภัยพิบัติขึ้นเช่นนี้ ก็เพราะเสด็จพ่อทรงไร้ความสามารถ ฟ้าดินจึงไม่พอใจ”
ถาวจวินหลันรู้สึกหนาวสะท้าน รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว กล่าวโทษฮ่องเต้ ก็หมายความว่า…ฮ่องเต้สูญเสียหัวใจของประชาชนไปแล้ว ฮ่องเต้ที่สูญเสียหัวใจของประชาชนไป ราชบัลลังก์จะมั่นคงได้อย่างไร?
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วก็ถามหลี่เย่ว่า “ท่านว่า จะมีคนตั้งใจทำอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่? เพื่อทำให้จิตใจของประชาชนสั่นคลอน? ก่อนหน้านี้ประชาชนก็ลุกฮือขึ้น ในตอนนี้กลับมีข่าวลือเช่นนี้ขึ้นอีก…”
“เรื่องนี้เสด็จพ่อก็ทรงสงสัยเช่นกัน จึงสั่งคนให้ไปสืบลับๆ พี่ใหญ่ของฝูชิงออกจากเมืองหลวงไปเงียบๆ แล้ว แต่ประกาศออกไปว่าอยู่ๆ เขาป่วยหนัก จึงรักษาตัวอยู่แต่ในจวน” นี่ถือเป็นราชการลับของราชสำนัก ตอนที่หลี่เย่พูดเรื่องพวกนี้ออกมานั้น น้ำเสียงก็เบาลงอย่างมาก
ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจขึ้น บ้านตระกูลเฉินได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อย่างมาก เพียงแต่ เรื่องนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย ถึงขั้นว่ายังมีอันตรายไม่น้อย ความเชื่อใจนี้ อาจต้องแลกมาด้วยชีวิต
แต่นางหวังว่าเฉินฟู่ไม่ต้องเป็นเช่นนี้จะดีกว่า…เพื่อถาวซินหลันแล้ว นางก็ไม่อยากให้เฉินฟู่ต้องไปเสี่ยงอันตราย แม้ว่าความเสี่ยงนี้จะแลกกับอำนาจและฐานะอันสูงส่ง นางก็ไม่รู้สึกยินดี หากเป็นไปได้ นางกลับหวังให้ถาวซินหลันอยู่อย่างสงบไปตลอดชีวิต ไม่ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางจะดีที่สุด
คิดไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ฮองเฮายิ้มแฝงนัยกับนางให้หลี่เย่ฟัง แล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องที่ไทเฮาพูดเรื่องหลี่เย่ นางรู้ดีแก่ใจ เรื่องในราชสำนักก็ทำให้หลี่เย่วุ่นวายใจมากพออยู่แล้ว นางจึงไม่ควรเอาเรื่องพวกนี้มาทำให้หลี่เย่รู้สึกวุ่นวายใจมากขึ้นไปอีก
ช่างเถอะ นางเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีมิใช่หรือ?
วันต่อมา ถาวจวินหลันก็เรียกจิ้งหลิงและเจียงอวี้เหลียนมาพบ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดก็คือส่งเด็กๆ ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ดังนั้นเรียกแค่พวกนางสองคนมาก็พอ ส่วนคนอื่นนั้น…ไม่ใช่เพราะนางใจร้าย แต่หากจะส่งพวกนางไป ก็ต้องให้แยกกับพวกเด็กๆ
เจียงอวี้เหลียนมาถึงช้า ใบหน้าดูอ่อนล้า “วันนี้ตั้งแต่เช้ามืด เซิ่นเอ๋อร์ก็งอแงขึ้นมา ไม่ว่าจะกล่อมอย่างไรก็ไม่หยุด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ดูเหมือนเจียงอวี้เหลียนจะร้อนใจและหงุดหงิด น้ำเสียงยังดูกล่าวโทษ
ถาวจวินหลันมองไปทางนาง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “บางทีอาจเป็นเพราะตอนกลางคืนเข้านอนเร็วเกินไป จึงตื่นแต่เช้ามืดเช่นนี้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะยังง่วง จึงรู้สึกไม่สบายตัว เด็กๆ เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา”
จิ้งหลิงพูดเสริมอีกว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ”
ทั้งสองคนต่างเคยเลี้ยงเด็ก ดังนั้นจึงถือว่ามีประสบการณ์สามารถพูดเรื่องนี้ได้
เจียงอวี้เหลียนปิดปากแล้วหาวฟอดหนึ่ง ก่อนมองมาทางถาวจวินหลัน “ชายารองถาวเรียกพวกเรามา มีเรื่องอะไรรึ?” ก็มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่สามารถเอ่ยปากถามอย่างตรงๆ เช่นนี้ได้ หากเป็นจิ้งหลิง จะเอ่ยปากเร่งก็คงไม่เหมาะนัก
แน่นอนว่า ก็ไม่มีอะไรต้องเร่ง ถาวจวินหลันเรียกพวกนางมา หากว่ามีเรื่องอะไรก็จะต้องพูดกับพวกนางแน่นอน
ถาวจวินหลันค่อยๆ พูดเรื่องที่หลี่เย่บอกกับนางเมื่อวาน “ประชาชนที่อพยพมานั้นเกรงว่าจะมาถึงเมืองหลวงในช่วงไม่กี่วันนี้ อันที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ทางเหอเป่ยเพิ่งเกิดกาฬโรคขึ้น เกรงว่าประชาชนที่อพยพมาจะนำเอากาฬโรคมาด้วย ท่านอ๋องทรงเห็นว่า หากสถานการณ์ไม่ดีจริงๆ ก็ให้ออกไปอยู่นอกเมืองหลวงสักพัก”
พอพูดออกไปแล้ว สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที
สีหน้าของเจียงอวี้เหลียนซีดขาว เสียงสั่นเล็กน้อย “อะไรกัน? กาฬโรคเช่นนั้นรึ?!”
ในตอนนี้ ใครจะไม่รู้ว่ากาฬโรคน่ากลัวเพียงใด เจียงอวี้เหลียนเคยเห็นชุมชนที่เพิ่งเกิดกาฬโรค ทั้งชุมชนเหลือเพียงคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ตามทางต่างมีหลุมฝังศพใหม่ๆ เต็มไปหมด บรรยากาศที่เย็นเยือกและว่างเปล่านั้น ทำให้คนที่เห็นรู้สึกกลัวจนตัวสั่น
อีกทั้งนางยังเคยได้ยินความร้ายแรงของกาฬโรค
คนที่ติดกาฬโรคแล้ว ต่างตายอย่างทรมาน อีกทั้งเมื่อติดโรคแล้ว โอกาสรอดก็มีเพียงน้อยนิด…ทำได้แค่รอคอยความตาย ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นเช่นไร
ที่สำคัญก็คือ กาฬโรคติดต่อกันอย่างรวดเร็ว บางทีการพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ หรือหากถูกตัวกันเบาๆ ก็มีโอกาสติดกาฬโรคได้ทั้งนั้น หากประชาชนที่อพยพมาเอาเชื้อกาฬโรคมาแพร่ระบาดจริงๆ เช่นนั้นเมืองหลวงก็ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว…
เจียงอวี้เหลียนกลัวจนตัวสั่น สุดท้ายแล้วก็อดพูดขึ้นด้วยเสียงแหลมไม่ได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมถึงไม่กักพวกเขาเอาไว้ที่เหอเป่ย? ทำไมยังต้องให้พวกเขาอพยพมา? ไม่เช่นนั้น ก็ให้ทำเหมือนวันนั้น ฆ่าพวกเขาเสียให้หมด! หรือว่าแค่ประชาชนชั้นต่ำเพียงไม่กี่คน ก็ละเลยความปลอดภัยของพวกเราแล้วอย่างนั้นรึ?”
สำหรับเจียงอวี้เหลียนแล้ว ถึงแม้ว่าประชนชาพวกนั้นต้องตายเป็นหมื่นเป็นพัน ก็เทียบไม่ได้กับปลายเล็บของนางเลย
ถาวจวินหลันจ้องเจียงอวี้เหลียนเขม็ง แล้วตำหนิด้วยเสียงแข็งกร้าว “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! เจ้าตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วรึ? ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้ออกมา! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าอยากให้ชื่อเสียงของท่านอ๋องพังทลายจนหมดเลยอย่างนั้นรึ? ฮ่องเต้ทรงยังไม่กล้าตรัสเช่นนี้ แต่เจ้ากลับกล้าพูดออกมา! เจียงอวี้เหลียน ต่อไปเวลาเจ้าจะพูดอะไร ก็ขอให้เจ้าใช้สมองคิดไตรตรองให้มากก่อน!”
หากคนอื่นได้ยินคำพูดนี้เข้า หรือหากขุนนางพวกนั้นได้ยินเข้า หลี่เย่ไม่วายต้องถูกลงโทษ! ถึงแม้ว่าหลี่เย่จะไม่ได้พูดเอง แต่เจียงอวี้เหลียนเป็นผู้หญิงของหลี่เย่! ไม่อบรมสั่งสอนลูกชายให้ดีเป็นความผิดของพ่อ หากภรรยาทำความผิด ก็ถือว่าเป็นเพราะสามีไม่สั่งสอนให้ดีเช่นกัน ดังนั้นสามีก็ต้องรับผิดชอบแทน! อีกทั้ง คนอื่นจะคิดได้ว่า พระชายารองอย่างเจียงอวี้เหลียนกล้าพูดอย่างอวดดีเช่นนี้ เช่นนั้นหลี่เย่มีความคิดเช่นไรกันแน่?
หากเป็นเช่นนั้น หลี่เย่ก็จะพูดอะไรไม่ได้แล้ว!
ถาวจวินหลันย่อมโกรธและโมโหเป็นธรรมดา หลี่เย่พยายามเลือดตาแทบกระเด็นอยู่ข้างนอก คนในเรือนไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้ยังไม่เท่าไร แต่จะทำให้เขาพลอยตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ไม่ได้!
พอโกรธมากเช่นนี้ แน่นอนว่าถาวจวินหลันก็ไม่หลงเหลือความเกรงใจต่อไปอีกแล้ว บางทีแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้สึกตัวว่า สายตาที่นางมองไปนั้นดูอำมหิตและน่ากลัวเพียงใด
เจียงอวี้เหลียนตกใจจนคอหดไป รู้สึกกลัวและกระวนกระวายใจ ช่วยไม่ได้ ในตอนนี้นางควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ รอจนกระทั่งได้สติกลับมาแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็รู้สึกอายจนโกรธ ตอนแรกนางอยากพูดจากระแนะกระแหนถาวจวินหลันเสียหน่อย แต่พอมองเห็นท่าทีจริงจังของถาวจวินหลันและนึกถึงหลี่เย่ สุดท้ายแล้วนางก็ได้แต่หุบปากไปด้วยท่าทีโกรธๆ
เจียงอวี้เหลียนรู้ดีแก่ใจว่าตนเองพูดไม่ดีออกไป นางพลันรู้สึกเสียใจในทันที ในใจก็เริ่มคิดทบทวน…หากถาวจวินหลันเอาเรื่องนี้ไปบอกหลี่เย่ หลี่เย่จะมองนางเช่นไร? ไม่แน่ว่าอาจจะเกลียดนางไปเลยก็ได้…
เป็นเพราะความคิดนี้ เจียงอวี้เหลียนจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา นางอดมองไปทางถาวจวินหลันไม่ได้ ในใจก็คิดว่าจะพูดเช่นไรให้ถาวจวินหลันไม่เอาเรื่องนี้ไปพูด
จริงๆ แล้วเจียงอวี้เหลียนกลับมองถาวจวินหลันผิดไปแล้ว
ถาวจวินหลันไม่สนใจเรื่องนี้…อีกทั้ง หลี่เย่ก็ไม่ได้โปรดปรานเจียงอวี้เหลียนอยู่แล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเช่นนั้น ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือนางไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันไม่มีเวลาว่างมากพอมาสนใจว่าเจียงอวี้เหลียนรู้สึกผิดจริงๆ หรือว่าเสแสร้งออกมาเท่านั้น นางนวดๆ หัวคิ้วของตัวเอง แล้วพูดว่า “เอาเถิดๆ ต่อไปต้องระวังให้มาก ท่านอ๋องทำงานอย่างลำบากข้างนอก มีคนจับตามองจวนอ๋องของพวกเราอยู่ตั้งเท่าไร? พวกเราจะสร้างความลำบากเพิ่มให้ท่านอ๋องไม่ได้ พูดไม่น่าฟัง หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋อง พวกเรายังจะมีชีวิตดีได้อย่างไร? หากเสาหลักของพวกเราล้มลง พวกเรายังจะอยู่อย่างสงบได้อย่างไร?”
“ความคิดของท่านอ๋องพวกเจ้าเองก็เข้าใจแล้ว พวกเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?” ถาวจวินหลันถามความเห็นของพวกนางทั้งสองคน
จิ้งหลิงลังเลอยู่สักพัก แล้วก็รับคำ “ในเมื่อท่านอ๋องพูดเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องทำตามความเห็นของท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
เจียงอวี้เหลียนกลัวกาฬโรคมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ค้านอะไร แล้วก็พยักหน้าด้วยความกระวนกระวาย “เช่นนั้นก็หลบออกไปอยู่นอกเมืองหลวงเสียก่อน”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ในเมื่อพวกเจ้าต่างมีความเห็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็จะจัดเตรียมทุกอย่างให้ เพียงแต่เมื่อออกไปแล้ว เกรงว่าจะต้องตัดขาดจากโลกภายนอกไปสักระยะ อยู่ข้างนอกย่อมไม่สะดวกสบายเหมือนในจวนอ๋อง ถึงอย่างไรก็จะต้องลำบาก แต่ขอแค่ได้อยู่อย่างปลอดภัย เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร”
สักพัก นางก็พูดต่อว่า “เรื่องนี้จะต้องรีบจัดการ รอช้าอยู่ไม่ได้ ข้าคิดว่าอีกสองวันพวกเจ้าก็ออกเดินทางได้ พวกเจ้ารีบไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อย”
เจียงอวี้เหลียนรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเลิกคิ้วแล้วถามถาวจวินหลัน “พวกเจ้า? พระชายารองไม่ออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเรารึ?”
ถาวจวินหลันไม่ได้คิดจะปกปิดอะไร จึงได้แต่พยักหน้า “อืม ข้ายังไม่ไป หากสถานการณ์ย่ำแย่แล้วค่อยว่ากัน”
ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนดูเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง แต่ถาวจวินหลันไม่มีเวลาไปสนใจนาง จึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “หากไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าก็กลับไปเก็บของกันเถิด เอาของไปให้มากหน่อย บางทีอาจจะต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน อย่าให้ถึงเวลาแล้วขาดเหลืออะไร ถึงตอนนั้นจะไม่สะดวกนัก”
จิ้งหลิงรู้สึกร้อนใจ จึงลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ เจียงอวี้เหลียนเห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่ลุกขึ้นตาม
ถาวจวินพยักหน้า ไม่ได้บอกให้เจียงอวี้เหลียนอยู่ต่อ แต่กลับหันไปพูดกับจิ้งหลิงว่า “จิ้งหลิง ข้ายังมีเรื่องต้องสั่งเจ้า เจ้ารออยู่ก่อน”
เจียงอวี้เหลียนเดินออกไปข้างนอกแล้ว ในตอนนี้ถึงแม้ว่านางจะสงสัยมากเพียงใด แต่นางจะอยู่ต่อไปก็ไม่ได้ จึงได้แต่เปิดม่านเดินปึงปังออกไป
หงหลัวมองเห็นม่านลูกปัดที่ถูกสะบัดจนพันกันเป็นก้อน ก็อดเบะปากไม่ได้ แล้วพูดอ้อมแอ้มว่า “มาทำท่าทีโกรธเกรี้ยวเช่นนี้เพื่ออะไรกัน?”
ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ก็โบกๆ มืออย่างไม่ใส่ใจ “ช่างนางเถิด เจ้าไปดูว่าแม่นมจัดเตรียมของให้ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
จิ้งหลิงได้ยินเช่นนั้น ก็มีท่าทีประหลาดทันที “เช่นนี้ ท่านอยู่ที่นี่ ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูต้องออกจากจวนอ๋องไป? ท่านวางใจได้รึ?!”
ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างขมขื่น มองไปทางจิ้งหลิงอย่างจริงจัง “จิ้งหลิง ข้าต้องการขอร้องเจ้าสักเรื่องพอดี ข้าไม่สามารถเดินทางไปด้วยได้ ในจวนอ๋องจะไม่มีคนอยู่ไม่ได้ อีกทั้งข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋อง ข้าขอฝากซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไว้กับเจ้า เจ้าช่วยข้าดูแลพวกเขาให้ดี ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีกั่วเจี่ยเอ๋อร์แล้ว แต่นอกจากเจ้าแล้วข้าไม่ไว้ใจใครจริงๆ ได้แต่ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”