พอใกล้ถึงเวลาออกเดินทาง อยู่ๆ เจียงอวี้เหลียนกลับส่งคนมาบอกว่าไม่ไปแล้ว
ถาวจวินหลันย่อมงุนงงไปหมด จึงเดินทางไปถามด้วยตนเองสักหน่อย…หากไม่ไปถามก็ไม่เหมาะสม ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เจียงอวี้เหลียนจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรนางก็ไม่สนใจ แต่เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกของหลี่เย่ เป็นคุณชายรองของจวนอ๋อง นางจึงต้องใส่ใจ
อีกทั้ง นางครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ ทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงไม่ยอมไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนี่? ก่อนหน้านี้เจียงอวี้เหลียนไม่ได้กลัวกาฬโรคมากหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าเต็มใจออกไปหลบภัยมากเลยหรือ? อยู่ๆ กลับเปลี่ยนความคิดเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรกันแน่?
หงหลัวเห็นว่าถาวจวินหลันตั้งใจจะไปถามด้วยตัวเอง จึงเบะปากพูดว่า “พระชายารองอย่าใส่ใจไปเลยเจ้าค่ะ ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป พวกเราต้องไปด้วยตัวเองเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการลดฐานะของตัวเอง อีกทั้งยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ อาจคิดว่าพวกเรามีแผนการอะไรก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างขมขื่น “เวลาไหนกันแล้ว ทำไมจะยังคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้อยู่อีก? ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ข้าควรทำข้าก็ต้องทำ นางจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของนางแล้ว”
พูดอย่างตรงไปตรงมาล่ะก็ นางทำเช่นนี้ก็ด้วยเห็นแก่หน้าของหลี่เย่เท่านั้น แน่นอนว่า ขอบเขตก็ถึงแค่จุดนี้ หากจะให้นางทำอะไรมากไปกว่านี้ นั่นก็เป็นอีกเรื่องแล้ว
หงหลัวได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่ได้ห้ามอีกต่อไป เพียงแต่ส่ายหัวแล้วถอนใจ “พระชายารองรอดูเถิดเจ้าค่ะ อีกฝ่ายไม่มีทางซาบซึ้งน้ำใจของท่านอย่างแน่นอน”
เรื่องนี้ หงหลัวคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
ถาวจวินหลันเพิ่งไปถึงเรือนชิวอี๋ ยังไม่ทันพูดอะไรออกมาสักคำ เจียงอวี้เหลียนก็พูดเนิบๆ ว่า “คิดไปคิดมา ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าควรอยู่ที่นี่ ถึงจะเรียกว่าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ตอนนี้อันตรายยังไม่ทันมาถึงตัว หากว่าข้าจะไปจากท่านอ๋อง ข้าก็ต้องรู้สึกผิดต่อท่านอ๋องมิใช่หรือ?”
คำพูดนี้ทำเอาถาวจวินหลันพูดไม่ออก นางมองเจียงอวี้เหลียน เพียงแต่ถามออกไปว่า “เช่นนั้นเซิ่นเอ๋อร์จะทำเช่นไร?”
“แน่นอนว่าจะต้องอยู่กับข้า” เจียงอวี้เหลียนไม่ลังเล แล้วพูดอย่างมั่นใจ “คิดว่าเขาเองก็ไม่อยากห่างจากพ่อของเขาเช่นกัน”
เจียงอวี้เหลียนพูดอย่างจริงจังและแน่วแน่ ดูเหมือนว่าถาวจวินหลันจะโน้มน้าวนางไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว สักพักถึงได้พูดเรียบๆ ว่า “เรื่องหลบภัยในครั้งนี้เป็นความคิดของท่านอ๋อง”
“เรื่องนี้ข้าจะพูดกับท่านอ๋องเอง” เจียงอวี้เหลียนพูดอย่างมั่นใจ “ชายารองถาวไม่ต้องโน้มน้าวข้าอีก เจ้าเองก็ยังไม่ยอมห่างจากท่านอ๋อง แล้วข้าจะทำใจห่างจากท่านอ๋องได้เช่นไร?”
“หรือว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ แล้วให้เซิ่นเอ๋อร์เดินทางไปหลบภัย” ถาวจวินหลันเสนออีกทาง “แม้แต่ซวนเอ๋อร์กับหมิงจู ข้าก็ให้แม่นมพาไปหลบภัยเช่นกัน”
เจียงอวี้เหลียนลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ส่ายหัว “ไม่ได้ เซิ่นเอ๋อร์อยู่ห่างจากข้าไม่ได้”
ดูจากท่าทีของเจียงอวี้เหลียน ถาวจวินหลันก็รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนตัดสินใจแล้ว นางพูดอย่างไรก็คงไม่ฟัง ดังนั้นจึงไม่พูดโน้มน้าวต่อ เพียงแค่พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตามใจเจ้า เพียงแต่ เจ้าไปพูดกับท่านอ๋องด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
เดาว่าคงมีเพียงหลี่เย่เท่านั้นที่จะพูดให้เจียงอวี้เหลียนยอมได้
นางไม่ได้นั่งอยู่ต่อ ถาวจวินหลันลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับออกมา
เจียงอวี้เหลียนมองตามหลังของถาวจวินหลัน แล้วหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นก็ถ่มน้ำลายออกมา ดูมีท่าทีภาคภูมิใจ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคิดอะไรอยู่? คิดว่าข้าเป็นคนโง่อย่างนั้นรึ?”
และเจียงอวี้เหลียนก็คิดได้ทันทีว่า รอจนนางพูดกับหลี่เย่แล้ว หลี่เย่จะรู้สึกซาบซึ้งใจมากเพียงใด? ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะยิ่งให้ความสำคัญกับนางมากขึ้น แล้วต่อไปก็คงจะไปเรือนนางด้วย
เพียงแต่เจียงอวี้เหลียนลืมคิดไปว่า หากเรื่องหลบภัยครั้งนี้เป็นความคิดของหลี่เย่จริงๆ เล่า? นางทำเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ หลี่เย่คงไม่เพียงแต่จะไม่ซาบซึ้งใจ แต่จะยิ่งรู้สึกรำคาญมิใช่รึ?
พอกลับมาถึงเรือน ถาวจวินหลันก็เตรียมการเรื่องจิ้งหลิงพาเด็กๆ ออกเดินทางไปหลบภัย คิดแล้ว นางก็ไปหาชิงกูกูกับติงหมัวหมัว “กูกูกับหมัวหมัวร่วมเดินทางไปด้วยจะดีกว่า มีพวกท่านอยู่ ข้าเองก็วางใจ”
ทั้งสองคนไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่พูดว่า “มีพวกเราอยู่ พระชายารองวางใจเถิดเจ้าค่ะ”
นอกจากชิงกูกูและติงหมัวหมัวแล้ว ถาวจวินหลันคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ให้ชิวจื่อร่วมเดินทางไปด้วยกัน
นางพูดกับชิวจื่อว่า “เจ้ากับจิ้งหลิงดูแลวังเต๋ออันอย่างดีโดยตลอด ในตอนนี้ ก็ถือว่าพวกเจ้าทั้งสองคนได้ทำงานร่วมกันอีกครั้ง อีกทั้งตอนแรกข้าก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะให้เจ้าติดตามซวนเอ๋อร์ไป วันนี้ข้าก็ยังคิดเช่นนั้น…ข้าไม่มีอะไรพูดมากมาย เพียงแต่อยากกำชับเจ้าว่า ไม่ว่าอย่างไร ข้าขอแค่เด็กๆ ปลอดภัยก็พอ”
ชิวจื่อรู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ นางจะรับคำส่งๆ ไม่ได้ จึงรับปากเรื่องนี้อย่างหนักแน่น “บ่าวจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้องคุณหนูและคุณชายน้อยให้ปลอดภัยเจ้าค่ะ”
“ออกจากจวนอ๋องไปครั้งนี้ จะต้องระวังให้มาก” ถาวจวินหลันวางใจไม่ได้ จึงกำชับไปอีกครั้ง
ชิวจื่อเข้าใจความรู้สึกของถาวจวินหลัน จึงไม่รู้สึกรำคาญ และรับคำแต่โดยดี อีกทั้งยังได้พูดให้ถาวจวินหลันสบายใจ
เนื่องจากเจียงอวี้เหลียนไม่ไปแล้ว ดังนั้นของทุกอย่างที่จะต้องเตรียมจึงน้อยลงไปมาก วันต่อมาทุกอย่างก็จัดเตรียมเรียบร้อยรอแค่เพียงออกเดินทาง
ถาวจวินหลันอุ้มหมิงจูไปส่งด้วยตัวเอง แล้วปลอบซวนเอ๋อร์ว่าให้แม่นมพาเข้าไปเที่ยวเล่นที่บ้านในชนบทเพียงไม่กี่วัน โดยไม่กล้าพูดว่าไปนานเท่าไร เพียงแค่บอกว่าอีกไม่นานพวกนางก็จะตามไป
ถึงอย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ยังเล็ก คนที่ร่วมทางไปด้วยต่างก็เป็นคนคุ้นเคยทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่มีท่าทีกังวลใจใดๆ เลย แต่กลับยิ้มแล้วตั้งหน้าตั้งตารอคอย ทำให้ถาวจวินหลันที่มองดูอย่างเจ็บปวดใจรู้สึกขบขันขึ้นมา พอรถม้าออกไปแล้ว จึงแกล้งตำหนิเล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เสียใจที่ต้องจากข้าเลยแม้แต่น้อย”
หงหลัวได้ยินแล้ว จึงรีบปลอบว่า “ซวนเอ๋อร์ยังเด็กนัก จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ เขาดีใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องงอแงระหว่างทางเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันกรอกตาใส่นาง “คิดว่าข้าไม่เข้าใจจริงๆ รึ? ข้าก็แค่ถอนใจกับตัวเองเท่านั้น เพียงแต่การจากกันครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่”
หงหลัวหัวเราะแล้วประคองถาวจวินหลันเดินกลับ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าพูดมากไปเอง แต่พออากาศเริ่มเย็นลงก็คงจะกลับมาแล้ว ตอนนี้ก็เดือนเจ็ด อีกไม่นานก็จะเข้าเดือนแปด อากาศก็จะค่อยๆ เย็นลงแล้วเจ้าค่ะ”
กาฬโรคจะระบาดก็ในช่วงอากาศร้อน พออากาศเริ่มเย็นลง ก็จะค่อยๆ หายไปเอง
ถาวจวินหลันก็รู้ถึงข้อนี้ เพียงแต่ไม่อยากอยู่ห่างกับลูกๆ นานก็เท่านั้น ถึงอย่างไร กว่าจะได้ซวนเอ๋อร์กลับมาเลี้ยงดูข้างกายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในตอนนี้ต้องจากกัน แล้วนางจะทำใจได้อย่างไร? โดยเฉพาะหมิงจู ที่ยังไม่ถึงขวบดี
มองดูก็รู้ว่าถาวจวินหลันทำใจไม่ได้ เพียงแต่หงหลัวก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว ได้แต่พูดเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนเรื่องและเบี่ยงเบนความสนใจ
ตกดึกหลี่เย่กลับมาถึงแล้ว ถาวจวินหลันกำลังใจลอยคิดว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกซวนเอ๋อร์จะถึงบ้านพักแล้วหรือไม่ โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเขากลับมาเลยแม้แต่น้อย
หลี่เย่ก็ไม่ส่งเสียง แต่กลับมองอยู่สักพัก ถึงได้พูดขึ้นเบาๆ “เจ้าวางใจเถิด ตอนนี้พวกเขาน่าจะเข้าพักที่บ้านพักเรียบร้อยดีแล้ว ข้าได้กำชับทหารอารักขาเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรต้องกังวลอย่างแน่นอน”
ถาวจวินหลันถึงรู้สึกตัว มองไปทางหลี่เย่แล้วหัวเราะเบาๆ “ดูข้าสิ คิดอะไรจนใจลอย แม้แต่ท่านกลับมาถึงแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ท่านทานอาหารเย็นแล้วใช่หรือไม่? จะให้คนไปเตรียมอาหารอะไรสักหน่อยหรือไม่?”
หลี่เย่นั่งลงข้างๆ โต๊ะ “ให้คนเตรียมน้ำแกงบะหมี่มาสักชามก็พอ”
ถาวจวินหลันรีบออกไปสั่ง พอกลับมาข้างในแล้วถึงพูดว่า “ครั้งนี้เซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้เดินทางไปด้วย ท่านเองก็จับตาดูสถานการณ์เอาไว้ให้ดี หากเกิดกาฬโรคระบาดขึ้นจริงๆ จะได้รีบส่งพวกเขาออกไปจากเมืองหลวง”
หลี่เย่นิ่งเงียบไปสักพัก แล้วรับคำ สักพักถึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องใส่ใจเจียงซื่อ นางอยากก่อเรื่องวุ่นวายก็เรื่องของนาง เจ้าทำอย่างสุดความสามารถแล้ว” สำหรับเจียงซือ เขาเองก็หมดหนทางเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบเจียงซื่อ แต่ถึงอย่างไรเจียงอวี้เหลียนก็มีบุญคุณต่อเขา ทั้งยังเป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์
ตอนแรกที่เขามอบลูกคนนี้ให้เจียงอวี้เหลียน ก็คิดว่าเพื่อหาที่พึ่งและหลักประกันให้กับเจียงอวี้เหลียน แต่ตอนนี้พอคิดไปแล้วก็รู้สึกว่าทำผิด…พอมีเซิ่นเอ๋อร์ หน้าตาและฐานะของเจียงอวี้เหลียนก็ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย แต่จริงๆ นางกลับเปลี่ยนไป โดยเฉพาะความคิดที่ดูจะซับซ้อนมากขึ้น
เมื่อวานเขาก็กลับมาดึกมาก จึงไม่ได้ไปหาเจียงอวี้เหลียน แต่เรื่องนี้เขารู้ก่อนแล้ว และก็พอเดาความคิดของเจียงอวี้เหลียนได้
เขาสั่งคนไปบอกเจียงอวี้เหลียนว่าหากนางไม่เต็มใจไป ก็ให้ส่งเซิ่นเอ๋อร์ไปก่อน แต่เป็นตายอย่างไรเจียงอวี้เหลียนก็ไม่ยอม เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเองก็หมดความอดทนเช่นกัน
เขาได้แต่สายหัวกับท่าทีของเจียงอวี้เหลียน ที่ดูรักและภักดีต่อเขาจากใจจริงจนไม่ยอมห่างกัน
หรือว่าถาวจวินหลันจะไม่รักเขาด้วยความจริงใจ? แต่ถาวจวินหลันรู้ดีว่าลูกสำคัญที่สุด นี่เป็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่ เจียงอวี้เหลียนทำเช่นนั้น กลับเป็นการเอาเซิ่นเอ๋อร์มาเสี่ยง
ตอนแรกเขายังอยากตำหนิ แต่พอคิดอีกทีกลับคิดว่าช่างเถิด ถึงอย่างไรเซิ่นเอ๋อร์ก็อยู่ในท้องของเจียงอวี้เหลียนมานานกว่าสิบเดือน และยังเป็นหลักประกันในอนาคตของนาง นางกล้าเอามาเสี่ยง หากจะให้เขาพูดอะไรไปมากกว่านี้ ก็ออกจะไม่มีหัวใจมากเกินไปหน่อย
ถึงแม้ว่าเซิ่นเอ๋อร์ก็เป็นลูกของเขา แต่นั่นก็เป็นลูกชายของเจียงอวี้เหลียนเช่นกัน ในเมื่อเจียงอวี้เหลียนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม แต่เขายังจะทำเช่นนี้ ก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก แน่นอนว่า ที่เขายังยอมเช่นนี้ เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงที่ย่ำแย่ที่สุด
ให้ถาวจวินหลันออกไปนั้น ถึงจะเป็นสิ่งที่เขารู้สึกกังวลที่สุด จริงๆ แล้ว สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายเช่นนั้น
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่า ถึงแม้จะเกิดกาฬโรคระบาดขึ้น ขอเพียงแค่อยู่ในจวนอ๋อง อยู่ห่างและไม่เข้าใกล้คนที่ติดโรค แค่นี่ก็ปลอดภัยแล้ว ที่ทำเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการป้องกันอีกขั้นหนึ่งเท่านั้น
เขารู้สึกวางใจไม่ได้ ดังนั้นถึงได้พูดเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่า สุดท้ายแล้วก็มีแค่ถาวจวินหลันเท่านั้นที่คิดเหมือนกับเขา ส่วนเจียงอวี้เหลียนไม่ต้องพูดถึง
ตอนกำลังรับประทานอาหารอยู่ หลี่เย่ก็พูดขึ้นมาว่า “ความคิดที่จะเอาบ้านพักให้ราษฎรที่อพยพมาอยู่อาศัยเป็นความคิดที่ดีอย่างมาก เสด็จพ่อทรงทราบว่าเป็นความคิดของเจ้า ก็เอ่ยปากชม เดาว่าอีกสองสามวันคงมีของรางวัลประทานให้ บางทีอาจจะจัดเป็นงานใหญ่”
หลี่เย่พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจความคิดของฮ่องเต้ทันที เรื่องการชมเชยนางเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วก็คือต้องการให้คนอื่นเอาเป็นแบบอย่าง
“แม้แต่ข้า ครั้งนี้ก็พลอยได้รับความดีความชอบเพราะเจ้าไปด้วย ได้มีการชมเชยต่อหน้าขุนนางทุกคน ถือว่าได้รับเกียรติอย่างมาก” หลี่เย่ยิ้มแล้วพูดออกมา แล้วตั้งใจถามนางว่า “เจ้าว่า ข้าควรตอบแทนเจ้าอย่างไรดี?”