ตอนที่หลี่เย่พูดกับถาวจวินหลันนั้น น้ำเสียงกลับอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด
ถาวจวินหลันยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่พอมองท่าทีของหลี่เย่ และหงหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ว นางก็พูดขึ้นว่า “บ่าวสมควรได้รับโทษแล้วเพคะ ชายารองอย่าขอร้องแทนบ่าวเลยเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นบ่าวคงไม่มีหน้าไปพบใครได้อีก”
ดังนั้นเรื่องนี้จึงลงเอยเช่นนี้
หลี่เย่โบกๆ มือบอกให้ทุกคนออกไป เขาจะอยู่เป็นเพื่อนถาวจวินหลันเอง
เขาค่อยๆ กุมมือถาวจวินหลันเอาไว้ แล้วถอนใจ น้ำเสียงมีแววโกรธอยู่เล็กน้อย “ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงแล้ว ฮองเฮา…”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่าหลี่เย่เข้าใจผิด จึงอ้าปากอยากจะพูดอธิบาย แต่กลับถูกหลี่เย่ปิดปากเอาไว้ หลี่เย่ค่อยๆ เอามือแตะริมฝีปากนางอย่างทะนุถนอม แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าอยู่เฉยๆ เถิด ไม่ต้องพูดอะไรที่ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ ข้ารู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร”
ถาวจวินหลันจึงได้แต่กลืนคำพูดทุกอย่างลงไป
ครั้งนี้หลี่เย่กลับไม่ได้ขอโทษนางเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่กลับพูดว่า “ความเสียใจที่เจ้าได้รับในวันนี้ ต่อไปภายภาคหน้าข้าจะต้องชดใช้ให้เจ้า ดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของหลี่เย่อ่อนโยน นี่ยิ่งให้สมองที่วุ่นวายของถาวจวินหลันยิ่งงุนงงไปอีก จนนางไม่อยากเสียแรงคิดเรื่องอะไรอีกแล้ว หลี่เย่ถามนางว่าดีหรือไม่ นางก็ได้แต่พยักหน้า
หลี่เย่กลัวว่านางจะหลับไป จึงพูดอีกสักพัก เพื่อรั้งนางเอาไว้ไม่ให้นางหลับ
จริงๆ แล้วหลี่เย่พูดอะไร ถาวจวินหลันไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ได้เพียงกลิ่นบางๆ จากกายของเขา ชวนให้นางสงบใจเป็นที่สุด
ความใกล้ชิดเช่นนี้ ทำให้นางพึงพอใจ ถึงขั้นอาการปวดหัวอันแสนทรมานลดลงไปไม่น้อย
รอจนกระทั่งหงหลัวยกข้าวต้มมาแล้ว หลี่เย่ก็ป้อนถาวจวินหลันด้วยตัวเอง แต่ถาวจวินหลันไม่อยากอาหารนัก แม้จะมีอาหารเรียกน้ำย่อยที่กระตุ้นความอยากอาหารได้ดี แต่นางกินข้าวต้มเข้าไปได้แค่ครึ่งถ้วยเล็กๆ นางก็ไม่ไม่ยอมกินต่อแล้ว
หลี่เย่โน้มน้าวเท่าไรก็ได้ผลเพียงเล็กน้อย นางกินเข้าไปอีกสองสามคำเท่านั้น สุดท้ายพอเห็นท่าทีของถาวจวินหลันที่ป่วยและไม่สบาย เขาก็ทำใจโน้มน้าวนางต่อไปไม่ไหว จึงได้แต่วางถ้วยลงแล้วพูดว่า “หิวเมื่อไรก็ตื่นขึ้นมาสั่งให้ในครัวเอาไปอุ่นค่อยกินแล้วกัน”
ถาวจวินหลันโล่งใจ พยักหน้า นางไม่อยากกินอะไรจริงๆ …ถึงแม้นางจะรู้ว่าต้องกินเยอะๆ หน่อยถึงจะหายได้เร็ว แต่ข้าวต้มอยู่ในปากของนางโดยไร้รสชาติใดๆ นางกลืนไม่ลงเลยแม้แต่น้อย แล้วนางยังจะกินเข้าไปเยอะๆ ได้อย่างไร?
พอถาวจวินหลันดื่มยาเข้าไป นางก็ค่อยๆ สะลึมสะลือแล้วผล็อยหลับไป บนหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาเต็มไปหมด
หลี่เย่มองอยู่ข้างๆ ด้วยความเจ็บปวด แล้วช่วยเช็ดเหงื่อให้ถาวจวินหลัน เขาคิดแล้วก็สั่งว่า”ไปเรือนชิวอี๋ ช่วงนี้ให้ชายารองเจียงรับเรื่องจัดการจวนอ๋องไปก่อน”
หมอก็พูดแล้วว่า ทีเป็นเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ใช้ความคิดมากเกินไป อีกทั้งหลังคลอดก็ยังไม่ทันได้ฟื้นฟูร่างกาย หากไม่ได้เป็นเพราะยังสาว เกรงว่าตอนนี้อาการคงจะหนักกว่านี้แล้ว เพื่อฟื้นฟูร่างกายของนาง ทางที่ดีที่สุดก็คือจะต้องพักผ่อนสักระยะ ถึงอย่างไรหลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไป ร่างกายของถาวจวินหลันก็ต้องอ่อนแอลง หากไม่รีบหาโอกาสพักรักษาตัวให้ดี ต่อไปร่างกายก็จะฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิมได้ยากแล้ว
หลี่เย่คิดว่าจะมอบเรื่องจัดการจวนอ๋องทุกอย่างให้เจียงอวี้เหลียนรับไป จากนั้นจะให้ถาวจวินหลันได้พักผ่อนสักพัก ไม่ว่าอย่างไร สุขภาพก็ถือว่าสำคัญที่สุด
อีกทั้ง เขาคิดว่าเจียงอวี้เหลียนก็คงไม่กล้าก่อเรื่องอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางให้อภัยแน่นอน
เรื่องการป่วยของถาวจวินหลันแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นตอนเช้าองค์หญิงเก้าก็มาหา บอกว่าถาวจิ้งผิงเป็นห่วงมาก จึงให้นางมาเยี่ยม
องค์หญิงเก้าไม่ได้มาตัวเปล่า แต่ยังเอายาราคาแพงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องของสิ่งของหรือเรื่องของหน้าตาก็ถือว่ามีครบถ้วน
ถาวจวินหลันกวาดตามองถุงเล็กถุงใหญ่พวกนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าถาวจิ้งผิงใส่ใจอย่างมาก…นี่ถือเป็นการบอกกับคนอื่นว่า ถาวจวินหลันยังมีที่บ้านคอยหนุนหลังอยู่ หากคนอื่นคิดจะรังแกนาง ก็จะต้องคิดให้ดีเสียก่อน นี่ถือเป็นการแสดงอำนาจแทนนาง เกรงว่าเป็นเพราะนางป่วยในครั้งนี้อาจจะถูกรังแกให้เจ็บช้ำใจได้ ถึงอย่างไรตอนนี้อำนาจจัดการจวนอ๋องก็ไม่ได้อยู่ในมือของนางแล้ว ตอนนี้จะต้องมอบอำนาจนี้ให้คนอื่นไปชั่วคราว
แต่เห็นได้ชัดว่าถาวจิ้งผิงคิดมาก ตอนนี้ในจวนตวนชินอ๋องจะยังมีใครกล้าทำให้นางโกรธอีก? แม้แต่หลิวซื่อหากในวันนี้ได้รับอำนาจการจัดการจวนอ๋องกลับไป ก็ยังจะต้องคิดใคร่ครวญให้ดี ไม่ต้องพูดถึงเจียงอวี้เหลียนเลย
แม้เจียงอวี้เหลียนจะคิดเช่นนั้น ก็ทำได้เพียงเก็บเอาไว้ในใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครยอมปล่อยนางไว้แน่ ไม่เพียงแต่นางต้องเก็บซ่อนเอาไว้ นางยังต้องแกล้งแสดงท่าทีกระตือรือร้น พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้ถาวจวินหลันรักษาตัวจนหายดี นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นวิธีที่ฉลาด แล้วก็มีแค่เพียงทางนี้เท่านั้น ที่เจียงอวี้เหลียนจะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
องค์หญิงเก้านั่งลงบนเก้าอี้ที่หงหลัววางไว้ข้างๆ เตียง แล้วพูดคุยเป็นเพื่อนถาวจวินหลัน “กินยาแล้วรู้สึกดีขึ้นหรือไม่? ได้ยินว่าเมื่อวานนี้หลับไปทั้งบ่าย จิ้งผิงรู้เรื่องแล้วร้อนใจอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะข้าห้ามไว้ เกรงว่าคงจะมาตั้งแต่กลางดึกแล้ว”
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ “นิสัยของเขาก็เป็นอย่างนี้ ยังดีที่เจ้าห้ามเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นหากใครเห็นเข้าจะรู้สึกไม่เหมาะสมเท่าไรจริงหรือไม่? เขาดูแล้วหนักแน่น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย โดยปกติแล้วหากเจ้าเห็นว่าเรื่องไหนเขาทำไม่ถูก ก็ช่วยเตือนเขาบ้าง เป็นสามีภรรยากันย่อมพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง”
องค์หญิงเก้าพยักหน้า หยิบลูกท้อขึ้นมาใช้ผ้าเช็ดๆ แล้วค่อยๆ ปลอกเปลือกออก พลางพูดว่า “จริงๆ จิ้งผิงก็ถือว่าดีมากแล้ว หากเป็นคนอื่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ก็ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม้แต่เสด็จพ่อเองก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนใช้ได้ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันยังเอ่ยปากชมเขาอีกด้วย”
ถึงแม้จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการหนุนหลังคนใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อกดดันอำนาจของคนเก่า แต่พอได้ยินองค์หญิงเก้าพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ยังอดดีใจไม่ได้ แล้วแอบคิดในใจว่า ใช่แล้ว ผู้ชายของบ้านตระกูลถาว จะไม่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร?
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น องค์หญิงเก้าก็ปลอกลูกท้อเสร็จเรียบร้อยพอดี จึงใช้มีดเงินเล็กๆ หั่นลูกท้อออกแล้ววางลงในจาน ให้ถาวจวินหลันใช้ส้อมเงินตักกิน
ถาวจวินหลันมององค์หญิงเก้าทำด้วยท่าทางคล่องแคล่วก็รู้ว่านางทำเรื่องพวกนี้บ่อยๆ จึงพูดว่า “เวลาที่ต้องใช้มีด ก็เรียกให้สาวใช้ทำจะดีกว่า ระวังจะบาดมือของเจ้าได้”
องค์หญิงเก้ายิ้ม “ข้าชอบทำด้วยตัวเองมากกว่า อีกทั้งตอนที่อยู่ในวังหลวงข้าก็ถวายการดูแลไทเฮากับฮองเฮาจนเคยชิน เรื่องพวกนี้ข้าถนัดเป็นที่สุด ไม่มีทางบาดมือได้แน่นอน” บางครั้งเวลาจิ้งผิงนั่งอ่านหนังสือ นางก็จะคอยนั่งอยู่ข้างๆ ช่วยปลอกผลไม้ให้เขา โดยไม่ต้องให้สาวใช้ถวายการดูแลอยู่ข้างๆ นี่ทำให้นางรู้สึกถึงความใกล้ชิดมากขึ้น
ถาวจวินหลันมองเห็นท่าทีขององค์หญิงเก้าแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
องค์หญิงเก้ากลับลองถามหยั่งเชิงว่า “เมื่อวานพี่หญิงไม่ได้เข้าวังไปขอบพระทัยเรื่องรางวัลรึ? ทำไมพอกลับมาถึงป่วยได้? เป็นเพราะตอนเข้าวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”
องค์หญิงเก้าถามอย่างระมัดระวัง ถาวจวินหลันเห็นแล้วก็หลุบตาลงหัวเราะ “จริงๆ ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก ก็แค่ไม่ทันระวังตากแดดอยู่สักพัก ใครจะรู้ว่าเพียงเท่านั้นก็จะทำให้ป่วยได้”
องค์หญิงเก้าพยักหน้าด้วยท่าทีครุ่นคิด จากนั้นก็พูดเรื่องอื่น
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก
เป็นเพราะนางป่วย ดังนั้นตอนกลางวันองค์หญิงเก้าจึงไม่ได้อยู่ร่วมทานอาหารกลางวันด้วย เพียงแค่บอกว่าอีกสองวันจะมาเยี่ยมนางใหม่ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รั้งตัวนางไว้…ตอนนี้นางไม่มีแรงจะกินข้าวหรือพูดคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงเก้าจริงๆ สู้ให้องค์หญิงเก้ารีบกลับไปเสียจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องติดไข้ไปด้วย
แต่ว่าตอนกลางวันหลังจากหลับไปได้สักพัก ก็ถูกปลุกขึ้นมาเพราะถึงเวลาต้องกินยา พอลืมตามา กลับมองเห็นถาวซินหลันที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร ในมือถือถ้วยยาแล้วก้าวเข้ามา ยิ้มพูดว่า “เย็นกำลังได้ที่พอดี รีบดื่มเถิดเจ้าค่ะ น้ำบ๊วยก็เตรียมเอาไว้แล้ว”
ถาวจวินหลันแกล้งตำหนิไปว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมมาถึงแล้วไม่เรียกข้า?”
“ท่านพี่นอนอยู่ ข้าจะเรียกท่านทำไม?” ถาวซินหลันหัวเราะคิกคักแล้วพูดออกมา จากนั้นก็ยกถ้วยยามาให้ “รีบดื่มเข้าไปเถิด หรือว่าท่านพี่ก็กลัวยาขมหรือเจ้าคะ?”
ถึงแม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่ชอบรสชาติของยา แต่พอถูกนางพูดเช่นนี้แล้วก็ได้แต่รับถ้วยยามาฝืนดื่มเข้าไป
พอนางดื่มยาอึกสุดท้ายลงไปกำลังยกถ้วยยาออก ถาวซินหลันก็ยกถ้วยน้ำบ๊วยมาป้อนที่ปากนางอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวรสชาติเปรี้ยวหวานก็กลบความขมในปากนางไป
นางอมอยู่สักพักจนรู้สึกว่ารสชาติยาหายไปแล้ว นางถึงได้บ้วนบ๊วยออกมา อีกทั้งยังใช้น้ำเปล่าบ้วนปากอีกที แล้วนางถึงได้มีเวลาถามไถ่ถาวซินหลัน “เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ข้ามาเยี่ยมท่าน” ถาวซินหลันยิ้ม “แม้แต่แม่สามีของข้าก็กังวล จึงสั่งให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่าน ตอนนี้ซวนเอ๋อร์หมิงจูไม่อยู่ พี่เขยก็ยังยุ่งมาก ท่านอยู่คนเดียวก็กลัวจะเหงา พอดีข้าจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนท่านสักสองสามวัน”
ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว “พูดจาไร้สาระ จะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนข้าที่ไหนกัน? เจ้ากลับไปคอยดูแลแม่สามีเจ้าดีกว่า ยังมีฝูชิงอีก เจ้าควรจะใส่ใจให้มากหน่อย อย่าได้เอาแต่เที่ยวเล่น ถือว่าแม่สามีของเจ้าเอ็นดูเจ้าจึงได้ทำเรื่องที่ไม่ควร”
ถาวซินหลันเบะปาก “ถึงอย่างไรก็ให้ข้าอยู่ว่างๆ สักสองสามวันเถิด ตอนแรกพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ชอบข้าอยู่แล้ว ตอนนี้เป็นเพราะท่านพี่ได้รับคำชมจากฮ่องเต้ นางก็ยิ่งทำอะไรแปลกๆ ไปใหญ่ ทุกวันได้แต่พูดเหน็บแนมให้คนอื่นไม่สบายใจ เรื่องนี้แม่สามีของข้าก็รู้”
ถาวจวินหลันเคยได้ยินเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่ของถาวซินหลัน จึงได้แต่หัวเราะ แล้วปลอบใจนางว่า “นางก็นิสัยเป็นเช่นนี้ อีกทั้งนางยังเกิดในตระกูลสูงส่ง นางย่อมรู้สึกสูงส่งกว่าพวกเจ้า ส่วนพี่สะใภ้รองของพวกเจ้าก็เป็นคนอ่อนโยน ตอนนี้เจ้าไม่ได้มีฐานะสูงส่ง แต่กลับได้รับความโปรดปราน นางเห็นแล้วจะต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าไปใส่ใจมากนัก ตอนนี้พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อยู่ ต้องยอมให้อภัยนางถึงจะถูก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่สักสองสามวัน”
ถาวซินหลันแลบลิ้น ถึงแม้จะแต่งงานออกเรือนไปแล้ว แต่กลับไม่มีท่าทีสำรวมของหญิงที่แต่งงานไปแล้วเลย ยังคงเหมือนกับเด็กสาวแรกรุ่น ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเอ็นดูจนไม่รู้จะพูดอย่างไร
ถาวซินหลันแกล้งบ่นออกมาว่า “พวกท่านทุกคนต่างก็พูดกับข้าเช่นนี้ ทำราวกับข้าเป็นเด็กที่ไม่รู้ความเช่นนั้น พวกท่านไม่รู้หรอกว่า ฝูชิงกลัวข้าต้องเสียใจ ช่วงไม่กี่วันมานี้เวลาเขากลับบ้านมาก็จะเอาของเล็กๆ น้อยๆ มาปลอบใจข้า” เมื่อวานยิ่งน่าขัน เขาเอาผลไม้เคลือบน้ำตาลกลับมา ทำราวกับนางเป็นเด็กๆ อย่างนั้น แต่ว่า สุดท้ายแล้วนางก็แอบกินจนหมด เพียงแต่นางไม่กล้าให้คนอื่นเห็น
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันกลับอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แสดงว่าเขารักเจ้าจริง เจ้าก็รู้จักพอเสียบ้าง คนที่ผู้อื่นทำดีด้วยแต่ยังไม่รู้จักขอบคุณ ก็คือคนเช่นเจ้านี่แหละ”
หลังจากพูดคุยแกล้งหยอกกันไปสักพัก ท่าทีของถาวซินหลันพลันก็เคร่งขรึมขึ้นมา “ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาเถิด เมื่อวานนี้ฮองเฮาทำอะไรให้ท่านพี่ต้องเสียใจรึ?”