วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกว่าราชการแล้ว หลี่เย่สังเกตเห็นว่าองค์รัชทายาทเปลี่ยนเสื้อผ้าดูมีท่าทีเหมือนจะออกจากวังหลวง จึงยิ้มและก้าวขึ้นไปถาม
องค์รัชทายาทก็ยิ้มสนิทสนมเป็นพิเศษ “เตรียมจะออกไปนอกวังสักครั้ง ประชาชนนอกเมืองพลัดที่นาคาที่อยู่ ข้าในเมื่อเป็นองค์รัชทายาทก็คงจะไม่เข้าใจอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจึงคิดจะออกไปดูด้วยตาตนเองสักหน่อย”
หลี่เย่ยิ้ม พูดว่า “ถ้าเข่นนั้นข้าไปพร้อมพี่ใหญ่ก็แล้วกัน”
จวงอ๋องก็พาอู่อ๋องเข้ามาร่วมวงถามด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากที่รู้แล้วนั้น จวงอ๋องก็บอกว่าต้องการไปด้วย มีเพียงอู่อ๋องที่หลุดหัวเราะออกมา “นอกเมืองตอนนี้กำลังวุ่นวาย ทั้งสกปรกทั้งเหม็นเน่า พวกเรามีฐานะอะไร? ไปที่เช่นนั้นมีแต่จะลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง มีเวลาว่างเช่นนั้นก็ไม่สู้เอาไปทำเรื่องอื่นดีกว่า”
หยุดไปครู่หนึ่ง อู่อ๋องก็หัวเราะอย่างแฝงนัย “ได้ยินมาว่าทางด้านซูหางมีนางดอกไม้ราตรีเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ได้ยินว่าเต้นรำได้งดงาม ไม่สู้พวกเราไปดูเสียหน่อยดีหรือไม่เล่า?”
องค์รัชทายาทเหลือบมองอู่อ๋อง ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าไปเองเถิด แค่เรื่องเช่นนี้อย่าให้เสด็จพ่อรู้เป็นเด็ดขาด ตอนนี้สภาพแวดล้อมไม่ค่อยดีนัก หากเสด็จพ่อรู้ว่าเจ้าไปที่เช่นนั้นคงจะไม่พอใจเป็นแน่”
ท่าทีเช่นนั้นช่างเหมือนกับพี่ใหญ่ที่แสนดี
หลี่เย่อมยิ้มยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร
จวงอ๋องถลึงตามองอู่อ๋องทีหนึ่ง แล้วตำหนิว่า “ทุกวันนี้คิดอะไรอยู่กันแน่? ไม่รู้ถึงความลำบากของประชาชนเลยแม้แต่น้อย! ข้าไม่อนุญาตให้ไป ออกนอกเมืองไปกับพวกข้าเสีย” จะพลาดโอกาสสั่งสมชื่อเสียงให้เสด็จพ่อมีความสุขไปได้อย่างไร?
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาก็นั่งรถพร้อมเดินทาง รอจนออกมาจากประตูเมืองแล้ว ก็ต้องไปอีกสองลี้ก็จะเห็นโรงนอนที่ราชสำนักสร้างขึ้นมาเพื่อรับรองผู้ลี้ภัย บริเวณที่ใกล้เคียงกับปากประตูเมืองก็จะเป็นโรงทานอาหารมากมาย นอกจากของราชสำนักแล้วโรงทานอันอื่นก็เลือกม่านของใครของมัน อย่างแรกเพื่อแบ่งเขต อย่างที่สองก็เพื่อให้คนรู้ว่าเป็นตระกูลไหนที่ทำทานบ้าง
อย่างไรเมื่อพูดตามความจริงแล้ว ทำเรื่องเช่นนี้มีใครไม่หวังชื่อเสียงบ้าง?
ด้วยใกล้ถึงเวลากลางวัน ดังนั้นต่อให้แสงอาทิตย์จะแรงกล้า แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยมาต่อแถวตรงโรงทานเพื่อรับข้าวต้ม
แต่โรงทานของจวนตวนชินอ๋องไม่มีคนแม้แต่คนเดียว กลับมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยุ่งอยู่แทน ตอนนี้ถังไม้ใหญ่ขนาดความสูงเท่าคนเต็มไปด้วยหมั่นโถวแป้งข้าวโพดแล้วถังหนึ่ง ทางด้านนั้นก็ยังทำไม่หยุด ทำเสร็จแล้วก็เอาไปนึ่ง ยุ่งวุ่นวายมาก
ในเมื่อมาสำรวจสถานการณ์ประชาชน ดังนั้นถึงขาดไม่ได้ที่จะไปดูทุกโรงทานโดยมีองค์รัชทายาทเป็นคนนำ หนึ่งในนั้นคนที่โรงทานของราชสำนักน้อยที่สุด เพราะข้าวต้มของราชสำนักน้อยและน้ำเยอะ ดังนั้นตอนนี้ที่มีคนต่อแถวมากที่สุดก็จะต้องเป็นข้าวต้มที่ข้นมากที่สุด และโรงทานที่ใช้วัตถุดิบมากขึ้น
หนึ่งในนั้นก็มีโรงทานของจวนเหิงกั๋วกงเป็นผู้นำ
ขบวนคนเคลื่อนกันไปดู องค์รัชทายาทเอ่ยชื่นชม “จวนเหิงกั๋วกงมีเมตตาจริงๆ ทำได้ไม่เลวเลย”
หลี่เย่เองก็ยิ้ม พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เรื่องการบริจาคข้าวต้มนี้แต่เดิมก็ไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน เวลาผ่านไปนานๆ เงินก็ไหลออกข้างนอกเหมือนสายน้ำไหล ถ้าไม่ใช่ตระกูลที่เมตตาจริงคงทำถึงขั้นนี้ไม่ได้”
องค์รัชทายาทเห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ ก็คิดว่าเขายอม จึงยิ้มกว้างมากขึ้น “จวนเหิงกั๋วกงเป็นตระกูลเก่าแก่ และทำความดีมาโดยตลอด ย่อมต้องไม่เห็นเงินสำคัญ พร้อมทำเพื่อคนลำบาก”
จวงอ๋องก็หัวเราะด้วย มองไปทางหลี่เย่ “เป็นเช่นนั้นจริง ตระกูลใหญ่ใหม่ๆ ทั้งหลายยังสู้จวนเหิงกั๋วกงที่ประสบพบพานเรื่องมามากไม่ได้ แค่พื้นฐานก็ไม่พอแล้ว”
ถ้าหากว่าคิดให้ลึกไปอีกก็จะมีความหมายว่าจวนเหิงกั๋วกงมีทรัพย์สินมากเกินไปหน่อย แต่เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่หัวเราะอย่างสนิมสนมมีเมตตา สุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทก็พูดถึงโรงทานของจวนตวนชินอ๋อง ยิ้มพลางพูดว่า “แต่ของตวนชินอ๋องก็ไม่เลวเช่นเดียวกัน หมั่นโถวแป้งข้าวโพดนี้พอมาเทียบกับโจ๊กแล้วก็สามารถบรรเทาความหิวไปได้เยอะ”
หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ข้าวนั้นแพงกว่าแป้งเนื้อหยาบ เหล่านี้มากนักขอรับ วัตถุดิบเหล่านั้นของข้าส่วนใหญ่แล้วมาจากสวนของตัวเอง ไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมายนัก อย่างไรก็คงสู้กับจวนเหิงกั๋วกงไม่ได้ขอรับ”
ที่จริงแล้วถ้าหากว่าพวกขององค์รัชทายาทพอรู้สถานการณ์ความเป็นไปของโลกภายนอก ก็จะต้องรู้ว่าตอนนี้ราคาข้าวแม้ว่าจะแพง แต่แป้งเนื้อหยาบก็ไม่ได้ถูกไปกว่ากันนัก อีกทั้งข้าวเอามาต้มข้าวต้มถ้วยหนึ่งก็ราคาไม่ถึงหนึ่งสลึง แต่หมั่นโถวแป้งข้าวโพดกลับจับต้องได้จริง ไม่สามารถละลายน้ำได้ คิดแล้วก็ถือว่าค่อนข้างมีมูลค่าอยู่
อีกอย่างจวนตวนชินอ๋องเองก็ยังมีโรงยา
แต่เพราะว่าโรงยาอยู่เกือบริมสุด ดังนั้นองค์รัชทายาทถึงเพิ่งสังเกตเห็น มองดูยาสีดำสนิทสองสามถังที่อยู่ภายในโรงยา องค์รัชทายาทก็หันมายิ้มให้หลี่เย่พลางพูดว่า “บริจาคยา? มีคนมาดื่มหรือ? ภายในนั้นมีของอะไรบ้าง?”
“ล้วนเป็นของจำพวกชาสมุนไพร เอาไว้ช่วยดับร้อนพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ไม่ได้อธิบายละเอียด เพียงแค่ตอบผ่านๆ ไป “นี่ก็เป็นเพราะว่าอากาศร้อน ผู้ลี้ภัยพวกนี้เดินเท้ากันมา เจ็บป่วยก็ไม่น้อย เปิดโรงยาก็ได้ประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทมองหลี่เย่อยู่นาน พลางถามว่า “ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเสนอความคิดนี้อย่างนั้นหรือ?”
คนที่มีตานั้นก็มองดูว่าองค์รัชทายาในตอนนี้แม้ว่าจะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ยิ้มแย้มเบิกบานเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เหมือนว่าจะแฝงความเยือกเย็นอยู่เล็กน้อย
หลี่เย่ยิ้มบางๆ ท่าทีกลับดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “เป็นความคิดของถาวซื่อพ่ะย่ะค่ะ เรื่องทั้งหลายภายในจวนนั้นข้าไม่ได้เป็นคนจัดการ อย่างไรแล้ววันๆ ข้าก็อยู่แต่ที่ศาลาว่าการ ไฉนเลยจะมีเวลาเช่นนั้น? ยังดีที่มีนาง ข้าเองก็ถือว่าปล่อยมือให้คนอื่นจัดการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภายในจวนหรือว่าเรื่องอื่นนางเองก็จัดการได้อย่างเหมาะสม แม้แต่บ้านพักก็ดีกว่าปีที่ผ่านๆ มาเยอะพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่ชื่นชมถาวจวินหลันอย่างสุดกำลังเช่นนี้ ฉับพลันก็ให้คนอื่นรู้สึกเปรี้ยวเข็ดฟัน จวงอ๋องและอู่อ๋องล้วนมองหลี่เย่ด้วยสายตาตกตะลึง ปกติแล้วพี่รองที่เป็นดั่งเซียนไร้ความรู้สึก ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
มีเพียงแค่องค์รัชทายาทที่รู้สึกไม่พอใจ เขารู้สึกว่าหลี่เย่กำลังโอ้อวดอยู่ อีกอย่างโดยปกติแล้วเขาก็คิดว่าพระชายารัชทายาทมีความสามารถ ในตอนนี้เมื่อเอามาเทียบกับถาวซื่อ กลับไม่สามารถเทียบได้
ในใจขององค์รัชทายาทแฝงความเคืองโกรธอยู่เล็กน้อย ทำไมถาวซื่อถึงคิดได้ แล้วพระชายารัชทายาทถึงคิดไม่ได้?
เมื่อคิดถึงความวุ่นวายที่พระชายารัชทายาทหามาให้เขาแล้ว และเรื่องที่ทำอยู่ทุกวันในเรือนใน ในใจก็ยิ่งรู้สึกพะอืดพะอมและเบื่อหน่าย
พูดไปแล้ว ถาวซื่อยังเป็นคนที่ฮองเฮาประทานให้หลี่เย่ องค์รัชทายาทก็อดคิดอย่างอิจฉาไม่ได้ ถ้าหากว่าตอนนั้นมอบถาวซื่อให้ตนเองจะกลายเป็นเช่นไร? ถ้าเช่นนั้นวันนี้ที่ได้รับคำชมก็จะต้องเป็นเขาแล้ว คนที่สั่งสมชื่อเสียงดีงามก็ต้องเป็นเขาแล้ว หรือเขาเองอาจจะมีลูกชายไปนานแล้ว
องค์รัชทายาทกลับไม่เคยคิดว่าต่อให้ถาวจวินหลันมาอยู่กับเขา ก็คงไม่มีโอกาสทำเรื่องเช่นนี้ ชายารองข้างกายเขาล้วนทำหน้าที่ชายารองอย่างเชื่อฟังคำสั่งสอน ทุกวันล้วนใช้เวลาไปกับการดูแลต้นไม้ ฝึกพู่กัน พระชายารัชทายาทจะปล่อยให้ชายารองคนหนึ่งโดดเด่นกว่าได้อย่างไร?
การสำรวจสถานการณ์ประชาชนครั้งนี้ องค์รัชทายาทกลับมีความไม่พอใจอยู่เต็มท้อง หลังจากที่กลับวังหลวงมาแล้ว ตอนที่เจอพระชายารัชทายาท องค์รัชทายาทก็ควบคุมความรู้สึกภายในใจไม่ไหวอีกต่อไป ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาเสียงดังทีหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินตรงไปยังห้องหนังสือ
พระชายารัชทายาทยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มที่สง่างามเหมาะสมนั้นก็ค่อยๆ แข็งค้างอยู่บนใบหน้า สุดท้ายก็กลายเป็นความเข้มงวดที่เย็นชาจนไม่มีใครกล้ามอง
“ไปถามจางวางที่ติดตามองค์รัชทายาทออกไปวันนี้ที องค์รัชทายาทไปที่ไหนและทำอะไร? มารายงานข้าอย่างละเอียด ห้ามตกหล่น” พระชายารัชทายาทหันไปสั่งนางกำนัลของตนเอง
นางกำนัลได้รับคำสั่งก็ออกไป ผ่านไปไม่นานก็กลับมาพร้อมเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังทั้งหมด
พระชายารัชทายาทนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะเสียเย็นออกมา “ไปโมโหมาจากข้างนอก แต่กลับรู้จักแต่ต้องมาระบายในบ้าน” ไร้ประโยชน์เสียจริง
แต่ก็ไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา มิเช่นนั้นถ้าหากว่าคนได้ยินเข้า เกรงว่าคงจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นไม่น้อยเป็นแน่ ก่อนอื่นเลยทางด้านฮองเฮาก็คงไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง พระชายารัชทายาทก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก “ไปหาเสด็จแม่สักครั้งเถิด” เรื่องนี้ต้องพูดกับฮองเฮาเสียหน่อย
พระชายารัชทายาทพูดเรื่องนี้ให้ฮองเฮาฟังโดยไม่ได้แสดงท่าทีน้อยใจอะไร กลับเป็นฮองเฮาที่ตบหลังมือของนางเบาๆ “ไม่ยุติธรรมกับเจ้าเสียแล้ว เขาไม่พอใจ อยู่ด้านนอกแสดงออกมาไม่ได้ อยู่ในบ้านจึงต้องระบายออกมาบ้าง เจ้าเองก็ใจกว้างเสียหน่อย”
พระชายาองค์รัชทายาทยิ้มบางๆ “เสด็จแม่วางใจ หม่อมฉันเข้าใจเพคะ แต่ตอนนี้พอดูแล้วนั้นถาวซื่อนั่นก็ช่างวุ่นวาย”
พูดถึงถาวจวินหลัน ใบหน้าของฮองเฮาก็เย็นเยียบในทันใด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนใจ “เป็นข้าที่ประเมินนางต่ำเกินไป แต่เดิมคิดว่าเป็นคนที่ใช้หน้าตาทำงาน และเรียกร้องความโปรดปรานได้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถเช่นนี้”
“ถือว่ามีความสามารถจริงเพคะ ตวนชินอ๋องไม่เพียงแค่โปรดปรานนางเท่านั้น แล้วยังวางใจนางอีกด้วย ดูเหมือนชายาเอกมากกว่าหลิวซื่อคนนั้นเสียอีก” พระชายารัชทายาทขมวดคิ้วพูดออกมา น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง “ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะต้องกลายเป็นชายาเอกตวนชินอ๋องสักวันแน่นอนเพคะ”
ฮองเฮาหลุบตาลง ยิ้มเย็นออกมา “ไฉนเลยจะปล่อยให้นางไปถึงขั้นนั้นได้”
พระชายารัชทายาทได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจความหมายของฮองเฮาทันที หลังจากเลิกคิ้วน้อยๆ แล้ว ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย ขอเพียงแค่ฮองเฮาคิดเช่นนี้ การข่มขู่นี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่อีกต่อไป
“ตวนชินอ๋องเอ็นดูรักใคร่ถาวซื่อเสียขนาดนั้น ถ้าหากถาวซื่อเป็นอะไรไป ก็ไม่รู้ว่าตวนชินอ๋องจะเป็นเช่นไรนะเพคะ” พระชายารัชทายาทยิ้มบางๆ พลางพูดว่า “ต่อให้ทางด้านจวนเพ่ยหยางโหว ถ้าไม่ได้ติดต่อกันแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรเช่นกันเพคะ”
หากพระชายารัชทายาทไม่พูดถึงจวนเพ่ยหยางโหวก็ยังดี เมื่อพูดถึงจวนเพ่ยหยางโหวขึ้นมาก็ทำให้ฮองเฮาโมโหมากขึ้น สุดท้ายแล้วฮองเฮาก็นิ่งอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ แล้วเงยหน้ามองพระชายารัชทายาทนิ่ง “เจ้ามีวิธีที่เหมาะสมอะไรบ้าง? แบบเงียบๆ ไม่มีผู้ใดมาสังเกตเห็นได้”
ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่าตนเองทำให้ฮองเฮาและพระชายารัชทายาทไม่ชอบใจถึงเพียงนี้ ยามนี้นางไข้ลดลงและลงจากเตียงได้แล้ว ตอนนี้หลี่เย่เองก็เพิ่งกลับมาไม่นาน กำลังพูดคุยกับนางเรื่องสภาพแวดล้อมด้านนอกเมืองที่วันนี้ไปเห็นมา
“เจ้าไม่เห็นบรรดาผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไม่มีใครไม่ซาบซึ้งบุญคุณ คราวนี้แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียงที่ดีหรือว่าได้รับคำชม แต่ก็คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง” หลี่เย่เล่าสิ่งที่วันนี้ตนเองได้พบเห็นวันนี้อย่างอ่อนโยน สุดท้ายแล้วก็ยิ้มและพูดว่า “เกรงว่าองค์รัชทายาทจะอิจฉาที่ข้ามีตัวช่วยเช่นนี้เสียแล้ว”