หลังจากถาวจวินหลันสั่งสิ่งที่ตนเองคิดได้ทั้งหมดไปแล้ว นางถึงพูดอีกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ภายในจวนก็จะต้องระมัดระวังให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสัมผัสเนื้อต้องตัวกับคนนอก ทุกที่จะต้องใช้โกฐจุฬาลัมพารมควันเอาไว้หน้าห้อง หลังห้องก็จะต้องใช้ปูนขาวสาดเอาไว้ ส่วนบนร่างกายก็ติดถุงหอมหลบพิษ”
ถุงหอมหลบพิษแม้จะบอกว่ามีผลแค่การกำจัดกลิ่นเหม็นเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
หยุดไปครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจและพูดอีกว่า “หากมีวัตถุดิบเหลือก็ให้เอามาทำถุงหอมหลบพิษ แล้วแจกให้กับเด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าสิบปีบริเวณนอกเมืองเหล่านั้น ผู้ใหญ่ไม่ต้องสนใจ”
แม้ว่าจะเป็นจวนตวนชินอ๋อง แต่ความสามารถก็ยังมีขีดจำกัด อีกอย่างตอนนี้ต่อให้มีความสามารถจริง นางเองก็คงไม่พุ่งออกไปเอาหน้า องค์รัชทายาทยังไม่ได้ทำอะไร ก็เพราะว่าอำนาจฝั่งจวนเหิงกั๋วกงถูกสงสัยเช่นนั้น หากหลี่เย่แสดงออกมาเกินไปแล้วจะเป็นเช่นไร?
อย่างไรนางก็ไม่กล้าไปเสี่ยงอันตราย อีกอย่างตอนนี้แม้ว่าจะมีเงิน ของก็ไม่ได้หาซื้อง่ายถึงเพียงนั้น ดังนั้นไม่สู้ทำสิ่งที่ตนเองทำได้ดีกว่า ทำไมจะต้องไขว่คว้าสิ่งที่เกินตัว?
หลังจากกำชับเหล่านี้หมดแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าตนเองทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงหลับตาคิดจะพักผ่อนรวบรวมสมาธิ แต่กลับไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไร พอตื่นขึ้นมาท้องฟ้าด้านนอกก็มืดหมดแล้ว
“ชั่วยามใดแล้ว” เมื่อเอ่ยปากพูด ถาวจวินหลันถึงรู้สึกว่าตัวเองคอแห้งผากมาก เสียงก็แหบแห้งเช่นเดียวกัน
บ่าววรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกชื่อเป่าอวิ๋น เมื่อได้ยินก็รีบขึ้นไปรินน้ำให้ถาวจวินหลัน ปรนนิบัติส่งจอกน้ำให้ถาวจวินหลันดื่มให้ชุ่มคอก่อน นางถึงได้ตอบว่า “ตอนนี้ยามซวีสามเค่อแล้วเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันได้ยินก็ขมวดคิ้วทันที “ดึกขนาดนี้แล้วหรือ?”
“ชายารองหิวแล้วหรือยังเจ้าคะ? ห้องครัวยังมีข้าวต้มและอาหารอุ่นอยู่ บ่าวไปยกมาให้ชายารองดีหรือไม่เจ้าคะ?” เป่าอวิ๋นเป็นคนคล่องแคล่วรู้งาน ล้วนถามแต่เรื่องสำคัญ มาถึงตอนนี้ถาวจวินหลันก็เริ่มหิวบ้างแล้ว จึงพยักหน้าพูดว่า “เอาโต๊ะตัวเล็กตั้งไว้บนเตียงเถิด”
เป่าอวิ๋นรีบไปจัดการทันที
ถาวจวินหลันลุกขึ้นมานั่งด้วยตนเอง ก่อนค่อยๆ สวมเสื้อคลุม ในใจคิดว่า “ชั่วยามนี้หลี่เย่ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ และยิ่งไม่รู้ว่าวันนี้จะกลับมาอีกหรือไม่”
ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นหงหลัวก็เข้ามา เห็นว่าถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ก็ยิ้มและพูดทำลายความเงียบในห้อง “ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องกลับมาแล้วรอบหนึ่งเจ้าค่ะ เห็นว่าชายารองหลับอยู่จึงไม่ให้พวกเรามากวน บอกว่าวันพรุ่งนี้จะกลับมาอีกรอบเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า นางแอบไม่พอใจเล็กน้อย “ไม่เห็นจะเรียกข้า?”
หงหลัวแอบหัวเราะ “ท่านอ๋องไม่อนุญาตเจ้าค่ะ ข้าจะกล้าเรียกได้อย่างไรเจ้าคะ? อีกอย่าง เห็นว่าท่านเหนื่อยแล้ว ท่านอ๋องก็ให้คนไปเชิญหมอหลวงมา ถ้าบ่าวไม่ได้บอกว่าแค่เหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าจะต้องวุ่นวายมากเพียงใดนะเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหัว “ตอนนี้เกรงว่าหมอหลวงคงยุ่งมากแล้ว เรื่องเพียงแค่นี้ไม่ควรเรียกหมอหลวงมา คนอื่นอาจคิดได้ว่าพวกเราไร้เหตุผล”
เพียงไม่นาน เป่าอวิ๋นก็ยกอาหารออกมา ข้าวต้มนั้นเป็นข้าวต้มเนื้อที่ถูกเคี่ยวจนนุ่มและส่งกลิ่นหอม กับข้าวเป็นกับแกล้ม ส่วนใหญ่แล้วเป็นอาหารอ่อน มีอาหารจำพวกเนื้อเพียงอย่างเดียว เป็นเนื้อกระต่ายผัด ไม่เลี่ยนและกลิ่นหอมมาก
ตอนนี้เพราะว่าภัยพิบัติทำให้ผลผลิตทางเกษตรกรรมไม่ค่อยดี ถาวจวินหลันเองจึงสั่งให้แม่ครัวในเรือนเฉินเซียงทำอาหารเรียบง่ายเท่านั้น อาหารทุกมื้อมีเพียงอาหารสามอย่างและน้ำแกงหนึ่งอย่างเท่านั้น กับข้าวเองก็ไม่ต้องทำของหายาก ให้ทำเพียงอาหารตามฤดูกาลเท่านั้นพอ
ด้วยนางเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเรือนอื่นๆ ก็ต้องประหยัดตาม ถือว่าเป็นการเอาใจหลี่เย่ แต่ก็มีที่แอบไปด่าว่านางแสร้งขี้งกทำท่าทีเท่านั้น แต่ถาวจวินหลันก็ไม่ได้สนใจ
ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อคิดถึงผู้ลี้ภัยที่พลัดที่นาคาที่อยู่หลบหนีมาพึ่งพาคนอื่นนอกเมืองเพื่อให้รอดไปแต่ละวัน แล้วนางยังกินอาหารที่วิจิตรงดงามได้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีมากเพียงใดแล้ว อีกทั้งมากเกินไปก็กินไม่หมด โดยเฉพาะตอนที่หลี่เย่ไม่อยู่ อาหารสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างก็ยังเหลือกว่าครึ่ง แล้วเหตุใดยังจะต้องฟุ่มเฟือยขนาดนั้นด้วย?
ประหยัดเสียหน่อยก็ถือว่าสั่งสมความสุขให้กับตนเอง
เมื่อได้ทานอาหารแล้ว ถาวจวินหลันก็ถามหงหลัวเรื่องที่นางสั่งให้ไปแจ้งคนอื่น และถามว่าหลี่เย่กลับมาได้พูดอะไรบ้างหรือไม่
หงหลัวยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อท่านสั่งไว้แล้ว ถ้าพวกเขาทำไม่ดี ก็ไร้ประโยชน์แล้วเจ้าค่ะ ส่วนท่านอ๋องก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ให้บ่าวพูดกับท่านว่าอย่าให้ท่านเหนื่อยนักเลย ท่านยังมีเขาอยู่”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอบอุ่นใจ และหัวเราะพลางส่ายหัว หลี่เย่มักจะพูดเช่นนี้เสนอ นี่ไม่ใช่เพราะนางไม่เชื่อความสามารถของเขา แต่เป็นเพราะว่าเขาจะมีความสามารถเพียงใดก็ยังตัวคนเดียวอยู่ดี ขนาดนางทำคนเดียวเพียงเล็กน้อย ร่างกายก็ยังรับไม่ไหว แล้วหลี่เย่เล่า? เมื่อเทียบกับนางแล้ว สิ่งเหล่านั้นที่หลี่เย่ทำจะนับว่าลงกำลังเพียงเล็กน้อยได้อย่างไรกัน?
เขาเป็นห่วงนางถึงเพียงนี้ หรือว่านางไม่ควรเป็นห่วงเขาบ้าง? อีกทั้งสิ่งที่นางทำแทนเขาได้ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
ถาวจวินหลันเลิกคิดเรื่องหลี่เย่ แล้วนึกถึงสถานการณ์ของเรือนชิวอี๋ “ทางด้านนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่? ได้วางแผนอะไรเอาหรือไม่?”
หงหลัวส่ายหน้า ยกถ้วยชาส่งให้ถาวจวินหลันพลางตอบว่า “ดูแล้วไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเจ้าค่ะ ตอนนั้นหลังจากท่านอ๋องกลับมาและจากไป ชายารองเจียงก็มาอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังจากที่รู้ว่าท่านอ๋องกลับไปแล้วก็ไม่ได้อยู่นานและไม่ได้พูดอะไรด้วยเจ้าค่ะ บ่าวดูจากท่าทีเช่นนั้นคิดว่าคงตั้งใจมาถามท่านอ๋องเป็นแน่”
ถาวจวินหลันพยักหน้า นางรู้ดีว่าเจียงอวี้เหลียนตื่นตระหนก นางจึงอดแย้มยิ้มไม่ได้ ตอนนี้ตื่นตระหนกไปจะมีประโยชน์อะไร? ที่จริงพูดตรงๆ ก็เหลือตัวเลือกเพียงแค่สองข้อเท่านั้นคือไปหรือไม่ไป มีอะไรต้องลังเลตัดสินใจไม่ได้อีก? พูดไปแล้ว สุดท้ายก็ยังเป็นเจียงอวี้เหลียนที่คิดมากไปเอง ถ้าไม่ใช่แล้วตอนนี้ยังจะลังเลตัดสินใจไม่ได้อีกหรืออย่างไร?
แต่นางก็ไม่คิดจะยุ่ง ยังคงคิดว่า ยิ่งนางทำมากพูดมากเท่าไร เกรงว่าเจียงอวี้เหลียนคงจะคิดมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นทำไมจะต้องทำเช่นนั้นด้วย? นางจึงไม่เข้าไปยุ่งแล้ว
“ทางด้านตระกูลกู้หากส่งคนมารับคุณหนูกู้ ก็ให้ส่งกลับไปอย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องรั้งตัวเอาไว้ บอกว่าต่อจากนี้ค่อยไปรับนางมาพักผ่อนอีกก็พอแล้ว” ถาวจวินหลันคิดว่าถ้าเรื่องโรคระบาดนี้กระจายออกไป ตระกูลกู้คงไม่วางใจให้กู้ซีอยู่ที่นี่ จะต้องส่งคนมารับกลับไปแน่นอน
หงหลัวรับปาก
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วถาวจวินหลันก็หลับไปอีกรอบ พอถาวจวินหลันหลับแล้วหงหลัวถึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนเป่าเทียนที่อยู่ในห้องแล้วค่อยๆ ถอยออกจากห้องไป ทั้งยังสั่งกำชับเป่าอวิ๋นอย่างละเอียด แล้วกลับไปนอนที่ห้องของตนเอง
ในตอนนี้ห้องหนังสือของฮ่องเต้กลับสว่างจ้าไปด้วยแสงเทียน ไม่เพียงแค่หลี่เย่ แล้วยังมีเฉินฟู่ ถาวจิ้งผิงและขุนนางอายุน้อยคนอื่นที่ฮ่องเต้เชื่อใจอยู่ด้วยเหมือนกัน
คิ้วของฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากันอยู่ตลอด ในมือก็ถือจอกชาแต่กลับไม่ได้ดื่มเลยแม้แต่คำเดียว
หลี่เย่และคนอื่นก็เช่นเดียวกัน
ภายในห้องนั้นเงียบสงบ บรรยากาศกดดัน มีหลายครั้งที่มีคนคิดจะเอ่ยปาก แต่เมื่อคำพูดมาถึงปากแล้วก็ต้องกลืนกลับเข้าไปใหม่
สุดท้ายแล้วก็เป็นขันทีเป่าฉวนที่ค่อยๆ เอ่ยปากอย่างระมัดระวัง พูดว่า “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ เวลาไม่เช้าแล้ว อยากที่จะเสวยของว่างหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” อาหารเย็นไม่ค่อยได้กิน หากไม่กินของว่างมื้อดึก แล้วจะทนไหวได้อย่างไร? ต่อให้ฮ่องเต้ไม่อยากอาหาร ก็คงไม่ดีที่จะให้คนอื่นมาหิ้วท้องตามไปด้วย
ฮ่องเต้สะบัดมือ กำลังจะพูดว่าไม่อยากอาหาร หลี่เย่กลับเอ่ยกล่อมว่า “เสด็จพ่อตอนมื้อเย็นไม่ค่อยได้เสวยอะไรนัก อย่างน้อยตอนนี้ก็ควรทานของว่างเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าอย่างไรแล้วสุขภาพก็สำคัญยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ถึงได้พูดอย่างฝืดเคืองว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เอาของว่างมา”
พูดตามจริงแล้วคนอื่นก็หิวด้วยกันทั้งนั้น ต่อให้เป็นหลี่เย่ก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน ดังนั้นเมื่อของว่างมาถึง ก็หายไปกว่าครึ่งอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเหตุผลที่ขันทีเป่าฉวนกำชับสั่งให้ห้องเครื่องทำปริมาณมากหน่อย ถ้าหากเป็นปริมาณตามปกติ เกรงว่าคงเห็นก้นจานไปนานแล้ว
หลังจากรับประทานของว่างเสร็จ บรรยากาศภายในห้องก็ไม่อึดอัดกดดันอีกต่อไป
ฮ่องเต้กวาดตามองฎีกาบนโต๊ะ ก่อนถอนหายใจพลางพูดว่า “โทษนี้ได้สั่งลงไปแล้ว เจ้าคิดว่าตอนนี้ควรที่จะลงมือได้แล้วหรือยัง?”
วันนี้ที่จริงแล้วที่มีคนมากมายรวมตัวปรึกษากันอยู่ที่ห้องหนังสือ สอบหาต้นสายปลายเหตุไปแล้วก็เพื่อเรื่องนี้ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติที่จะต้องปรึกษากันอีก
แต่ดูจากขุนนางอายุน้อยที่รั้งตัวอยู่แล้ว ก็รู้ว่าในใจของฮ่องเต้ไม่เชื่อใจขุนนางแก่เหล่านั้นนานแล้ว แต่ให้ความสำคัญกับขุนนางอายุน้อยเหล่านี้มากกว่า
คิดแล้วก็ถูก ขุนนางอายุน้อยเหล่านี้ไม่ได้มีพื้นหลังลึกนัก แทบจะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และราชสำนัก น้อยนักที่จะถูกดึงลากมาเป็นพวก ถูกแล้วที่ฮ่องเต้จะเชื่อใจมากกว่าคนอื่นหน่อย
หลี่เย่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับฮ่องเต้มาก่อน แม้ว่าในใจของเขาจะพิจารณาปัญหานี้มานานแล้ว ในความเป็นจริงที่เขาคิดถึงตอนนี้คือถาวจวินหลัน วันนี้ตอนบ่ายที่กลับไปเห็นท่าทีเช่นนั้นของถาวจวินหลัน ก็ทำให้เขาอดกังวลไม่ได้
ในใจของเขารู้ดี เกิดเรื่องนี้ขึ้นกะทันหัน ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจรักษาตัวได้อย่างสงบอีกต่อไป เรื่องเหล่านี้ นอกจากถาวจวินหลันแล้ว ผู้หญิงภายในจวนคนไหนจะทำได้ดี และคิดได้อย่างละเอียดรอบคอบบ้าง?
นอกจากความสงสารเต็มหัวใจแล้ว ที่เหลือก็คือความไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เขา ถาวจวินหลันก็คงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเรื่องเหล่านี้
ตอนที่กำลังเหม่อลอย กลับถูกฮ่องเต้เรียกชื่อกะทันหัน “ตวนชินอ๋องเจ้าคิดอย่างไร?”
หลี่เย่ได้สติกลับมาทันที ก่อนเงยหน้าไปสบตากับฮ่องเต้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า “ลูกคิดว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็เลิกคิ้วขึ้นมา “อย่างนั้นหรือ? ทำไมเล่า?”
หลี่เย่พูดความคิดของตนเองออกมา “ลูกคิดว่า ที่จริงแล้วเสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องพิพากษาลงโทษเร็วขนาดนี้พ่ะย่ะค่ะ หากพิพากษาลงโทษก็ไม่สู้รอจนควบคุมโรคระบาดได้แล้วค่อยว่ากัน มิเช่นนั้น…”
ข้อความต่อไปนี้เขาไม่ได้พูดให้จบ แต่คิดว่าทุกคนต้องเข้าใจความหมายนี้
ถ้าพิพากษาลงโทษไป แล้วโรคระบาดกลับปะทุครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมา ถึงเวลานั้นเกรงว่าคำโอดครวญของประชาชนจะยิ่งเยอะมากขึ้น ข่าวลือก็จะยิ่งรุนแรง ทำให้สถานการณ์ยิ่งยากจะควบคุม
ฮ่องเต้พยักหน้าถี่ ก่อนมองหลี่เย่อย่างชื่นชม ยิ้มและพูดว่า “เจ้าคิดรอบคอบมาก ข้าจะต้องประทานรางวัลให้ดี”
หลี่เย่รีบพูดปฏิเสธ “นี่ถือเป็นหน้าที่ของลูกพ่ะย่ะค่ะ ที่จริงแล้วผลงานนี้เป็นของถาวซื่อ ลูกคิดว่าจะขอรางวัลแทนถาวซื่ออยู่เลย ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อจะอนุญาตคำขอของลูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้คาดไว้แล้วว่าหลี่เย่ต้องปฏิเสธ แต่ขอรางวัลแทนถาวจวินหลันกลับนอกเหนือความคาดหมายของฮ่องเต้ แม้ว่าเรื่องแคว้นจะน่ารำคาญใจ แต่ฮ่องเต้ก็ยังอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “อย่างนั้นหรือ? เจ้าต้องการรางวัลอะไร?” ได้ยินว่าเจ้ารองโปรดปรานรักใคร่ถาวซื่อคนนี้มาก หรือว่าคิดอยากจะแต่งตั้งถาวซื่อเป็นชายาเอกหลังจากปลดหลิวซื่อ
ดูจากเรื่องเหล่านั้นที่ถาวซื่อทำ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้…
ยามซวี คือเวลา 19.00 น. – 21.00 น. เป็นเวลาเริ่มต้นกลางคืน
เค่อ คือหน่วยวัดเวลาของจีน หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที