บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 439 ปิดจวน

แม้จะบอกว่ามือเท้ายังเย็น ร่างกายยังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ นางก็ยังพูดออกมาอย่างเด็ดขาดว่า “ถ่ายทอดคำสั่งไป ตั้งแต่วันนี้ห้ามทุกคนภายในเรือนเฉินเซียงก้าวออกจากเรือนนแม้แต่ก้าวเดียว ปิดประตูใหญ่ ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา ทางด้านพระชายาก็เช่นเดียวกัน!”

สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็หันไปมองโจวอี้ “หลังจากเจ้ากลับไปแล้ว ก็ปิดประตูงดรับแขกไปอีกสักพักหนึ่งเถิด แม้จะบอกว่าข้ายังไม่มีอาการของโรคระบาด แต่ก็ป้องกันเอาไว้ก่อน เจ้าเองได้รับเชื้อมาบ้างหรือไม่ข้าเองก็ไม่รู้ แต่คิดแล้วก็คงไม่ถึงขั้น่น่าตกใจขนาดนั้น หลังจากนี้ห้าวันหากเจ้าไม่มีอะไรที่คิดว่าแปลกไป ก็ค่อยออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง พูดไปแล้วสุดท้ายก็เป็นข้าที่ทำให้เจ้าต้องเหนื่อย”

คำพูดนี้มีความรู้สึกแฝงอยู่ หากโจวอี้หนีไม่พ้นจริง ถ้าเช่นนั้นก็เป็นนางที่ทำร้ายเขา ถ้าโจวอี้ไม่มาพบนางตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรืออย่างไร?

ที่สำคัญที่สุดก็คือ โจวอี้เป็นแขนซ้ายขวาของหลี่เย่ ตอนนี้ก็เพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บ แต่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ก็ไม่รู้ว่าขัดขวางธุระของหลี่เย่หรือไม่?

แล้วถ้าหากหลี่เย่รู้เรื่องนี้คงต้องกังวลเป็นแน่?

แล้วยัง…

ถาวจวินหลันพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรอีก นางนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่ง ภายในหัวมีความคิดและอารมณ์มากมายวกวนซับซ้อนไปมา สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นกลุ่มก้อนแสนวุ่นวาย

หงหลัวและคนอื่นต่างยื่นนิ่งตะลึงอยู่กับที่มานานแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกมา แม้กระทั่งหัวสมองก็ขาวโพลนเช่นเดียวกัน

โรคระบาดที่ยังพูดคุยกันอยู่เมื่อวาน วันนี้กลับเข้ามาใกล้ตัว เพียงไม่นาน ไม่รู้ว่าเป็นความหวาดกลัว หวาดหวั่นจนพูดไม่ออกหรือว่าไม่อยากจะเชื่อ เสมือนเพิ่งตื่นจากฝันมากกว่ากัน

เรื่องนี้เหมือนกับเรื่องที่มีอยู่แต่ในนิทานเท่านั้น วินาทีก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่ ผ่านมาอีกวินาทีหนึ่งกลับมีภัยอันตรายมาเยือนกาย

ผ่านไปนาน ถาวจวินหลันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา ยิ้มขมขื่น “ข้า่ทำให้ทุกคนต้องลำบากแล้ว ตั้งแต่นี้ไปนอกจากหงหลัวแล้ว ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าใกล้ข้าเกินห้าฝีก้าว!” ที่รั้งหงหลัวเอาไว้ ก็เพราะหงหลัวเองก็สัมผัสจดหมายของฉ่ายยวนเหมือนกับนาง นั่นเป็นของที่หลี่ว์หลิ่วสัมผัสมาก่อน ใครจะรู้ว่าหลังจากสัมผัสแล้วจะแพร่กระจายเชื้อมาหรือไม่?

และเพราะว่าไม่รู้ ดังนั้นนางถึงไม่กล้าเสี่ยงอันตราย

“โจวอี้ ตอนที่เจ้าออกไป ก็ให้คนไปที่บ้านตระกูลเฉินเสียหน่อย ให้ซินหลันปิดประตูงดรับแขกเช่นกัน” ตอนที่พูดนั้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกขมขื่น เท้าเบาบางเหมือนไม่มีแรง

ทุกคนต่างได้ยินเสียง่สั่นเบาๆ ของถาวจวินหลัน และเสียงของฟันบนล่างที่กระทบกันไปมา

แม้แต่ถาวจวินหลันยังกลัว ไม่นานทุกคนที่ยังนิ่งอึ้งอยู่เมื่อครู่นี้ ต่างก็รู้สึกถึงหวาดกลัวขึ้นมากะทันหัน

มีบางคนส่งเสียงร้องไห้ออกมาทันที ความหวาดกลัวและหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในเสียงร้องไห้นั้นเป็นเหมือนกรงเล็บที่แหลมคม ปักเข้าไปในอกของคนแน่น ทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกกลัวจนตัวสั่นงันงกไม่หยุด

หงหลัวตะโกนเสียงดัง “จะร้องไห้ทำไมกัน? นี่เป็นเพียงการป้องกันเท่านั้น ใครบอกว่าจะเกิดเรื่องกัน? ชายารองมีบุญวาสนา ไฉนเลยจะมีโรคระบาดมาระราน? เรียกสติกลับคืนมาเดี๋ยวนี้! ไม่อนุญาตให้ร้องไห้และไม่อนุญาตให้หวาดกลัว! มิเช่นนั้นข้าจะไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย!”

อย่างไรแล้วหงหลัวก็เป็นบ่าวรับใช้อันดับหนึ่งของเรือนเฉินเซียง เมื่อตะโกนคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างทรงอำนาจ กลับมีแรงข่มอยู่ไม่น้อย บ่าวรับใช้คนอื่นจึงรีบเก็บสีหน้าและเก็บเสียง เงียบกันเป็นเป่าสาก

ตอนนี้โจวอี้นั่งคุกเข่าหันหน้าไปทางถาวจวินหลันและโขกหัวลงพื้นดังสนั่นสามที พูดออกมาอย่างแข็งกร้าวว่า “ชายารองฉลาดเฉลียวกล้าหาญ! สวรรค์จะต้องคุ้มครองแน่ขอรับ!” หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยฝีเท้ารวดเร็วไม่หันหน้ากลับมา

ถาวจวินหลันหัวเราะ ประคองเก้าอี้ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง หงหลัวคิดจะยื่นมือออกไปประคองนาง แต่ถาวจวินหลันกลับบอกให้นางหลบไป พลางสั่งเสียงเบา “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้ว่าเจ้าจะอยู่ใกล้ข้าระดับสามก้าวได้ แต่ก็ไม่อนุญาตให้สัมผัสข้า”

หงหลัวตะลึงไป จากนั้นดวงตาก็เริ่มแสบร้อน น้ำตาแทบจะไหลอย่างไม่อาจควบคุม

ถาวจวินหลันพยายามใช้แรงของตนเองประคองเก้าอี้แล้วลุกขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ ลากขาอ่อนแรงของตนเดินเข้าไปข้างใน เวลานี้นางยืนไม่ได้นั่งไม่ไหวแล้วจริงๆ พอได้นอนนิ่งๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย

พูดตามจริงแล้ว เรื่องวันนี้กะทันหันเกินไป นางแทบจะไม่ได้เตรียมใจไว้เลย เมื่อวานนี้นางยังคิดว่าหากโรคระบาดแพร่กระจายออกไปจะทำเช่นไร หากมีใครสักคนในจวนเกิดป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่คิดไม่ถึงว่าความคิดของนางได้เกิดขึ้นจริงแล้วที่นี่ และที่ยิ่งคาดไม่ถึงก็คือคนคนนั้นยังเป็นตัวนางเองด้วย

ช่างเป็นการเยาะเย้ยถึงที่สุด และน่าแปลกใจเหลือเกิน

กลัวตายอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าต้องกลัว ถาวจวินหลันนอนนิ่งอยู่บนเตียง รู้สึกว่าทั้งร่างเย็นเฉียบไปหมด กระทั่งหน้าอกก็แทบไม่เหลือความร้อนของลมหายใจเลยแม้แต่น้อย นางรู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะในวันที่หนาวที่สุด ทั่วทั้งร่างเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้

สุดท้ายแล้วนางก็ขดตัวเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ กอดข้อศอกของตนเองเอาไว้ ใช้โอกาสนี้ทำให้ตนเองอุ่นขึ้นเล็กน้อย ด้วยเป็นเช่นนี้ ร่างกายของนางจึงสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่

ถาวจวินหลันอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าตัวนางเองจะมีช่วงเวลาหวาดกลัวถึงเพียงนี้ด้วย นางยังคิดว่าตนเองรับมือกับทุกเรื่องได้อย่างไม่มีปัญหา และรักษาความสงบเยือกเย็นของตนเองเอาไว้ตลอด

แต่คิดไม่ถึงว่าพอได้สัมผัสกับเรื่องนี้จริง ไม่ต้องพูดถึงความสงบเยือกเย็น นางคิดอยากจะหยุดอาการสั่นสะท้านนี้แต่ว่าแรงกายก็ไม่สู้แรงใจ นางทำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ความหวาดกลัวนั้นผุดออกมาจากก้นบึงหัวใจของนาง นางควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ และนางยิ่งละเลยไปไม่ได้

เรือนเฉินเซียงปิดเรือนกะทันหัน ข่าวนี้ย่อมปิดบังไม่ได้้

เจียงอวี้เหลียนรู้ข่าวนี้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เพราะว่าไม่รู้ ดังนั้นนางถึงคาดเดาอย่างแปลกใจ

ไม่เพียงแค่เจียงอวี้เหลียน แม้แต่คนอื่นภายในจวนก็คิดเช่นเดียวกัน ไม่เพียงแค่เจ้านาย แล้วยังมีบรรดาบ่าวรับใช้ของจวนตวนชินอ๋องอีกด้วย

แต่ทุกคนก็ไม่คิดว่าสาเหตุมาจากโรคระบาด

หลี่เย่กลับรู้ข่าวนี้อย่างรวดเร็ว เขาตกใจจนแทบจะขยุ้มหนังสือราชการในมือยับ พอได้สติกลับมาก็ไม่สนใจถามรายละเอียด เขารีบก้าวเดินออกไปข้างนอกตามสันชาตญาณ

หวังหรูจับหลี่เย่เอาไว้ทันที แล้วรีบพูดกล่อมว่า “ท่านคิดจะทำอะไร?”

หลี่เย่นิ่งไป แม้จะเข้าใจความหมายของหวังหรู แต่ก็ยังก้าวขาออกไปอย่างมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง หวังหรูเซตามแรงของหลี่เย่ไปสองสามก้าว

เมื่อรับรู้ความคิดของหลี่เย่ หวังหรูก็ตกใจรีบใช้แรงทั้งหมดที่มีมารั้งหลี่เย่เอาไว้ แล้วพูดเสียงดังว่า “ได้โปรดอย่าเลอะเลือนเลยพ่ะย่ะค่ะ! แม้ว่าท่านจะกลับไป ชายารองถาวก็ไม่มีทางพบท่านเป็นแน่! ท่านไม่รู้หรือว่าชายารองถาวสั่งให้คนปิดประตูเรือนไว้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!”

หลี่เย่หน้าขรึมลง พูดออกมาเสียงเย็น “ปล่อย!” เพราะรู้ว่าเรือนเฉินเซียงปิดเรือนไปแล้ว เขาถึงอยากกลับไปดูเสียหน่อย เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นแท้ๆ แต่ถาวจวินหลันกลับยังสงบเยือกเย็น คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ช่างทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจ เขาคิดอยากให้ถาวจวินหลันไม่ต้องรู้ความและใจเย็นขนาดนี้เลย

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องกลับไปดูถาวจวินหลัน

แต่ตอนนี้ไฉนเลยหวังหรูจะกล้าปล่อยมือ?  เขากลับยิ่งรัดแน่นมากขึ้น และกล่อมปากเปียกปากแฉะว่า “แม้ว่าท่านจะไม่ใส่ใจ แต่อย่างน้อยก็อย่าขัดความตั้งใจของชายารองถาวเลยพ่ะย่ะค่ะ!”

หลี่ไม่ฟังแม้แต่คำเดียว แต่กลับสะบัดถีบหวังหรูออกไป พลางพูดอย่างเดือดดาล “หุบปาก! พูดอีกคำเดียวก็ไม่ต้องมาอยู่กับข้าอีก!”

สุดท้ายแล้วก็เพราะดูแลปรนนิบัติเขามาตั้งแต่เด็ก แม้จะบอกว่าถีบหวังหรูเพราะความใจร้อน แต่หลี่เย่ก็ยังคงมีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่ ไม่ได้ออกแรงสุดตัว เพียงแค่ใช้แรงพอให้สะบัดหวังหรูหลุดเท่านั้น

หวังหรูเซไปอีกข้างหนึ่ง แต่ก็ต้องขัดขวางหลี่เย่ที่ก้าวยาวพุ่งออกไปให้ได้

หวังหรูทุบพื้นเต็มแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาจากพื้น แต่ยังไม่ทันได้ปัดฝุ่นออกฝีเท้าวิ่งตามไป หลี่เย่ก็ก้าวยาวและรวดเร็วออกไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงมีระยะห่างพอประมาณ ไม่สามารถไล่ตามทันได้เลย

พอออกมาจากห้องแล้ว คนภายในเรือนเดินกันไปมา หวังหรูก็ไม่อาจฉุดกระฉากลากถูกับหลี่เย่อีก เพียงแค่เดินตามหลี่เย่อย่างใกล้ชิด พูดเกลี่ยกล่อมไม่หยุด

แต่ก็ต้องจนปัญญาเพราะหลี่เย่ไม่ฟังเสียงรอบข้างเลยแม้แต่คำเดียว ไม่ใช่แค่ไม่ฟัง แต่กำลังเหม่อลอยเอาแต่คิดถึงถาวจวินหลัน ไม่รู้ว่าว่าสถานการณ์ของเรือนนเฉินเซียงเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่รู้ว่านางจะกลัวหรือไม่? ไม่รู้ว่าในใจของนางจะคิดอย่างไร?

หลี่เย่คิดเช่นนี้มาตลอดทาง แม้แต่รถม้าก็ไม่นั่ง เขาไปที่โรงม้าแล้วเลือกม้ามาตัวหนึ่ง เขาขึ้นหลังม้าแล้วควบตรงไปทางจวน ไม่สนใจแม้กระทั่งที่นี่คือสำนักว่าการ และยิ่งไม่สนใจคนที่เดินไปเดินมาในสำนักว่าการ

ยิ่งไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาแปลกประหลาดของคนอื่น

หวังหรูรู้ว่าอาศัยแค่ขาสองข้างคงไล่ตามไม่ทันแน่นอน จึงได้แต่ขออภัยทีหนึ่งแล้วเลือกม้าตัวหนึ่งวิ่งตามไป ถ้าหากหลี่เย่เป็นอะไรไป เขาที่เป็นลูกน้องข้างกายก็มีแค่ทางเลือกเดียวให้เดิน!

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขากลัวตายถึงทำแบบนี้ ที่มากไปกว่านั้นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวที่มีมาหลายปีนี้ ทำให้เขาไม่อาจมองหลี่เย่วิ่งเข้าไปพบเจออันตรายได้

จากสายตาของหวังหรู ยามนี้จวนตวนชินอ๋องไม่ได้ต่างอะไรจากสถานที่อันตราย

หวังหรูคิดแล้วก็โบยม้าไปเต็มแรงอีกทีหนึ่ง ม้าของเขาตัวนี้เทียบกับของหลี่เย่ไม่ได้ ไม่สามารถไล่ตามได้ทัน อีกทั้งที่นี่คือเมืองหลวง เขาที่เป็นบ่าวเพียงคนหนึ่งขี่ม้าเช่นนี้…สุดท้ายแล้วก็ไม่สู้หลี่เย่ที่มีพื้นฐานเช่นนั้น จะได้กล้าควบม้าอย่าบ้าคลั่งไม่หวาดกลัว

ตอนที่เห็นว่าใกล้ถึงจวนตวนชินอ๋องแล้ว หวังหรูที่ยังไล่ตามหลี่เย่ไม่ทันจนตัวเองยอมแพ้แล้ว กลับมีกองทหารองครักษ์เกราะเหล็กพุ่งออกมาจากด้านข้างขัดขวางหลี่เย่เอาไว้

หลี่ทำได้แค่ดึงบังเ**ยนม้าเอาไว้ ม้าตัวนั้นเจ็บจนแทบสะท้านไปทั้งร่าง จึงฝืนหยุดเท้าลง

หลี่เย่หรี่ตามองหอกยาวในมือของทหารองครักษ์ พร้อมพูดเสียงเย็น “พวกเจ้าทำอะไร? ขัดขวางข้าทำไม?”

หัวหน้าทหารองครักษ์ก้าวขึ้นมา ทำความมเคารพหลี่เย่อย่างนอบน้อมพลางตอบว่า “เรียนท่านอ๋อง ฮ่องเต้สั่งเอาไว้ ท่านไม่อาจกลับจวนตวนชินอ๋องได้ และไม่อนุญาตให้คนภายในจวนออกมาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของหลี่เย่ดำคล้ำไปในทันใด

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset