บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 452 โกรธแค้น

​คำพูดของถาวจวินหลันไม่ได้ต่างอะไรจากการราดเกลือลงบนบาดแผลของหลิวซื่อ แม้ว่านางคิดว่าตนเองไม่ควรไปตะขิดตะขวงใจกับคนใกล้ตายแล้ว แต่หากไม่ทำเช่นนี้นางจะระบายออกไปได้อย่างไร?

หลิวซื่อไม่พอใจและรนหาที่ตายเอง แล้วทำไมนางจะต้องลากทั้งจวนตวนชินอ๋องไปลงหลุมเป็นเพื่อนด้วย? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางจึงคิดว่าให้หลิวซื่อตายอย่างสงบดูง่ายเกินไป

คนอย่างหลิวซื่อไม่ควรได้รับความเมตตาแม้แต่น้อย เพราะว่านางจะทำร้ายมากขึ้นทุกครั้งๆ ไป ผลักเข้าไปในหลุมที่ลึกและใหญ่กว่าเดิม!

ถาวจวินหลันรู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจความคิดของหลิวซื่อเลย

หลิวซื่อจมลงไปในความคิดของตัวเองแล้ว สีหน้าดูบิดเบี้ยว ไม่รู้ว่าหลิวซื่อคิดอะไรอยู่ในใจ

ถาวจวินหลันคาดเดาได้บางส่วน จึงหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ท่านไม่ต้องคิดแล้ว ท่านมาผิดหวังโกรธแค้นตอนนี้ก็สายไปแล้ว ท่านไม่มีทางแก้แค้นได้ด้วยตนเองอีก ช่างน่าเสียดายเสียจริง แค้นที่ท่านฝังรากลึกในใจคงไม่ได้ชำระแล้ว กลายเป็นว่าคนที่ท่านคิดแค้นได้รับประโยชน์และโอกาสด้วยซ้ำไป” ในที่สุดหลิวซื่อก็ตะคอกออกมา “หุบปาก!”

ถาวจวินหลันถอนหายใจ รู้สึกใจเย็นไปเยอะแล้ว จึงหัวเราะเสียงเย็นกล่าว “หมอหลวงเขียนเทียบยาให้แล้ว ไม่รู้ว่าจะเห็นผลหรือไม่ ท่านอยากจะดื่มก็ดื่ม ถ้าจะให้ข้าพูด ในเมื่อท่านคิดจะตายอยู่แล้ว ก็ไม่สู้ตายให้สบายใจไปดีกว่า ไม่ต้องฟุ่มเฟือยยาดีๆ เหล่านั้น!”

คำพูดนี้ทั้งเ**้ยมโหดและเฉียบคม เป็นคำพูดที่ไม่ควรหลุดออกจากปากคนมีการศึกษา แต่ถาวจวินหลันกลับไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ มีแต่ต้องระบายอารมณ์พลุ่งพล่านและไฟแค้นที่สุมรวมกันในใจของนางผ่านทางคำพูด หลิวซื่อเป็นตัวการสำคัญที่ก่อเรื่องทำผิดกฎ ไม่ให้ลงที่นาง แล้วจะให้ไปลงที่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเหล่านั้นหรืออย่างไรกัน?

เปลี่ยนคำพูดก็คือ หลิวซื่อหาเหาใส่หัว มีโทษทัณฑ์ที่สมควรแก่การได้รับโทษ

หลังจากถาวจวินหลันพ่นคำพูดออกมาแล้ว ก็รีบก้าวออกไปก้าวใหญ่ นางสงสัยจริงๆ ว่าหากทนอยู่ต่อไป นางจะเข้าไปบีบคอหลิวซื่อหรือไม่ คนแบบนี้จะเก็บเอาไว้ทำไม? อยู่ไปก็เปลืองอาหาร!

พอออกไปนอกห้องแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ กวาดตามองบ่าวรับใช้ที่อยู่เวรมีท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวด นางก็อดขมวดคิ้วตามไม่ได้ และพูดสั่งสอน “ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไรแล้วจะมานั่งคอตกอยู่อย่างนี้ทำไม? ทุกคนเรียกสติกลับมาเดี๋ยวนี้ ใครบอกว่าพวกเราต้องรอแค่ความตายอย่างเดียว!”

ไม่ใช่ว่านางจะหาเรื่องทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่อง แต่เมื่อเห็นบรรดาบ่าวรับใช้เป็นเช่นนี้ นางก็รำคาญเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้วนางก็กลัวและไม่สบายใจ แต่ไฉนเลยนางจะแสดงออกมาได้?

คราวที่แล้วนางขังตัวเองไว้ที่เรือนเฉินเซียง ข้างกายมีเพียงแค่หงหลัวเท่านั้น ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเอามาคิดเป็นเรื่องน่าขัน และยิ่งไม่ต้องกลัวว่าจะกระทบไปถึงใคร แต่ว่าตอนนี้เล่า? หากว่านางซึมเศร้า แสดงความหวาดกลัวของตัวเองออกมา เกรงว่าภายในเรือนคงจะเละเทะวุ่นวายเป็นแน่

“ท่านอ๋องออกจากจวนไปหรือยัง?” ถาวจวินหลันออกแรงนวดหว่างคิ้ว นั่งลงบนเก้าอี้หินพลางหันมาถามปี้เจียว

ปี้เจียวสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นกังวลหรือหวาดกลัว “พาคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ออกจากจวนไปแล้วเจ้าค่ะ แล้วยังฝากจดหมายมาให้ชายารองอีกฉบับหนึ่ง”

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจไปเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ออกจากจวนไปก็ดีแล้ว” สำหรับจดหมายนั้น ตอนนี้นางยังไม่รีบดู “อีกครู่หนึ่งกลับไปที่เรือนเฉินเซียงแล้วค่อยว่ากัน”

แม้จะบอกว่าต้องกักบริเวณ แต่นางและเจียงอวี้เหลียนก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่กับหลิวซื่อ อย่างแรกเพราะที่รองรับไม่พอ อย่างที่สองก็เพราะจะได้ไม่ต้องกระทบกระทั่งกัน

ท่าทีเช่นนั้นของเจียงอวี้เหลียนไม่เหมาะสมจะอยู่กับใครทั้งนั้น

ดังนั้นถาวจวินหลันจึงสั่งลงไปแล้วว่า ให้คนของเรือนเฉินเซียงและเรือนชิวอี๋ย้ายออกไปก่อนชั่วคราว เหลือเพียงแค่คนที่มีร่างกายแข็งแรง อีกทั้งคนที่ดูแลข้างกายก็มีเพียงแค่บ่าวรับใช้ที่เข้ามาในเรือนหลักพร้อมกับนางและเจียงอวี้เหลียนเท่านั้น

แน่นอนว่าตอนนี้นางยังกลับไปเรือนเฉินเซียงไม่ได้ อย่างไรก็ต้องรอทางด้านเรือนเฉินเซียงจัดการอย่างเหมาะสมก่อน อีกทั้งยังต้องจัดการคนที่อยู่บนถนนนี้ออกไปก่อนถึงจะดี มิเช่นนั้นหากว่าบังเอิญเจออย่างไม่ทันตั้งตัว เรื่องจะไม่ยิ่งลุกลามไปมาขึ้นหรือ?

ที่จริงแล้วนางยังเป็นกังวลอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือหากหลิวซื่อตายไปแล้ว นางควรจะจัดงานศพเช่นไร? ตามหลักการแล้วหลิวซื่อมีฐานะเป็นชายาเอกชินอ๋อง ย่อมต้องจัดพิธีใหญ่สมตำแหน่งฐานะ เรื่องทำพิธีเจ็ดวันพักวิญญาณและงานใหญ่ทางน้ำก่อนฝังเหล่านี้ ล้วนต้องประณีตทั้งนั้น

แต่ตอนนี้เกรงว่าจวนตวนชินอ๋องคงจะต้องปิดประตูจวนไปอีกสักพักหนึ่ง เรื่องงานศพไม่อาจจัดการได้ดีเป็นแน่

แม้กระทั่งพิธีพักวิญญาณก็คงทำไม่ได้ ตามกฎที่ราชสำนักร่างเอาไว้นั้น คนที่ตายด้วยโรคระบาดทุกคนจะต้องถูกเผามอด ห้ามนำไปฝังเด็ดขาด นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ติดต่อสู่คนอื่นมากขึ้น

ดังนั้นหากหลิวซื่อเสียชีวิต ศพนี้จะเผาหรือจะฝังก็ยังตอบยาก

ตัวนางเองยังไม่ทันคิดถึงตัวเอง ในความเป็นจริงหากนางพาลติดเชื้อไปด้วย ร่างของนางเองก็ต้องถูกเผาเหมือนกัน

โชคดีที่ไม่ได้คิดถึง มิเช่นนั้นแล้วนางคงไม่สบายใจเป็นแน่ เดี๋ยวคงได้ลำบากใจไปอีกครู่ใหญ่

คราวที่แล้วนางขังตัวอยู่ในเรือนเฉินเซียง อย่างน้อยก็ยังมีเจียงอวี้เหลียนคอยดูแลเรื่องข้างนอก แต่คราวนี้แม้แต่เจียงอวี้เหลียนก็ต้องเก็บตัวด้วยเช่นกัน ภายในจวนเหลืออนุภรรยาเพียงสองคน หากจิ้งหลิงยังอยู่ถาวจวินหลันคงวางใจได้บ้าง แต่สองคนที่อยู่ในจวนตอนนี้ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น

ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ถืออำนาจดูแลจวนเอาไว้เหมือนเดิม เรื่องการจัดการธุระต่างๆ ภายนอกจึงกลายเป็นสิ่งที่น่าปวดหัว เพราะอย่างไรแล้วนางก็ติดต่อกับคนภายนอกไม่ได้ไม่ใช่หรืออย่างไร?

ปี้เจียวเป็นคนสุขุม เห็นถาวจวินหลันเงียบไปไม่ได้พูดจา ก็ยืนรออยู่ข้างๆ อย่างอดทน ไม่ได้ต่างไปจากปกติเลย

ถาวจวินหลันมองดู กลับอดหัวเราะไม่ได้ “ปี้เจียว เจ้าไม่กลัวหรือ?”

“กลัวเจ้าค่ะ” ปี้เจียวตอบอย่างรวดเร็ว แต่ท่าทางดูไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย

ถาวจวินหลันหลุดหัวเราะออกมา แม้จะแฝงความขมขื่นเอาไว้ก็ตาม “เจ้าเป็นเช่นนี้เหมือนคนกลัวตรงไหนกัน? กลับสงบนิ่งสุขุมลึกกว่าข้ามากนัก”

ปี้เจียวก้มหน้าลงไป เม้มปากยิ้มบางๆ น้ำเสียงดูมีอารมณ์แฝงอยู่ “กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์เจ้าค่ะ ไม่สู้ไปทำเรื่องที่สมควรทำดีกว่า ไม่จำเป็นต้องไปมัวคิดเรื่อยเปื่อย มิเช่นนั้นหากถึงเวลาจะตายจริงๆ เมื่อกลับมาคิดช่วงเวลาสุดท้ายนี้คงได้แต่หมกมุ่นมัวอยู่ในความกลัวเท่านั้นเอง แบบนั้นน่าเสียดายไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

ถาวจวินหลันนิ่งตะลึงไปเพราะคำพูดของปี้เจียว นางคิดไม่ถึงว่าปี้เจียวจะใจกว้างและตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากเทียบกับความอดทนอดกลั้นและท่าทีเสแสร้งเพื่อข่มคนอื่นของนางแล้ว ปี้เจียวกลับตรงไปตรงมามากกว่า จุดนี้นางละอายที่ไม่อาจเทียบด้วยได้

อีกทั้งคำพูดของปี้เจียวก็สร้างความตื่นตะลึงให้นางไม่น้อย ใช่แล้ว หากเทียบกับการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่สู้ใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ให้ดี หากถึงช่วงวินาทีสุดท้ายจริงถึงจะไม่มีเรื่องติดค้างให้เสียใจภายหลังมิใช่หรืออย่างไร?

ถาวจวินหลันยิ้มสดใส เอ่ยชื่นชมปี้เจียวประโยคหนึ่ง “ดี สมแล้วที่เป็นบ่าวรับใช้ใหญ่ในเรือนเฉินเซียงของข้า”

พอพูดจบก็ลุกขึ้นมา พูดว่า “ถ่ายทอดคำสั่งไป ให้หงหลัวจัดการธุระต่างๆ ภายในจวนทุกวันตามคำสั่งข้า หากบรรดาหญิงชราเหล่านั้นมีเรื่องอะไรก็ให้มาบอกหงหลัว”

เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวลคำนินทาแล้ว

ปี้เจียวรับคำ พลางหัวเราะออกมา “ชายารองอย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเลยดีกว่าเจ้าค่ะ ดูแลสุขภาพให้ดีถึงจะถูกต้อง ภายในเมืองหลวงมีหมอมากมาย การคิดค้นยารักษาเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว ขอเพียงพวกเรารอจนถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”

ถาวจวินหลันมองปี้เจียวทีหนึ่ง อมยิ้มพูดว่า “เจ้าพูดถูก” นางนั้นเข้าใจดี ปี้เจียวมองความอ่อนแอในใจของนางออก จึงตั้งใจปลอบประโลมนางเท่านั้นเอง

แต่ปี้เจียวก็พูดไม่ผิด ภายในเมืองหลวงเต็มไปด้วยคนมีความสามารถ และกรมหมอหลวงก็ออกแรงเต็มกำลังการคิดค้นวิธีรักษาโรคระบาด ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว ในประวัติศาสตร์นั้นมีโรคระบาดเกิดขึ้นหลายครั้ง มีครั้งไหนบ้างที่ไม่สามารถควบคุมโรคระบาดได้?

ดังนั้นจึงบอกว่า ขอแค่รอจนถึงตอนนั้น ทุกสิ่งอย่างย่อมคลี่คลายได้เป็นแน่ และไม่ว่าจะรอถึงหรือไม่ถึง อย่างไรก็ถือว่ามีความหวังไม่ใช่หรืออย่างไร? อย่างน้อย นางก็ไม่ได้ไร้ความหวังเสียทีเดียว

“ชายารองควรจะต้องฟังคำพูดนี้ของเจ้า” ถาวจวินหลันยิ้มพลางถอนหายใจ “นางยังสู้เจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำไป”

ปี้เจียวถูกชมก็หน้าแดง “ข้าจะเทียบกับชายารองเจียงได้อย่างไรกันเจ้าคะ”

ถาวจวินหลันไม่ได้พูดต่อ แต่กลับคิดว่า เจียงอวี้เหลียนจะเทียบกับปี้เจียวได้อย่างไร? เกรงว่าแม้แต่นิ้วมือเดียวของปี้เจียวก็ยังไม่อาจเทียบได้ อย่างน้อยในตอนนี้ เจียงอวี้เหลียนก็ทำได้แค่เพิ่มความวุ่นวายให้นางเท่านั้น แต่ปี้เจียวกลับเป็นแขนซ้ายขวาของนาง

ตกดึก ถาวจวินหลันและเจียงอวี้เหลียนก็แยกย้ายกลับเรือนของตัวเอง หมอหลวงก็ถูกจัดการให้อยู่ที่เรือนหน้าตลอดเวลา และก็ไม่ดีถ้าจะอยู่เรือนหลัง แม้ว่าจะวุ่นวายไปหน่อย แต่ก็ทำได้แค่ไปอยู่ที่เรือนหน้าเท่านั้น แต่ถาวจวินหลันก็ยังตั้งใจเลือกเรือนรับแขกที่อยู่ใกล้เรือนหลังมากที่สุดแห่งหนึ่งให้ จุดประสงค์ก็เพื่อให้หมอหลวงเข้ามาตรวจได้สะดวกทุกวัน

หลังจากกลับมายังเรือนเฉินเซียงแล้ว  มองดูการวางข้าวของที่คุ้นเคย สูดดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคย ถาวจวินหลันก็รู้สึกสบายตัวไปหลายส่วน พอได้กินข้าวต้มร้อนไปถ้วยหนึ่ง ก็ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่น้อย

สิ่งที่ห้องครัวเคี่ยวล้วนเป็นข้าวต้มบำรุงที่บรรเทาความร้อนฆ่าพิษทั้งหมด ได้ยินมาว่ายังตุ๋นแกงอาหารบำรุงไว้เป็นของทานมื้อดึกด้วย

ถาวจวินหลันอดพูดหยอกล้อไม่ได้ “สุดท้ายแล้วก็ด้วยประสบมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นตาบอคลำทางแล้ว” อาหารบำรุงนี้ก็ยังเป็นคำแนะนำของหมอหลวงครั้งที่แล้ว

หงหลัวที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินเช่นเดียวกัน แม้ว่าในใจจะยังโศกเศร้า แต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางรู้สึกโล่งใจแล้ว คราวที่แล้วนางเห็นถาวจวินหลันหวาดหวั่นหวาดกลัวมากเพียงใด แล้วตอนนี้กลับต้องไปจมปลักในสถานการณ์เดิม นางกลัวว่าถาวจวินหลันจะคลุ้มคลั่ง แต่คราวนี้กลับไม่มีท่าทีอย่างครั้งก่อน แล้วยังกล้ามากขึ้นอีกต่างหาก

ทางด้านนี้เพิ่งจะทานอาหารเย็นเสร็จ บ่าวรับใช้ในเรือนของหลิวซื่อก็วิ่งร้องไห้เข้ามา “ไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ ชายาเอกไม่ยอมทานและไม่ยอมดื่มยาด้วยเจ้าค่ะ!”

ถาวจวินหลันเพิ่งจะดื่มชาเสร็จ ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักกึก ค่อยๆ วางจอกชาลง แล้วความโมโหในใจก็ทะลักออกมา หลิวซื่อกำลังรนหาที่ตายจริงๆ

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset