ถาวจวินหลันวางจอกชาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ควบคุมความโมโหเอาไว้ พลางพูดช้าๆ ว่า “นางไม่กินข้าวไม่กินยา แล้วจะมาหาข้าทำไม? หรือข้าไปพูดแล้วนางจะยอมกิน?”
ถ้าไม่ได้คำนึงว่าจะส่งผลไม่ดี นางก็คิดอยากจะพูดไปว่า นางรนหาที่ตายเอง คนอื่นจะเข้าไปยุ่งได้หรืออย่างไร? อีกอย่าง นางทำตัวเองแท้ๆ แล้วเกี่ยวอะไรกับคนอื่น?
บ่าวรับใช้ที่มารายงานนั่งคุกเข่าตะลึงอยู่นอกห้อง พลางพูดออกมาตามสันชาตญาณ “แต่หลังจากช่วงบ่ายที่ชายาเอกพูดคุยกับชายารองแล้ว ชายาเอกถึงได้ไม่ยอมทานข้าวทานยา ไม่ยอมพูดจา…”
ถาวจวินหลันพลันเข้าใจความหมายที่แฝงไว้ในคำพูดนี้ จึงหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าไปบอกชายาเอกแทนข้า ว่าถ้าอยากหาที่ตายก็จงคิดให้ดี หากตายไปตอนนี้ แม้แต่ศพก็ยังเก็บเอาไว้ไม่ได้ ตามกฎแล้วคนตายที่ติดเชื้อโรคระบาดต้องถูกเผาจนมอดไหม้ไม่เหลือซาก”
หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็หัวเราะอีก “และถามนางแทนข้าด้วย ว่านางยินยอมตายไปทั้งอย่างนี้จริงหรือ? ไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรืออย่างไร?”
บ่าวรับใช้ที่มารายงานนิ่งตะลึงกับคำพูดเหล่านั้น สายตาที่ใช้มองถาวจวินหลันก็แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าหลังจากนางฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกว่าถาวจวินหลันเย็นชาไร้หัวใจเกินไป
แต่ไฉนเลยหลิวซื่อจะคู่ควรต่อความใจดีและเมตตา
อีกทั้งสำหรับหลิวซื่อในตอนนี้ ถ้าไม่ใช้คำพูดที่ตรงขนาดนี้แล้วจะเกิดผลได้อย่างไร? ถาวจวินหลันไม่ได้ใส่ใจความเป็นความตายของหลิวซื่อมากขนาดนั้น แต่นางก็ไม่หวังให้หลิวซื่อมาตายไปในเวลานี้
นางเข้าใจที่หลี่เย่พยายามยื้อชีวิตหลิวซื่อเอาไว้ นางเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยคาดหวังเช่นนั้น ดังนั้นหากเป็นไปได้ นางก็หวังให้หลิวซื่ออดทนไปอีกหน่อย หากหลิวซื่อตายไปตอนนี้ก็จะเป็นเรื่องวุ่นวาย อีกทั้งยังส่งผลกระทบและความหวาดกลัวมากมาย
นางไม่สนว่าบ่าวรับใช้จะถ่ายทอดคำพูดของนางหรือไม่ หากถูกถ่ายทอดออกไปจริงนางก็อธิบายได้ว่าเป็นกลวิธีกระตุ้น ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร
พอบ่าวรับใช้คนนั้นกลับไปถ่ายทอดคำพูดแล้วนั้น ถาวจวินหลันก็สั่งเนิบๆ “ นี่ก็ดึกแล้ว สมควรพักผ่อนได้เสียที”
เมื่ออาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาเสร็จจนปีนขึ้นเตียงไปแล้ว ก็ไม่ได้มีคำพูดอื่นอีก ทว่าตอนที่นั่งพิงหัวเตียง ถาวจวินหลันก็อดหยิบจดหมายที่หลี่เย่ทิ้งเอาไว้ขึ้นมาดูไม่ได้ นางทั้งโศกเศร้าและหวานซึ้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังหวาดกลัว
สิ่งที่หลี่เย่ทิ้งเอาไว้นั้นง่ายดาย และมีเพียงแค่ไม่กี่คำเท่านั้น อย่างแรกคือบอกให้นางไม่ต้องกลัว อย่างที่สองเขาจะต้องปกป้องนางให้ปลอดภัย
นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้พูดเกี้ยวพาราสีอะไรอีก แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ชวนให้ชอบใจและอ่อนหวานมากกว่าบทกลอนเป็นหมื่นเป็นพันคำเสียอีก
สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็นอนกอดจดหมายหลับไป แม้จะบอกว่ามีเรื่องมากมายเกิดขึ้น คนจำนวนมากอาจจะนอนไม่หลับ แต่วันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวัน จึงเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีความคิดสับสนวุ่นวายอีก
สำหรับคนที่นอนไม่หลับนั้น กลับมีเยอะมากมาย เฉกเช่น หลิวซื่อ เจียงอวี้เหลียน แม้กระทั่งหลี่เย่
วันนี้หลี่เย่พาเซิ่นเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาฝากไว้กับไทเฮา หลังจากไทเฮารับรู้เรื่องในจวนตวนชินอ๋อง นางก็ทั้งโมโหและโล่งใจทันที โล่งใจที่หลี่เย่ปลอดภัย โมโหที่จวนตวนชินอ๋องมีภัยพิบัติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ไทเฮาถามหลี่เย่ตรงๆ “เจ้าว่า แท้จริงแล้วบังเอิญหรือว่ามีคนจงใจทำเรื่องตบตา?”
คำตอบของหลี่เย่ก็ง่ายดาย “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือตบตาคน ก็จะต้องผ่านด่านเคราะห์ร้ายครั้งนี้ให้ได้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ที่จริงแล้วตอนนี้เขาหวาดกลัวมาก
คราวนี้เขาไม่ได้ขอให้ไทเฮาส่งหมอหลวงไปประจำการอีก ในใจของเขารู้ดี ถ้าคิดค้นวิธีรักษาโรคระบาดให้เร็วที่สุดไม่ได้ ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงวางแผนใช้วิธีเล็กๆ น้อยเพื่อบีบบังคับหมอหลวงเหล่านั้น
หลี่เย่พอจะเข้าใจหมอหลวงอยู่บ้าง หากไม่มั่นใจในวิธีรักษาหรือว่ามีอันตรายเพียงเล็กน้อย กรมหมอหลวงก็จะไม่กล้าเอาออกมา ก็ไม่ใช่เหตุผลอื่น แต่เป็นเพราะต้องแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมด มิเช่นนั้นแล้วทำไมการรักษาลำไส้อักเสบในวังหลวงนั้นถึงได้วุ่นวายกว่านอกวังนัก? เพียงเพราะว่าหมอหลวงเหล่านั้นไม่ยินยอมใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงเท่านั้นเอง
ต่อให้หมอหลวงไร้ความสามารถ ภายในเมืองหลวงก็มีหมอชื่อดังมากมาย เขาไม่ติดใจที่จะจับหมอเหล่านั้นมารวมตัวกัน เพื่อให้พวกเขาคิดค้นยารักษาให้ดีที่สุด
หลี่เย่วางเซิ่นเอ๋อร์ลง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ก่อนทูลลาและตรงไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในทันใด
เขารู้อยู่แก่ใจว่าปิดสถานการณ์ของจวนตวนชินอ๋องนั้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อพบฮ่องเต้ เขาจึงบอกความจริงไปตรงๆ และพูดอีกว่า “ขอให้เสด็จพ่อโยกย้ายทหารองครักษ์ ไปปิดแยกพื้นที่จวนตวนชินอ๋องด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เองก็โมโหเช่นเดียวกัน “ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมถึง…”
หลี่เย่หน้าเคร่งขรึมพูดเสียงแหบแห้ง “ลูกเองก็กำลังอึดอัดใจเรื่องนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้ที่น่ากังวลมากกว่าก็คือ โรคระบาดได้แพร่กระจายไปแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? หมอหลวงคนก่อนที่ตรวจอาการให้หลิวซื่อ หลังจากออกไปแล้วก็ไม่รู้ว่าไปสัมผัสคนอีกมากมายเท่าไร” เมื่อพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็คิดได้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นด้วย ฉับพลันก็มีสีหน้าท่าทีไม่น่ามอง
พอออกคำสั่งไปติดต่อกัน สีหน้าของฮ่องเต้ถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย มองไปยังหลี่เย่ “ตอนนี้คิดว่าเจ้าคงใจไม่ดีเป็นแน่ พักผ่อนให้ดีสักสองสามวันก็แล้วกัน”
นิ้วมือของหลี่เย่กำเข้าหากันแน่น แล้วก็คลายออก ใบหน้าจริงจังมองไปทางฮ่องเต้พลางเอ่ยขอบพระทัย “ลูกเองก็คิดเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ อย่างไรจิตใจของลูกก็ยังสับสนวุ่นวาย คงไม่อาจจัดการเรื่องราชการได้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดจบ หลี่เย่ก็ขอทูลลาอย่างรู้งาน
เมื่อออกจากประตูมาแล้ว กลับเป็นขันทีเป่าฉวนที่เอ่ยปลอบหลี่เย่ “ท่านอ๋องโปรดวางใจ จวนอ๋องจะต้องไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างฮ่องเต้เองก็คำนึงจากภาพรวม…”
หลี่เย่พยักหน้า “ข้าเข้าใจ”
คราวนี้ขันทีเป่าฉวนถึงได้เงียบลง พลางถอนหายใจ “ตอนนี้ท่านอ๋องก็ต้องระวังด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่รับคำ มองขันทีเป่าฉวนทีหนึ่งแล้วก้าวเท้าออกจากวังหลวงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฮ่องเต้กล่าวเช่นนั้น เกรงว่าเขาคงเข้าวังหลวงไปไม่ได้ช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นอะไร นี่เป็นความตั้งใจของเขาพอดี
เรื่องคำเตือนด้วยความหวังดีของขันทีเป่าฉวนนั้น ในใจของเขาก็รู้ดี หากมีคนอยากลงมือกับจวนตวนชินอ๋อง เช่นนั้นคนต่อไปก็ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน
เมื่อออกจากวังหลวงมาแล้ว หลี่เย่ก็ตรงไปที่บ้านของถาวจิ้งผิง แล้วเรียกพบหลิวเอิน
หลิวเอินกลับต้องตกใจกับคำสั่งของหลี่เย่ไปครู่ใหญ่ “ท่านอ๋อง เกรงว่าคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก” หลี่เย่อยากให้เขาพาหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงทั้งหมดมารวมตัวกัน โดยไม่ต้องสนใจวิธี หรือจะพูดว่า ไม่ว่าจะใช้ผลประโยชน์ล่อลวงหรือว่าบีบบังคับก็ย่อมได้ทั้งนั้น
หลิวเอินรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอะไร? หากหลี่เย่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ อย่างนั้นจะต้องสร้างความไม่พอใจให้คนมากมายเท่าไร?
หลี่เย่กลับสะบัดมือ พูดเสียงต่ำ “เจ้าแค่ไปทำ เกิดเรื่องข้ารับผิดชอบเอง”
หลิวเอินอ้าปาก ตั้งใจจะพูดเกลี้ยกล่อมอีกหน่อย แต่พอเห็นท่าทีของหลี่เย่แล้ว คำพูดที่อยู่ตรงริมฝีปากก็ต้องกลืนลงไป เขารู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้พูดไปหลี่เย่ก็คงไม่ฟัง
จากนั้นหลี่เย่ก็หัวเราะเบาๆ “หลายวันมานี้ หมอในกรมหมอหลวงไม่ได้คิดค้นสิ่งที่มีประโยชน์ออกมาเลย ควรหาวิธีเตือนพวกเขาได้แล้ว เอาอย่างนี้ ก่อนอื่นเลยไปเชิญสมาชิกครอบครัวของหัวหน้าหมอหลวงทั้งสามคนมาเป็นแขกก่อนเถิด”
หลิวเอินถลึงตาโต ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ท่านอ๋องได้โปรดคิดให้ดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ก่อนหน้านี้ยังคงเป็นหมอของประชาชน ถ้าลักพาตัวมายังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างไรก็มีฐานะของหลี่เย่อยู่ตรงนั้น และยังมีความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เพียงแค่ไม่กี่คำก็กลบเรื่องนี้ไปได้ พอจบเรื่องก็ค่อยปลอบประโลมให้ดี แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
แต่หมอหลวง…
หมอหลวงเป็นคนของฮ่องเต้ หากลงมือ นั่นไม่ใช่ว่าเข้าไปล่วงเกินผู้มีอำนาจอย่างนั้นหรือ? ปากของฮ่องเต้ไม่พูด แต่ในใจนั้นย่อมต้องไม่พอใจเป็นแน่
“ไปทำ” หลี่เย่ไม่อธิบาย เพียงแค่พูดออกมาสองคำ น้ำเสียงทรงอำนาจไม่รับฟังคำปฏิเสธ
หลิวเอินทำได้แค่รับคำสั่ง “บ่าวจะพยายามอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกอย่าง ใช้คนที่เชื่อถือได้ไปเอาเลือดสดของคนที่ติดเชื้อโรคระบาดมาหนึ่งกาเต็ม” ตอนที่หลี่เย่พูด ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย ภายในดวงตานั้นประกายแสงเย็นเยียบ ทำให้คนไม่กล้าสบตามอง
หลิวเอินเหงื่อไหลเต็มใบหน้า “ท่านอ๋อง นี่…จะเอาไปทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” เลือดสดของคนติดเชื้อโรคระบาดจะมีประโยชน์อะไร? จะเอามาศึกษาอย่างนั้นหรือ? แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครใช้วิธีเช่นนี้มาก่อน
หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็น “เหิงกั๋วกงเอ็นดูลูกชายคนเล็กมากที่สุด หากลูกชายคนเล็กของเขาติดเชื้อโรคระบาดด้วยเหมือนกัน แล้วเขาจะเป็นอย่างไร? ตอนนี้ข้าจะยังไม่แตะต้ององค์รัชทายาท แต่ลงมือกับเกิงกั๋วกงได้”
หลิวเอินได้ยินก็เหงื่อไหล แม้จะบอกว่าหลี่เย่ไม่ได้อบอุ่นมีเมตตาเหมือนที่แสดงออกมา แต่ว่าน้อยครั้งที่เขาจะโหดเ**้ยมเช่นนี้ และยิ่งดูจากท่าทีตอนนี้ก็เหมือนว่าจะไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น มีท่าทีเหมือนว่าอย่างมากก็แค่ตายไปพร้อมกันเท่านั้น
คราวนี้หลิวเอินเริ่มไม่กล้ารับปากหลี่เย่แล้ว คิดจะลองกล่อมดู
“เจ้าวางใจ ข้ารู้ตัวดี ไม่มีทางผิดเป็นแน่” เหมือนคาดเดาความคิดของหลิวเอินได้ หลี่เย่จึงกำชับเรียบๆ เล็กน้อย แล้วเก็บท่าทีเ**้ยมโหดที่มีก่อนหน้านี้ไปหมด ฟื้นคืนภาพลักษณ์เดิมของตนเองกลับมา
คำว่า ‘ไฉนเลยข้าจะกล้าวางใจ’ ติดอยู่ในลำคอของหลิวเอิน สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เพียงพยักหน้า
หลี่เย่หยิบจอกเหล้าขึ้นมา จิบหมดภายในอึกเดียว รู้สึกได้ถึงความร้อนที่ไหลผ่านลงคอ เขายิ้มเล็กน้อยพลางพูดว่า “เจ้าว่า ฮองเฮากล้าลงมือเช่นนี้ เพราะว่าในมือของนางมีวิธีรักษาอยู่หรือไม่? บีบนางสักครั้งก็จะรู้ความจริงแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?”
ต่อให้ในมือของฮองเฮาไม่มีวิธีรักษา คนของจวนเหิงกั๋วกงก็ต้องสละชีวิต เช่นนั้นก็ถือว่ากรรมตามสนอง! อย่าคิดว่าเขาไม่มีหลักฐาน แล้วจะไม่รู้ว่าใครบงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!
หากครั้งนี้ถาวจวินหลันเป็นอะไรไป เขาจะต้องลากทั้งจวนเหิงกั๋วกงไปตายเป็นเพื่อนอย่างแน่นอน! จะต้องให้ฮองเฮาลงไปตายด้วยกัน! ต่อให้สิ่งที่สั่งสมมาแต่ก่อนต้องเสียเปล่า ขอแค่เพียงลากฮองเฮาลงมาได้ ต่อให้ต้องเอาเปรียบจวงอ๋องและอู่อ๋อง เขาก็ไม่สนใจ! เขาหลี่เย่ พูดได้ก็ต้องทำได้ ไม่มีทางกลับคำพูดเป็นแน่!
ดวงตาของหลี่เย่นั้นมืดลงหลายส่วน ยกเหล้าขึ้นดื่มอย่างแค้นเคืองอีกครั้ง แล้วถึงได้กำนิ้ว เม้มริมฝีปากแน่น ตั้งแต่เล็กจนโตฮองเฮาเอาของที่เป็นของเขาไปกี่อย่างแล้ว? แต่จำต้องยอมรับว่าคราวนี้ฮองเฮาเล่นเข้าที่จุดตายของเขา สำหรับเขาแล้วถาวจวินหลันเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้าย