สุดท้ายฮองเฮาก็ตัดสินใจพูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชสำนัก หม่อมฉันเป็นคนในวังหลัง หม่อมฉันไม่อาจเข้าไปยุ่งเพคะ ส่วนเรื่องลงโทษ ไม่ว่าฮ่องเต้จะสั่งบทลงโทษอะไรมา จวนเหิงกั๋วกงก็ไม่กล้าอิดออดแน่นอนเพคะ”
ฮ่องเต้มองฮองเฮาวูบหนึ่ง พูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลดตำแหน่งลงมาขั้นหนึ่งแล้วกัน”
ลดตำแหน่งลงมา พูดแล้วที่จริงก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร มีใครบ้างไม่อาศัยเบี้ยหวัดจากตำแหน่งมาเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งกงหรือว่าโหว สวัสดิการก็ไม่ได้ต่างกันมาก แต่ที่สำคัญคือ หลังจากลดตำแหน่งขุนนางแล้ว เหิงกั๋วกงคงต้องขายหน้ามาก เกรงว่าจวนเหิงกั๋วกงคงไม่อาจลืมตาอ้าปากในราชสำนักได้ช่วงหนึ่ง
ฮองเฮารู้สึกขมขื่น แต่กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้แม้แต่น้อย เพียงแค่ทำความเคารพ พูดออกมาอย่างจริงใจ “ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่เมตตาเพคะ” การที่ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมอย่างรวดเร็วเช่นนี้ถือว่าเป็นบุญคุณของกษัตริย์ เรื่องนี้ฮองเฮารู้ดี
อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นใครก็จะต้องชื่นชมฮ่องเต้ว่าใจกว้างมีเมตตา อย่างไรจวนเหิงกั๋วกงทำเรื่องเช่นนี้ เพียงแค่ลดระดับลงไปขั้นหนึ่ง และไม่ได้ลงโทษอย่างอื่นด้วย ก็ถือว่าเมตตาตั้งเท่าไรแล้ว
ฮ่องเต้ไม่สนใจฮองเฮา “ไม่มีครั้งหน้าอีก เจ้ากลับไปเถิด”
ตอนที่ฮองเฮาได้ยินคำว่า ‘ไม่มีครั้งหน้าอีก’ ก็อดกำนิ้วแน่นไม่ได้ ฮ่องเต้กำลังตักเตือนนางและจวนเหิงกั๋วหงอย่างเปิดเผย ว่าหากทำผิดอีก ไม่มีทางง่ายดายเช่นนี้เป็นแน่
คิดอยู่ครู่หนึ่ง ฮองเฮาก็โขกศีรษะลงไปอีกครั้ง พูดว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันเองก็มีความผิด เป็นหม่อมฉันที่ไม่สอนพระชายาองค์รัชทายาทและครอบครัวของนาง หม่อมฉันยินยอมปิดประตูสำนึกผิดเพคะ”
ฮ่องเต้เงยหน้ามองอย่างแปลกใจเล็กน้อย หัวเราะครู่หนึ่งก็พูดว่า “ในเมื่อเจ้าพูดเอง ก็ปิดไปสักเดือนหนึ่งเถิด พระชายาองค์รัชทายาทก็ด้วย” แม้ว่าองค์รัชทายาทจะเปี่ยมคุณธรรมเพียงใด แต่ถ้ามีคนในบ้านแบบนี้ ก็จะต้องถูกลากไปในทางเสียเป็นแน่
ฉับพลันฮ่องเต้ก็ขบขัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้องค์รัชทายาทรู้มากเพียงใด? แล้วมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่?
ขณะที่จวนเหิงกั๋วกงเริ่มถูกโรคระบาดกัดกิน อาการของถาวจวินหลันก็แย่ลง
ในความเป็นจริงแล้ว ทุกวันนางตื่นมาไม่เกินสองชั่วยาม เวลานอกเหนือจากนั้นก็หลับอยู่ตลอด ร่างกายก็มีไข้รุมอยู่ตลอดเช่นกัน ทั้งร่างรู้สึกหนักอึ้งจนพูดไม่ออก
แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของตนเอง นางถึงได้เรียนรู้ว่าอะไรเรียกว่าน้ำมันหมดไฟก็มอด มิน่าเล่าคนอื่นล้วนพูดว่า ตนเองย่อมรู้สังขารตนเองดีที่สุด ดีหรือไม่ดี อ่อนแอหรือแข็งแรง เพียงปราดเดียวก็รู้แล้ว
ยามนี้เจียงอวี้เหลียนเหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายแล้ว
ถาวจวินหลันคิดอย่างโศกเศร้าว่า บางทีรอหลังจากโรคระบาดครั้งนี้ผ่านไปแล้ว โลงศพที่ถูกแบกออกจากประตูใหญ่ของจวนตวนชินอ๋องคงต้องมีกว่าสามใบแล้ว คนที่นำไปก่อนคือหลิวซื่อ จากนั้นก็เป็นนางและเจียงอวี้เหลียน
ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นหลี่เย่จะเสียใจหรือไม่? หวังว่าเขาคงไม่ทำเรื่องโง่ๆ เพียงเพราะโศกเศร้า
ถาวจวินหลันคิดไปเรื่อยเปื่อย แต่กลับทนความง่วงงุนไม่ได้จึงหลับไปอีกครั้ง
ปี้เจียวหันไปสบตาชุนฮุ่ยทีหนึ่ง พบว่าในสายตาของอีกฝ่ายหวาดกลัวและเป็นกังวลเหมือนตนเอง ครั้งนี้ถาวจวินหลันตื่นมาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ แม้แต่เวลาป้อนข้าวต้มถ้วยหนึ่งก็ยังไม่พอ
แม้กระทั่งตัวนางเองก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของตนเอง และนางก็รู้ว่าอะไรเรียกน้ำมันหมดไฟก็มอด มิน่าคนอื่นอาการทรุดหนัก เกรงว่าคงไม่ใช่แค่โรคระบาดที่ทรมานคน แต่เป็นความหิวที่ฆ่าคนตาย นอกจากป้อนน้ำและน้ำแกงบำรุงเข้าไปแล้ว ความจริงสองวันมานี้ถาวจวินหลันไม่อยากอาหารอีกแล้ว ร่างกายของนางผ่ายผอมอ่อนแรงลงด้วยความเร็วที่ตามองเห็น
เสื้อผ้าก่อนหน้านี้ที่พอดีตัว ตอนนี้กลับเหมือนชุดคลุม แขวนอยู่บนร่างอย่าหละหลวม ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกทนไม่ได้
“เมื่อไรจะคิดยารักษาได้กัน?” ปี้เจียวทนไม่ไหวอีกต่อไป เริ่มส่งเสียงร้องไห้ แต่ก็ยังไม่กล้าร้องเสียงดัง พยายามกลั้นเสียงเอาไว้ เสียงร้องไห้แบบนี้กลับดูเจ็บปวดมากกว่าร้องไห้เสียงดัง และส่งผลกระทบกับคนรอบข้างได้ง่ายขึ้น
ชุนฮุ่ยก็เริ่มมีน้ำตาไหลอาบแก้ม
ตอนนี้ต้องรายงานอาการของถาวจวินหลันให้หลี่เย่ทราบทุกวัน ตั้งแต่หลี่เย่รู้ว่ถาวจวินหลันไม่อยากอาหารแล้ว ก็หงุดหงิดไม่พอใจทันที เขารู้ว่านี่หมายความว่าอะไร
คนทั่วไปมีคำพูดว่า ขอเพียงกินได้ ไม่ว่าป่วยหนักอย่างไรก็ไม่มีปัญหา หากกินอะไรไม่ลงนั่นถือว่าอันตราย
คนไม่กินไม่ดื่มจะมีแรงทนไหวได้อย่างไร? อีกทั้งร่างกายก็มีอาการเจ็บป่วยอีกด้วย
หากถาวจวินหลันเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่อาจทนได้นานกว่านี้เป็นแน่
หลี่เย่รู้สึกได้ถึงความอันตราย สุดท้ายแล้ว เขาก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป หยิบเสื้อคลุมเดินออกไปนอกประตู ส่งเสียงสั่งหวังหรูเบาๆ ว่า “ไป ออกนอกเมือง”
หวังหรูตกใจมาก รีบดึงหลี่เย่เอาไว้สุดกำลัง ปากก็พูดกล่อมว่า “นายท่านจะทำอะไร? ตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นนั้น จะไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
หลี่เย่กวาดมองมือของหวังหรูที่จับตนเอง หวังหรูพลันรู้สึกเหมือนมีใบมีดบาดผ่านมือของตนเองไป แทบอยากจะปล่อยมือออกทันที
แต่เขาจะกล้าปล่อยมือได้อย่างไร? แม้นออกนอกเมืองแล้วไม่ติดเชื้อกลับมาตาย แต่หลังจากกลับมาแล้วก็ต้องถูกโบยจนตายเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่อาจปล่อยมือได้!
“กินยาเข้าไปแล้ว ไม่ติดเชื้อเป็นแน่” หลี่เย่พูดเนิบๆ “หากเจ้ายังห้ามอีก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าก็ไม่ต้องมารับใช้ข้างกายข้าอีก วันนี้ข้าจำต้องออกไปนอกเมืองสักครั้ง”
หวังหรูยังไม่กล้าปล่อยมือ
“ในเมื่อไม่ยอมให้ข้าไป เจ้าก็ไปแทนข้า” หลี่เย่เห็นหวังหรูเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อยากเสียเวลาต่อไป จึงพูดให้เป็นกลางที่สุด
หวังหรูผ่อนลมหายใจ แล้วก็หัวเราะขมขื่น แต่เมื่อคิดว่าตนเองไปเสี่ยงอันตรายดีกว่าให้เจ้านายไป เขาก็รับปากทันที
“เจ้าไปถาม ว่าพวกเขาจะรู้ผลเมื่อไรกันแน่?” หลี่เย่หรี่ตาลง ทั้งร่างมีไอเย็นเยียบ “บอกพวกเขา หากชายารองของจวนข้าตายเพราะโรคระบาดนี้ พวกเขาก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป”
หวังหรูตกใจยกใหญ่เพราะคำพูดนี้ของหลี่เย่ ความหมายของคำพูดของเจ้านายนั้น หากชายารองตายไป เขาจะฆ่าคนเพื่อให้ชดใช้อย่างนั้นหรือ?
ในความเป็นจริงแล้ว หลี่เย่เพียงแค่ตั้งใจพูดขู่เท่านั้น หากจะฆ่าหมอจำนวนมากขนาดนี้ เขาคงไม่มีอำนาจไปทำแบบนั้น มากที่สุดก็ปล่อยออกไปนอกวังหลวง ไม่ให้กลับมาอีกตลอดไปเท่านั้น
แต่หวังหรูกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาพึมพำอยู่ในใจ ผลกระทบที่ชายารองมีต่อท่านอ๋อง มากเกินไปหน่อยแล้ว
หลี่เย่มองดูหวังหรูออกจากเมือง เขาก็ไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อไป แต่เมื่อเดินออกมาจากห้องแล้ว เขาก็ไม่อยากกลับไปอีก ตัดสินใจเดินไปตามทางบ้านตระกูลถาว ที่จริงแล้วส่วนที่เขาพักคือเรือนด้านนอก แต่องค์หญิงเก้าและถาวจิ้งผิงสั่งเอาไว้นานแล้วว่าไม่ต้องห้ามเขา ภายในบ้านนี้เขาเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ
เมื่อเดินไปมาเช่นนี้ จนเดินเข้ามาถึงสวนดอกไม้ในเรือนในหลี่เย่ก็ยังไม่รู้สึกตัว ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้สมาธิของเขาไม่ได้อยู่ที่ภาพบรรยากาศ เพียงแค่เดินไปเรื่อยๆ อย่างเหม่อลอย แค่ระวังไม่ให้ตนเองล้มเท่านั้น
ตอนนี้ใกล้ถึงเดือนเก้าแล้ว บรรยากาศเริ่มเย็นแล้วไม่พอ ต้นไม้ดอกไม้ภายในสวนก็เริ่มร่วงหล่น และยิ่งมีใบไม้สีแดงของต้นเฟิงที่ปลูกเอาไว้ มองไกลๆ ดูแล้วเหมือนกับประกายไฟลูกใหญ่
หลี่เย่คิดถึงสมัยตอนที่ยังอยู่ในวังหลวงกับถาวจวินหลัน ตอนที่เขาให้ถาวจวินหลันอยู่ดูต้นเฟิงเป็นเพื่อนเขานั้น ในตอนนั้นกุ้ยฮวาเจียง*เพิ่งทำเสร็จ ถูกนางเอามาทำเป็นขนมหวานต่างมากมาย กินเข้าไปแล้วนั้นไม่เพียงแค่หวานหอม และแม้แต่บรรยากาศก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมชวนดม ทำให้ความเยือกเย็นฤดูใบไม้ร่วงหายไปหมด
ในตอนนั้นเขาก็คิดว่า หากเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกับนางทุกวัน ผ่านฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวด้วยกันทุกปี เกรงว่าชาตินี้ชีวิตของเขาคงจะไม่รู้สึกหนาวเหน็บเยือกเย็นอีกต่อไป
หลี่เย่อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ายังมีเวลาอีกมาก ดังนั้นจึงละเลยถาวจวินหลันอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้เมื่อคิดดูแล้วเขากลับหงุดหงิดจนอดตบหน้าตัวเองแรงๆ ทีหนึ่งไม่ได้
“พี่รอง” เสียงอ่อนหวานดังมา หลี่เย่เบนหน้าไปมองก็พบว่าเป็นองค์หญิงเก้ากับบ่าวรับใช้สองคนยืนอยู่ไม่ไกลจากตน ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเท่าไรแล้ว
หลี่เย่ยิ้มบางๆ ตามความเคยชิน “น้องเก้า”
“พี่รอง วันนี้ออกมาเดินข้างนอกได้แล้วหรือ ปกติไม่เห็นท่านออกมา ข้าเองก็ไม่กล้าไปรบกวนท่าน” องค์หญิงเก้าพูดกล่าวโทษอย่างไม่จริงจัง ยิ้มพลางเดินก้าวขึ้นมา “พี่รองต่อจากนี้ไปก็ต้องทำเหมือนวันนี้นะเพคะ หมกตัวอยู่ในห้องดื่มเหล้าทุกวันได้เรื่องที่ไหนกัน?”
หลี่เย่หัวเราะ ไม่พูดอะไร ดูแล้วไม่ได้เก็บไปใส่ใจ ในเวลานี้ หากไม่กินเหล้าให้ตัวเองชินชา เขาไม่เพียงนอนไม่หลับ แต่กลัวว่าจะทำเรื่องที่ไม่สมควรด้วย
“ถ้าจะให้ข้าพูด พี่รองไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้” องค์หญิงเก้าให้บ่าวรับใช้ถอยไปไกล แล้วก็เดินเข้ามายืนเคียงไหล่กับหลี่เย่ช้าๆ “ซวนเอ๋อร์และหมิงจู แล้วยังมีเซิ่นเอ๋อร์ยังสบายดีมิใช่หรือเจ้าคะ? พี่รองไม่ชอบหลิวซื่อ ครั้งนี้ก็เปลี่ยนชายาเอกได้พอดี ไม่มีอะไรไม่ดี ส่วนชายารองถาวน คิดว่านางเองก็ต้องปลอดภัยเช่นกัน”
หลี่เย่เก็บรอยยิ้มมององค์หญิงเก้าทีหนึ่ง “เจ้าไม่เข้าใจ”
องค์หญิงเก้า “ที่จริงแล้วข้าไม่เข้าใจมาตลอดว่าทำไมพี่รองถึงได้ชอบชายารองถาว แม้ว่านางจะดีแต่ก็มิใช่ว่าทั้งใต้หล้าจะไม่มีสตรีที่ดีกว่านาง เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ไม่ใช่เพราะว่านางดี” แต่นางพิเศษกว่าคนทั่วไป แม้ว่าคนอื่นจะดีกว่าก็ไม่ใช่ถาวจวินหลัน ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
“ท่านทำดีกับนางเช่นนี้แล้วนางทำอะไรบ้าง?” องค์หญิงเก้าเริ่มกล่าวโทษ “นางหลอกใช้ท่าน แล้วยังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอีกมากมาย จุดประสงค์ของนางใครๆ ก็ดูออก นางใจกล้ามากเกินไป มินาเล่าไทเฮาถึงไม่ชอบนาง”
หลี่เย่มององค์หญิงเก้าอย่างแปลกใจ เขาคิดมาตลอดว่าองค์หญิงเก้าชื่นชอบถาวจวินหลันมาก แต่คำพูดขององค์หญิงเก้าในวันนี้…
“ก่อนหน้านี้ข้าชอบนางมากก็จริง แต่พี่รองไม่เห็นหรือว่านางไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว?” องค์หญิงเก้าถอนหายใจ พูดเนิบๆ หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “ท่านใส่ใจนางเช่นนี้แล้วนางเคยทำแบบนี้กับท่านหรือไม่? เกรงว่าสิ่งที่นางใส่ใจมากที่สุดก็คือชื่อเสียงของนางเท่านั้น องค์หญิงแปดมีประโยชน์ต่อนาง นางยิ่งสนิทกับองค์หญิงแปดมากกว่าข้าอยู่หลายเท่าตัว”
*กุ้ยฮวาเจียง คือแยมดอกกุ้ยฮวา