แม้จะบอกว่าเป็นพี่ชายสามารถสั่งสอนน้องชายน้องสาวได้ แต่เรื่องลงแส้หรือลงไม้กลับมีน้อยมาก โดยเฉพาะหลังแต่งงานแยกเรือนกันออกไปแล้ว เฝินหยางโหวกลับลงแส้จั่วเสี่ยนอวี้เพราะเรื่องนี้ แล้วยังโบยจั่วเสี่ยนอวี้จนต้องนอนพักรักษาตัว หากสมองไม่ผิดปกติ เกรงว่าคงทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้แน่นอน
จะต้องรู้ว่าจั่วเสี่ยนอวี้ทำธุระให้เฝินหยางโหวมากมายเท่าไร? เกรงว่าคำนึงเพียงเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ควรที่จะลงมือกับจั่วเสี่ยนอวี้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อจากนี้ใครยังจะกล้าจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้เฝินหยางโหวอีก? พูดง่ายๆ ก็คือเฝินหยางโหวมองจั่วเสี่ยนอวี้เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง ทำดีก็ถือเป็นเรื่องสมควร ทำไม่ดีนั่นถือเป็นความผิดของเจ้า ควรลงโทษ
เฝินหยางโหวทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าบีบให้จั่วเสี่ยนอวี้เปลี่ยนใจ
ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจกับการกระทำของเฝินหยางโหวมาก และยิ่งไม่มีทางเข้าใจได้
ฉินฮูหยินกลับแค่นหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งแรกเจ้าค่ะ ต่อให้พวกเราหมั้นหมายกันแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ก็ลดไปเพียงแค่ห้าหกครั้งเท่านั้น”
ถาวจวินหลันตกใจจนพูดไม่ออกทันที
ท้ายสุด พอเห็นฉินฮูหยินมีท่าทีลำบากใจ ถาวจวินหลันก็ปลอบเสียงเบา “ต่อจากนี้ไปก็จะดีขึ้น ข้ายังมียาทาแผลที่ท่านอ๋องเหลือเอาไว้รักษาบาดแผลเช่นนี้ได้ผลชะงัดนัก เป็นของที่ฮ่องเต้ประทานมาให้ ตอนที่เจ้าจะกลับก็เอาไปด้วยเถิด แต่ก็ต้องฉวยโอกาสนี้พักรักษาตัวให้ดี เจ้าว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่?”
ช่วยเฝินหยางโหวอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่กลับไม่ได้ผลดีอะไร ไม่สู้ฉวยโอกาสแอบขี้เกียจ บางทีจั่วเสี่ยนอวี้คงคิดเช่นนี้อยู่แล้ว
“แต่ความคิดของเฝินหยางโหวที่ไปขอหมั้นหมายนั่น เป็นความคิดที่สามีของเจ้าช่วยคิดจริงหรือ?” ถาวจวินหลันคิดว่าถ้าเป็นความคิดของจั่วเสี่ยนอวี้ เขาต้องคิดมานานแล้วว่าจะมีวันนี้ใช่หรือไม่? ความตั้งใจของเขา…
ฉินฮูหยินพูดเนิบๆ “เป็นความคิดที่สามีของข้าช่วยคิดจริงเจ้าค่ะ แต่เฝินหยางโหวเป็นคนบีบบังคับให้สามีของข้าช่วย พอตอนนี้เกิดเรื่องกลับโทษสามีของข้าเพียงคนเดียวเสียอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นเฝินหยางโหวก็ไม่สมควรทำ” แต่ถ้าจะพูดว่าทำไมอยู่ๆ เฝินหยางโหวให้จั่วเสี่ยนอวี้ช่วยออกความคิด เกรงว่าคงมีอะไรแอบซ่อนอยู่เป็นแน่?
แต่หลังจากนั้นถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน สนทนาเรื่อยเปื่อยกันอยู่ครู่หนึ่ง พูดคุยตั้งแต่เรื่องสวน เสื้อผ้ามาจนถึงเรื่องลูก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาเดียวท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง
ฉินฮูหยินลุกขึ้นมา “นี่ก็เย็นแล้ว ข้าควรจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นมา “เช่นนั้นข้าจะไปส่งเจ้า สามีของเจ้าอยู่ที่บ้าน ข้าไม่รั้งให้เจ้าอยู่ร่วมทานอาหารด้วยกันแล้ว วันอื่นพวกเราค่อยเจอกันอีก” พอพูดจบก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมฉินฮูหยิน
ฉินฮูหยินรีบพูดด้วยความตกใจ “ชายารองหยุดฝีเท้าเถิดเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านยังไม่หายดี จะให้เหนื่อยไม่ได้” หยุดไปครู่หนึ่งนางก็พูดอีกว่า “ที่จริงแล้วยังมีอีกเรื่องที่สามีข้าฝากมาบอกท่าน ว่าถ้าปีนี้ในสวนผลเก็บเกี่ยวดี อย่าได้นำไปขาย ปีถัดไปราคาข้าวจะต้องพุ่งสูงขึ้นอีกเท่าตัวแน่นอน หากท่านอยากซื้อ ทางเจียงหนานเขาช่วยได้เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “ต้องขอบคุณพวกเจ้าที่เตือนข้า”
ส่งฉินฮูหยินออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็หันไปมองหงหลัว ถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หงหลัวก้มหัวลงเล็กน้อย “ฉินฮูหยินปฏิบัติต่อบ่าวเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ ท่าทางคงอยากสานสัมพันธ์กับพวกเราจากใจจริง ส่วนเรื่องอื่นยังไม่รู้เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันพูดว่า “ขอเพียงมีความจริงใจก็เพียงพอแล้ว”
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น พูดแค่เรื่องที่จั่วเสี่ยนอวี้ต่อกรกับเฝินหยางโหวก็ช่วยลงแรงได้ไม่น้อย อีกอย่าง จั่วเสี่ยนอวี้ก็เก่งเรื่องการค้าขาย หากร่วมมือกับเขาก็ถือเป็นวิธีที่ไม่เลว
น่าหัวเราะที่เฝินหยางโหวมีคนล้ำค่าเช่นนี้ แต่ไม่เพียงไม่ใช้ให้ดี แล้วยังพยายามโยนออกไปข้างนอก
งานศพของจวนเหิงกั๋วโหวจัดอย่างยิ่งใหญ่ แม้แต่ฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายาทก็ไปแขวนคำอาลัยด้วยตนเอง อย่างไรแล้วนั่นก็เป็นแม่แท้ๆ ของฮองเฮา ได้ยินว่าฮองเฮาเสียใจมาก ร้องไห้หนักไปแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นก็ให้คนไปที่จวนเฝินหยางโหวรอบหนึ่ง สั่งสอนเฝินหยางโหวไปแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฮ่องเต้รังเกียจคนของจวนเฝินหยางโหว เกรงว่าฮองเฮาคงเรียกเฝินหยางโหวเข้าไปสั่งสอนด้วยตนเองในวังหลวง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายเฝินหยางโหวพูดอะไร ถึงไม่เห็นได้รับโทษเลยแม้แต่น้อย และไม่ได้สั่งสอนอย่างโจ่งแจ้ง สำหรับเฝินหยางโหวแล้ว เรื่องแค่นี้ราวกับจักกะจี้เท่านั้น
ดังนั้นเฝินหยางโหวยังถึงขั้นไปสู่ขอคุณหนูสามของจวนเหิงกั๋วโหวด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง จากที่เฝินหยางโหวดูแล้ว ก่อนหน้านี้ยังถือว่าเขาคิดเด็ดดอกฟ้า แต่ตอนนี้ทั้งสองตระกูลเป็นจวนโหวเหมือนกัน ไม่มีเรื่องเด็ดดอกฟ้าอะไร อีกอย่างตอนนี้คุณหนูสามไม่แต่งงานกับเขา แล้วยังจะแต่งงานกับใครได้?
เฝินหยางโหวยังพูดว่า “รอจนผ่านการไว้อาลัยสามปี คุณหนูสามก็กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงตอนนั้นก็แต่งงานไม่ออกแล้ว”
เหิงกั๋วโหวโมโหจนแทบจะหายใจไม่ทัน และให้คนไล่เฝินหยางโหวออกไปทันที
แม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่เห็นด้วยตาตนเอง แต่ก็ได้ยินคนเล่าให้ฟังอย่างสมจริงสมจังราวกับเห็นภาพจริง จึงให้นางหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน ในขณะเดียวกันนางก็ถือว่ามั่นใจได้แล้ว เฝินหยางโหวคนนี้ไม่มีความคิดสงสารหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างเฝินหยางโหวไม่ได้เกรงใจแม้แต่น้อย ไม่ได้คิดถึงจวนเหิงกั๋วโหวแม้แต่น้อย แล้วถ้าจะบอกว่าเขาลืมคุณหนูสามไม่ได้ ก็ไม่สู้พูดว่าแก้แค้นที่จวนเหิงกั๋วกงปฏิเสธเขายังจะดีกว่า
ดูได้ตั้งแต่คราวขององค์หญิงเก้าแล้ว เฝินหยางโหวไม่ใช่คนใจกว้าง จะพูดว่าใจดำก็ไม่เกินไป เพราะว่าองค์หญิงเก้าปฏิเสธเขา เขาถึงกับลอบสังหารองค์หญิงเก้าในงานแต่งงานของนาง เช่นนั้นการแก้แค้นเหิงกั๋วโหวอย่างกำเริบเสิบสานโดยไม่สนใจใครก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ตอนนี้ถาวจวินหลันกำลังคิดว่า ไม่รู้ว่าจะเหมือนกับที่หลี่เย่คิดไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วคุณหนูสามจะต้องเข้าวังหลวงไปอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท
ตอนที่ถาวจวินหลันคาดเดาอยู่ในใจ ฮองเฮาก็เรียกพระชายาองค์รัชทายาทมาพูดคุย
พระชายาองค์รัชทายาทรู้ว่าฮองเฮาเรียกพบ ตอนแรกก็ไม่ค่อยใส่ใจนัก ถ้าไม่ใช่เพราะนางกำนัลข้างกายพูดกล่อม พระชายาองค์รัชทายาทก็คงจะอ้างว่าป่วยแล้วไม่ไป นางรู้ดีว่าฮองเฮาต้องการพูดเรื่องอะไร
คงไม่มีอะไรนอกจากเรื่องน้องสามของตนเอง พอคิดถึงน้องสามที่ฉลาดและรูปงามของตน พระชายาองค์รัชทายาทก็หงุดหงิดทันที กระทั่งเกิดความเบื่อหน่ายในใจ
พอพระชายาองค์รัชทายามมาถึงเบื้องหน้าฮองเฮา ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรแม้แต่น้อย ยังคงทำความเคารพอย่างถูกต้องตามพิธี เหมือนปกติไม่มีผิดเพี้ยน
ฮองเฮามองพระชายาองค์รัชทายาทอย่างเอ็นดูทีหนึ่ง “หลายวันมานี้เจ้าเงียบไปไม่น้อย หยวนซื่อก่อเรื่องอย่างนั้นหรือ?”
พระชายาองค์รัชทายาทส่ายหน้า ยิ้มเฝื่อนๆ “หยวนซื่อจะดิ้นรนมากเพียงใดก็ยังเป็นแค่ชายารอง ไฉนเลยจะต้องไปสนใจนางด้วย หม่อมฉันทำเพื่อพี่สามและท่านย่า” พูดไปพูดมาในดวงตาของพระชายาองค์รัชทายาทก็เต็มไปด้วยน้ำตา
ฮองเฮาถอนหายใจตาม “เรื่องนี้น่าโศกเศร้าเสียจริง” หยุดไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาก็พูดว่า “แต่น้องสามของเจ้าก็น่ากังวลนัก เฝินหยางโหวไม่รู้ความ น้องสามของเจ้ายิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าไม่แต่งงานกับเฝินหยางโหว ก็ต้องตัดผมบวชเป็นแม่ชีไป แต่นางยังเด็กขนาดนั้น…เฮ้อ”
เสียงถอนหายใจของฮองเฮา เหมือนกับค้อนหนักเล่มหนึ่ง ทุบลงไปที่หัวใจของพระชายาองค์รัชทายาทอย่างแรง ทำให้นางเจ็บปวดมาก จนกระทั่งนางคาดเดาได้แล้วว่าฮองเฮาต้องการพูดอะไรต่อไป
พอถอนหายใจแล้ว ฉับพลันนั้นพระชายาองค์รัชทายามก็เงยหน้าขึ้นมา พูดเสียงเบา “เฝินหยางโหวไม่ดีก็จริง แต่ก็ยังมีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาทเพคะ น้องสามถือเป็นครอบครัวจวนเหิงกั๋วโหวคนหนึ่ง จะต้องเสียสละสักเล็กน้อย คิดว่านางก็ต้องยินยอมเพคะ”
คำพูดนี้ของพระชายาองค์รัชทายาทหลุดออกไป ฮองเฮาก็มีท่าทีตื่นตะลึงเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “บุตรสาวจวนเหิงกั๋วโหวจะเสียสละอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน? อีกอย่างหนึ่ง คนอย่างเฝินหยางโหวก็ไม่ใช่สามีที่ดี”
พระชายาองค์รัชทายาทหลุบตาลงน้อยๆ “เพราะไม่ใช่สามีที่ดี ถึงได้บอกว่าเสียสละอย่างไรเล่าเพคะ” หากดีไปหมด ยังจะถือว่าเสียสละอะไรกัน? นั่นถือว่าเสพสุขแล้ว นางเสียสละมากมายขนาดนี้แล้ว ในตอนนี้มีกลับมีคนคิดจะมาพรากส่วนหนึ่งไป นางไม่มีทางยอมเป็นแน่
ฮองเฮาเลือกสตรีมากมายให้องค์รัชทายาทนางก็ไม่ต่อต้าน แต่ไม่มีทางเป็นน้องสาวของตนเอง นางจะจัดการคนอื่นอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ แต่หากเป็นคุณหนูจากจวนเหิงกั๋วกงอีกคนหนึ่ง นางก็ไม่อาจจัดการได้ตามใจชอบอีกแล้ว
ดังนั้นต่อให้ฮองเฮาไม่พอใจ นางก็ไม่มีทางตอบตกลงอย่างง่ายดายแน่นอน
ฮองเฮาจ้องมองพระชายาองค์รัชทายาทนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดเตือนพระชายาองค์รัชทายาทเล็กน้อย “นั่นเป็นน้องท้องเดียวกับเจ้า เป็นน้องแท้ๆ ที่เกิดจากแม่คนเดียวกัน!”
พูดจนถึงสุดท้าย น้ำเสียงก็เน้นหนักไปเล็กน้อย
พระชายาองค์รัชทายาทเม้มริมฝีปาก ออกแรงบีบถ้วยชากระเบื้องขาวในมือ น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง “แต่นางเป็นสตรีของจวนเหิงกั๋วกง เสียสละเพื่อจวนเหิงกั๋วกงก็ถือเป็นเรื่องธรรมดานี่เพคะ ตอนนี้เฝินหยางโหวสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ ไม่ส่งหญิงสาวไปแต่งงานสักคน เขาจะยอมหยุดได้อย่างไร?”
นี่คือความจริง เฝินหยางโหวไม่มีทางยอมรามือ ต่อจากนี้ตอนที่จัดการธุระแทนองค์รัชทายาทก็ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
ฮองเฮาสูดลมหายใจเข้าลึก กดความโกรธลงไป อย่างไรคำพูดของพระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่ได้ผิด ดังนั้นนางไม่อาจแสดงความโมโหออกมาได้ “ความตั้งใจของพ่อแม่เจ้าคือส่งน้องสามเข้ามาในวังหลวง อยู่ข้างกายองค์รัชทายาท วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อถามความคิดของเจ้า”
พระชายาองค์รัชทายาทฟังแล้วก็ไม่พอใจ รู้ว่าฮองเฮาทนพูดอ้อมค้อมกับนางไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงพูดออกมาตรงๆ นี่เป็นการบอกว่านางจะต้องให้คำตอบอย่างหนึ่งกับฮองเฮา
พระชายาองค์รัชทายาทกัดฟันแน่น เงยหน้ามองฮองเฮา “เช่นนั้นความคิดของเสด็จแม่เล่าเพคะ?”
ฮองเฮามองตาของพระชายาองค์รัชทายาทที่มีน้ำเอ่อคลอ ฉับพลันนั้นก็เริ่มทนไม่ไหว แต่นางก็ยังคงกัดฟันพูดต่อ “ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างไร ตอนนี้เจ้าก็ไม่มีลูกชาย มีน้องสาวคอยช่วยเจ้าก็ยังดีกว่าต้องไปเลี้ยงลูกของคนอื่น เจ้าคิดว่ามีเหตุผลหรือไม่?”