หยวนฉงหวาตะลึงไป จากนั้นก็หลุบตาลง “องค์รัชทายาทหลุดปากพูดออกมาเอง ที่จริงองค์รัชทายาทไม่ค่อยชอบพระชายานัก พระชายาทำเรื่องนั้น องค์รัชทายาทเองก็หงุดหงิด กลัวว่าจะมีคนรู้ แล้วจะพาลมาถึงเขา และคิดกล่าวโทษพระชายาว่าทำงานไม่รอบคอบ ทำไมถึงไม่จัดการตวนชินอ๋องให้ตายไปพร้อมกัน”
หยวนฉงหวาพูดอย่างเย้ยหยัน ถาวจวินหลันกลับไม่มีใจไปครุ่นคิดความหมายของหยวนฉงหวา ในหัวของนางตอนนี้เต็มไปด้วยท่าทางเคร่งขรึมขององค์ชายรัชทายาท
นางยังจำท่าทางขององค์รัชทายาทตอนฉลองวันเกิดหลี่ในวังเต๋ออันได้ ตอนนั้นนางยังคิดว่าองค์รัชทายาทใจกว้าง พอตอนนี้คิดถึงภาพตอนที่องค์รัชทายาทพูดเช่นนั้นก็รู้สึกว่าจอมปลอมเป็นที่ยิ่ง
ด้วยองค์รัชทายาทเป็นพี่ชาย นั่นจึงถือเป็นแบบอย่างตัวร้ายดั้งเดิม อะไรเรียกว่าไม่รักพี่รักน้อง? แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว อะไรเรียกว่าไม่สนใจสายเลือดเดียวกัน? นี่ก็ถูกต้องแล้ว อะไรเรียกว่าใจมารดั่งงูพิษ นี่ก็ถูกต้องแล้ว!
แม้จะบอกว่าหลี่เย่ไม่ใช่คนดีนัก แต่อย่างน้อยหลี่เย่ก็ไม่ได้หวาดระแวงคิดจะกำจัดองค์รัชทายาทจนถึงชีวิต ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้องค์รัชทายาทไม่ใช่องค์รัชทายาท เขาก็ยังเป็นลูกชายคนโตของฮ่องเต้ ต่อให้ไม่มีอำนาจอะไร แต่อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่ากินอยู่ได้โดยไร้กังวล
หากคิดอยากจัดการองค์รัชทายาทให้ตายไปจริงๆ ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่คงจะทำสำเร็จไปนานแล้ว
หลี่เย่อยากให้ฮองเฮาตายแบบไม่มีที่ฝัง อย่างไรแล้วฮองเฮาก็ไม่ใช่คนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับหลี่เย่ อีกทั้งระหว่างสองฝ่ายก็ยังมีความบาดหมางกัน
แต่องค์รัชทายาทเล่า? หลี่เย่ทำอะไรให้กันแน่? องค์รัชทายาทถึงอยากให้หลี่เย่ตายไปให้พ้นสายตา!
พูดว่าไม่โมโหนั้นก็ถือว่าโกหก ถ้าหากองค์รัชทายาทยืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้ นางยังคิดอยากจะก้าวเข้าไปตบคนที่ไร้เยื่อใย จอมปลอมคนนั้นสักที! เทียบกับความเ**้ยมโหดขององค์รัชทายาแล้ว วิธีของหลี่เย่…ช่างไม่พอดูเสียจริง
ใช่แล้ว องค์รัชทายาทเป็นลูกชายแท้ๆ ของฮองเฮา แม้ว่าฝีมือจะไม่สู้ฮองเฮา แต่ถ้าพูดถึงความเ**้ยมโหดกลับไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย ฮองเฮาเป็นเช่นนั้น องค์รัชทายาทจะดีได้อย่างไร?
พอหัวเราะเยาะแล้ว ถาวจวินหลันก็มองหยวนฉงหวาอย่างสงสาร “ที่จริงแล้วเจ้าต้องรู้สึกดีใจแทนลูกของเจ้า มีพ่อที่เ**้ยมโหดไร้เยื่อใยขนาดนี้ ชีวิตของเขาคงไม่มีความสุขแน่นอน”
หยวนฉงหวาขมวดคิ้ว ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “เจ้าไม่ต้องสนใจ ตอนนี้ข้าขอแค่ให้เจ้าช่วยส่งลูกชายเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาทมาเลี้ยงใต้ชื่อข้าก็พอแล้ว ส่วนเจ้าจะทำอะไรกับองค์รัชทายาทข้าก็ช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น”
ถาวจวินหลันเข้าใจความคิดของหยวนฉงหวา คิดไปคิดมานางก็แย้มยิ้ม “ข้าช่วยเจ้าได้ แต่เจ้าต้องคิดให้ดี แม้จเด็กคนนี้เป็นสายเลือดขององค์รัชทายาท แต่หลังจากฮ่องเต้รู้ความจริงแล้วอาจไม่เก็บเขาเอาไว้ เจ้ารออีกช่วงหนึ่ง ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวอะไร ข้ารับประกันได้ว่าในอนาคตต่อให้องค์รัชทายาทล่มจมลง ข้าจะต้องปกป้องชีวิตของเจ้าเป็นแน่ ให้เจ้าสบายไปจนถึงบั้นปลายชีวิต เป็นอย่างไรบ้าง?”
หยวนฉงหวาอยากได้ลูกชาย ก็ด้วยอยากมีที่พึ่งพาในยามแก่ชรา นางรับประกันแบบนี้ ย่อมดึงดูดใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ถาวจวินหลันยิ้มมองสีหน้าท่าทีของหยวนฉงหวาที่เริ่มมีความลังเลปรากฏขึ้น
สุดท้ายหยวนฉงหวาก็ถามว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าทำได้มากขนาดนั้น”
“ทำไมถึงไม่เชื่อ? เจ้าอยากให้องค์รัชทายาทตายไม่ใช่หรืออย่างไร? หากองค์รัชทายาทตายไป เจ้าว่าภายในท่านอ๋องและองค์ชายที่เหลืออยู่ใครมีความหวังมากที่สุด?” ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม ท่าทีมีเมตตาช่วยหยวนฉงหวาคิด “และข้าเป็นแม่ของซวนเอ๋อร์ ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากตวนชินอ๋องมาก ไม่ว่าจะช่วยเจ้าพูดตรงๆ หรือว่าคอยเป่าหูก็เป็นเรื่องง่ายดายนัก ไม่ใช่หรืออย่างไรกัน?”
หยวนฉงหวาหัวเราะแฝงด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าเอาความมั่นใจมาจากที่ใด”
รอยยิ้มของถาวจวินหลันไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงยังคงเย็นสบายเช่นเดิม “เจ้าว่าข้าเอาความมั่นใจมาจากใดเล่า?”
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอาคำพูดเหล่านี้ไปบอกคนอื่นอย่างนั้นหรือ” หยวนฉงหวาเลิกคิ้ว “หากองค์รัชทายาทรู้เรื่องเหล่านี้ เจ้าว่าเขาจะคิดอย่างไร?”
“เจ้าเอาไปพูดเถิด” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย “ข้าเป็นเพียงแค่คนที่เจ้ารังเกียจเท่านั้น แต่องค์รัชทายาทนั้นเป็นคนที่ฆ่าลูกของเจ้า ถ้าหากเจ้ายอมช่วยเขา ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันที่มองหยวนฉงหวาด้วยแววตาเป็นประกายก็พูดประโยคสุดท้าย “ข้าพูดแล้วจะเป็นอะไร? องค์รัชทายาทรู้แล้วจะทำไม? แต่เดิมก็เป็นน้ำกับไฟอยู่แล้ว ส่วนคนอื่น พวกเขาไม่จำเป็นต้องเชื่อ แล้วทำไมเจ้าจะต้องหาเรื่องไม่พอใจเองด้วย?”
“เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว” หยวนฉงหวาสะอึกไปกับคำพูดนี้จนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด
ถาวจวินหลันยังคงแย้มยิ้ม ทว่าครั้งนี้กลับมีความเศร้าแฝงอยู่เล็กน้อย “คนย่อมต้องเปลี่ยนไปตามเวลา เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? หากเป็นแต่ก่อน เจ้าจะคิดแผนการมากมายขนาดนี้หรือไม่เล่า?”
หยวนฉงหวาครุ่นคิดคำพูดของถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หัวเราะไม่พูดอะไรอีก แต่รอยยิ้มนั้นมองอย่างไรก็ขมขื่นเป็นอย่างมาก
ถาวจวินหลันพูดต่อไปอย่างไม่สนใจอะไร “คุณหนูสามคนนั้นยังอยู่ในช่วงไว้อาลัย หากไม่ส่งเข้ามาในวังหลวงตอนนี้ก็ต้องรออีกสามปี ฮองเฮาต้องให้ตำแหน่งชายารองกับนาง เจ้าเตรียมพร้อมเอาไว้ให้ดี หากพวกนางสองพี่น้องสมัครสมานสามัคคีกัน ชีวิตของเจ้าจะต้องลำบากแน่นอน แต่หาก…เกรงว่าคงจะไม่มีเวลามาสนใจเจ้ามากขึ้นอีก”
หยวนฉงหวาเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงหัวเราะเสียงเย็น “แค่ปลุกระดมเท่านั้น แต่อย่างไรก็ยังเป็นพี่น้องแท้ๆ กัน”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “แน่นอนว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ข้าไปสืบมาเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในจวนก็ไม่ได้สนิทสนมกัน อย่างไรอายุก็ต่างกัน แล้วตอนที่พระชายาองค์รัชทายาทแต่งงาน คุณหนูสามเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? หลายปีผ่านมานี้ย่อมไม่ต้องพูดถึงความห่างเหิน แม้แต่พระชายาองค์รัชทายาทหวาดระแวงเพียงใด เจ้าย่อมรู้ดีกว่าข้า อีกทั้งหากคุณหนูสามรู้ว่าพี่สาวของตนไม่ได้ต้อนรับนาง แล้วยังแนะนำให้นางเสียสละด้วย จะเป็นอย่างไร?”
หยวนฉงหวานั้นตอบกลับในใจเงียบๆ กลัวว่าสถานการณ์ต่อจากนี้คงเหมือนน้ำกับไฟ ไม่มีความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องอีก
แต่หยวนฉงหวาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มและพูดว่า “จนถึงวันนี้ ข้าคิดได้แล้วว่าเจ้ากับข้าไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น ที่จริงแล้วเจ้าเองก็เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ พวกเราแค่เพียงพอฟัดพอเหวี่ยงเท่านั้น”
ถาวจวินหลันตะลึงไปเล็กน้อย รู้สึกว่าหยวนฉงหวาพิลึก ยากจะเข้าใจ แต่ก็ยังยิ้มและพูดกับหยวนฉงหวาว่า “นอกจากเทพแล้ว ใครบ้างไม่เห็นแก่ตัว? เจ้าแค่คิดว่าข้าดีเกินไปเท่านั้น”
เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นนิสัยของมนุษย์ นางไม่ใช่เทพ แล้วจะไม่มีนิสัยแบบนี้ได้อย่างไร? หากนางไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์แล้ว นางจะปกป้องลูกหญิงชายทั้งสองคนได้อย่างไร? จะป้องกันคนมีประสงค์ร้ายได้อย่างไร?
พอพูดเรื่องเหล่านี้จบแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่อยากอยู่ต่อ ยิ้มพลางโบกมือเรียกซวนเอ๋อร์ “ซวนเอ๋อร์ ไปกัน พวกเรากลับจวน”
ซวนเอ๋อร์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอาดอกไม้ใส่ไว้ในตะกร้า วิ่งออกมาจากดงดอกไม้ เอามือเล็กบีบสองนิ้วของถาวจวินหลันเอาไว้แน่น
พอพยักหน้าให้กับหยวนฉงหวา ถาวจวินหลันก็พูดว่า “ข้าขอตัวไปก่อน หยวนเหลียงตี้จงรักษาตนเองให้ดี คิดว่าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
หยวนฉงหวาพยักหน้าน้อยๆ “เช่นนั้นข้าไม่ส่งชายารองถาวแล้ว”
เพียงไม่นาน ต่างฝ่ายต่างก็แยกไปคนละทาง หลังจากถาวจวินหลันขึ้นรถม้ามาแล้ว ก็อุ้มซวนเอ๋อร์เข้ามานั่งในอ้อมกอด ยิ้มพลางบีบมืออวบอ้วนของเขา “ซวนเอ๋อร์ พอกลับไปแล้ว เจ้าพาน้องสาวไปเล่นดีหรือไม่? พากันไปเล่นป๋องแป๋งเถิด หรือว่าให้ข้าพาพวกเจ้าไปหากั่วเจี่ยเอ๋อร์ดี?”
กั่วเจี่ยเอ๋อร์เป็นน้องสาวของซวนเอ๋อร์เช่นเดียวกัน ซวนเอ๋อร์เองก็สนิทกับนาง อีกทั้งอยู่ด้วยกันช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ยิ่งสนิทสนมมากขึ้น แม้จะพูดว่าไม่อาจสู้หมิงจูได้ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก
พูดแล้วก็แปลก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดหรือไม่ ซวนเอ๋อร์จึงรักและเอ็นดูหมิงจูมากกว่า และยิ่งมีความอดทนมากกว่า ปกติแล้วยังไม่ค่อยรู้สึก แต่เมื่อเทียบกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์แล้วก็เห็นชัดมากยิ่งขึ้น
เรื่องนี้ถาวจวินหลันรู้สึกลุแก่โทษอยู่บ้าง ยังดีที่จิ้งหลิงไม่คิดมาก มิเช่นนั้นคงอึดอัดไปกันหมดมิใช่หรืออย่างไร? ต่อให้หลี่เย่มอง หลี่เย่ก็ยังรู้สึกขำขัน
ภายในจวนมีเด็กสี่คน มีเพียงแค่เซิ่นเอ๋อร์ที่โดดเดี่ยวมากที่สุด ซวนเอ๋อร์ไม่เคยพูดถึงน้องชายคนนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่นด้วยกัน เจียงอวี้เหลียนไม่ยอมปล่อยเซิ่นเอ๋อร์ออกมา ปกติแล้วก็คอยดูอยู่ในสายตาตลอดเวลา เหมือนกลัวว่าคลาดสายตาไปแล้วจะไม่เห็นอีกอย่างนั้น
ซวนเอ๋อร์รับคำอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ไม่อยากเข้าวังอีกแล้ว”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซวนเอ๋อร์แสดงอารมณ์เช่นนี้ ถาวจวินหลันแปลกใจเล็กน้อย “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงไม่อยากเข้าวังหลวงเล่า? เพราะไม่ชอบเสด็จทวดหรือ?”
“ไม่ชอบ!” ซวนเอ๋อร์หน้าขึงขัง “กระโปรงแดงน่าเบื่อ”
กระโปรงแดง หมายถึงอี๋เฟย คิดไม่ถึงว่าซวนเอ๋อร์จะไม่ชอบอี๋เฟยถึงเพียงนี้
“เสด็จปู่ ไม่ชอบ” ซวนเอ๋อร์พลันพูดถึงฮ่องเต้อีก ถาวจวินหลันงุนงงทันที ฮ่องเต้รักและเอ็นดูซวนเอ๋อร์ ดังนั้นซวนเอ๋อร์จึงสนิทสนมใกล้ชิดกับฮ่องเต้มาโดยตลอด
“ทำไมถึงไม่ชอบฮ่องเต้เล่า?” ถาวจวินหลันหลอกล่อเสียงอ่อนโยน “หรือกลัวว่าเสด็จปู่มีองค์ชายเก้าให้โปรดปรานแล้ว พระองค์จะไม่เอ็นดูเจ้าอย่างนั้นหรือ?” นางพูดเองก็อดหัวเราะไม่ได้ ซวนเอ๋อร์น่าจะไม่มีความคิดเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่? อีกทั้งซวนเอ๋อร์คงไม่เข้าใจความหมายของนางด้วยซ้ำไป
“เหม็น” ซวนเอ๋อร์พ่นคำพิลึกน่าแปลกใจนี้ออกมา จากนั้นก็ถามอะไรไม่ได้ แต่เมื่อถามว่าทำไมก็บอกว่าเหม็น ถาวจวินหลันไม่เข้าใจความคิดของเขาจริงๆ จึงทำได้แค่ปล่อยไป
แต่หลังจากนั้น นางก็พยายามให้ซวนเอ๋อร์หลีกเลี่ยงฮ่องเต้ มิเช่นนั้นเจ้าเด็กคนนี้คงโมโห แล้วพูดเรื่องไม่น่าฟังต่อหน้าคนอื่นเป็นแน่
ตกดึกถาวจวินหลันอยากจะบอกเรื่องที่หยวนฉงหวาพูดกับนางให้หลี่เย่รู้
แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่นางอยากจะพูด กลับหาโอกาสพูดออกไปไม่ได้ ตอนที่รับประทานอาหารนั้นย่อมไม่เหมาะสม คนเยอะปากมากย่อมพูดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ แต่เดิมหลังจากทานข้าวนั้นเหมาะสมที่สุด ปกติแล้วพวกเขาสามีภรรยาสองคนมักจะพูดคุยกันในเวลานี้ แต่วันนี้หลี่เย่กลับไปที่ห้องหนังสือ บอกว่ามีธุระต้องจัดการ
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำได้แค่รอให้หลี่เย่กลับมาเท่านั้น แต่นางกลับรอจนหลับไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลี่เย่ รอจนผ่านไปกว่าค่อนคืนกว่าจะกลับมา แต่เพราะสะลึมสะลือนางเองก็ไม่ได้คิดจะพูดถึงเรื่องนี้
พอเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ยิ่งไม่มีโอกาส
สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องสองสามวัน ฉับพลันถาวจวินหลันก็รู้สึกแปลก หลี่เย่เป็นอะไรไป?