บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 486 ไร้ศักดิ์ศรี

กู้ซีถูกแต่งตั้งเป็นจวงผิน  

 

 

หลังจากถาวจวินหลันรู้ข่าวนี้แล้ว นางก็ตกใจจนอ้าปากค้าง จวงผินนั่นเป็นตำแหน่งผินทั้งเก้า ถือว่าสูงมากแล้ว อย่างน้อยสำหรับสตรีที่เพิ่งเข้าวังหลวงก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือในเมื่อเป็นตำแหน่งผินทั้งเก้า นั่นก็ถือว่าเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้แล้ว  

 

 

กู้ซีกลายเป็นหญิงของฮ่องเต้  

 

 

เป็นไปได้อย่างไร? ถาวจวินหลันจึงรีบถามทันที “เป็นไปได้อย่างไร?”  

 

 

องค์หญิงแปดส่ายหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เรื่องนี้ล้อเล่นได้หรือเจ้าคะ? ท่านคิดว่าข้าไม่รู้ความสำคัญของเรื่องนี้หรืออย่างไรเจ้าคะ? เดิมไทเฮาตั้งใจมอบกู้ซีให้กับจวนตวนชินอ๋อง แม้ว่าจะไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป แต่มีคนรู้เรื่องนี้มากมายตั้งเท่าไรเล่าเจ้าคะ?”  

 

 

ไม่ต้องพูดว่าพวกนางรู้กันเป็นอย่างดี แม้แต่ฮ่องเต้ เกรงว่าคงรู้อยู่แก่ใจเช่นเดียวกัน แต่ด้วยรู้อยู่แก่ใจ ถึงได้น่าตกใจ โมโหและเสียหน้า  

 

 

ตั้งแต่อดีต แม้จะเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่มีใครถูกกล่าวชื่นชมบ้างเล่า? ไม่มีใครรอดพ้นการตำหนิไปได้ ตอนนี้อย่างเดียวที่น่าดีใจก็คือเรื่องนี้ยังไม่ได้ทำพิธีจริงจังเท่านั้นเอง ถือว่าไว้หน้าฮ่องเต้และหลี่เย่ มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  

 

 

โดยเฉพาะหลี่เย่ ความแค้นที่ถูกแย่งภรรยาย่อมไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเป็นบิดาของตนเอง ดั้งนั้น แม้ว่าจะโมโหแต่ก็ไม่มีที่ให้ระบายเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแก้แค้นเลย  

 

 

แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็เสียหน้าอยู่ไม่น้อย แม้จะไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้า แต่ลับหลังมีใครบ้างไม่เอาไปนินทา? แม้แต่ฮองเฮาเองก็คงจะพูดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน  

 

 

ถาวจวินหลันทำใจรับเรื่องนี้อย่างยากเย็น แล้วสงสัยบางเรื่องจึงถาม “ถ้าเช่นนั้นไทเฮามีปฏิกิริยาอย่างไรหรือ? ขุนนางมีปฏิกิริยาเช่นไร? ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?”  

 

 

พูดตามจริง แม้ว่านางไม่อยากให้กู้ซีเข้าจวนมา แต่ก็ไม่คิดจะใช้วิธีนี้มาบรรลุเป้าหมาย มิเช่นนั้นจวนตวนชินอ๋องคงเสียหน้าไปอีกนาน  

 

 

แล้วคนๆ นี้ยังเป็นฮ่องเต้ จวนตวนชินอ๋องต้องถูกลบหลู่ ไม่เพียงแค่ไม่อาจแก้แค้นได้ แล้วยังจะต้องแสร้งยิ้มเหมือนไม่เป็นอะไรอีก บางทีอาจต้องแสดงความยินดีที่ฮ่องเต้ได้หญิงงามคนใหม่ด้วยซ้ำ  

 

 

ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องนี้ ก็เหมือนถูกคนเอากองไฟยัดเข้ามา ฉับพลันก็ร้อนรุ่มหงุดหงิดไปหมด  

 

 

องค์หญิงแปดถอนหายใจ พูดเสียงเบาว่า “ไทเฮาได้ยินข่าวนี้ก็สลบไปเลยเจ้าค่ะ ส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋นก็เพิ่งจะมีคนส่งฎีกา แล้วเสด็จพ่อก็บอกว่าเป็นเรื่องภายในวังหลัง ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก และถูกตีกลับไป ทั้งยังตำหนิว่าไม่รู้จักทำงาน รู้จักแต่สนใจเรื่องอื่น จึงสั่งโบยขุนนางบุ๋นคนนั้นอีกยี่สิบไม้ ซ้ำยังถอดกางเกงโบยกลางท้องพระโรงต่อหน้าขุนนางมากมายอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ยังจะมีใครกล้าพูดอีกเล่าเจ้าคะ?  

 

 

ถาวจวินหลันพลันแค่นหัวเราะ ตอนนี้ราชสำนักมีขุนนางกล้าเกลี้ยกล่อมอยู่น้อย คนไม่กลัวตายยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่ ฮ่องเต้กระทำเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครยอมถูกโบยตีต่อหน้าต่อตาอีก  

 

 

สำหรับขุนนางบุ๋นที่ร่างกายอ่อนแอ โบยตียี่สิบไม้ก็แทบจะพรากไปกว่าครึ่งชีวิต อีกทั้งถกกางเกงตีต่อหน้าขุนนางคนอื่นก็ยิ่งเสียเกียรติ…  

 

 

ร่างกายเจ็บปวดยังไม่พอ ทั้งต้องเสียศักดิ์ศรี แล้วยังมีใครกล้าเสี่ยงอีก? อีกทั้งเหมือนที่ฮ่องเต้พูดเอาไว้ นี่เป็นเรื่องของวังหลัง ราชสำนักไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยแม้แต่น้อย  

 

 

ถาวจวินหลันอยากพบหลี่เย่จนสติแทบแตก เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแม้ว่าจะไม่ชอบกู้ซีอย่างไร หลี่เย่ก็คงจะรู้สึกไม่ดีเช่นกัน ไม่ใช่เพราะกู้ซีแต่เป็นเพราะการกระทำของฮ่องเต้…  

 

 

เรื่องตอนนั้นหลี่เย่ก็คิดกล่าวโทษฮ่องเต้อยู่บ้าง มาถึงตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก เกรงว่าความสัมพันธ์พ่อลูกที่เหลืออยู่ต้องสลายหายไปใช่หรือไม่เล่า?  

 

 

“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวานตอนบ่าย วันนี้ก็กระจายออกไปแล้ว” องค์หญิงแปดขมวดคิ้ว เอามือไปอิงไว้ที่เตาผิง รู้สึกว่าอุ่นขึ้นมาแล้วถึงได้ยกจอกชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง “ท่านจะต้องเตรียมใจไว้ให้ดี เกรงว่าเรื่องนี้คงจะแพร่สะพัดไปช่วงหนึ่ง”  

 

 

ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “ต่อให้ไม่ได้เตรียมพร้อมก็คงว้าวุ่นใจไปช่วงหนึ่งแน่ๆ ” อย่ามองว่าบรรดาหญิงสูงศักดิ์เหล่านั้นดูสูงส่งมีมารยาท แต่ความเป็นจริงปากยื่นตายาว ชอบนินทาเช่นเดียวกัน ต่อหน้าอาจจะพูดไม่ได้ แต่ลับหลังก็ต้องแอบพูดบ้าง  

 

 

แม้กระทั่งมีคนไม่รู้จักกาลเทศะ ต้องเข้ามาสอบถามแล้วถึงได้ยอมจบไป  

 

 

คิดถึงเรื่องเหล่านั้นถาวจวินหลันก็ปวดหัวอย่างรุนแรง  

 

 

“ต่อจากนี้ถ้าพบกัน คงจะอึดอัดน่าดู” องค์หญิงแปดพูดพลางส่ายหัว มองไปยังถาวจวินหลันอย่างสงสาร ฉับพลันก็ส่ายหัวอีกครั้ง “ต่อจากนี้ไทเฮาคงจะรำคาญใจน่าดู”  

 

 

ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ ถือว่าอกตัญญู ทั้งที่รู้ความคิดของไทเฮาอยู่แล้ว ก็ยังจะให้กู้ซีไปอยู่ในวังหลังของตนเอง ทำให้ไมทเฮาเกรี้ยวโกรธ  

 

 

แต่นั่นเป็นฮ่องเต้ ใครจะกล้าพูดตำหนิ? อยากอายุสั้นนักหรืออย่างไร?  

 

 

องค์หญิงแปดกดเสียงต่ำทันที พูดข้างหูถาวจวินหลัน “ที่จริงแล้วเรื่องนี้เสด็จแม่ของข้าบอกว่ามีเงื่อนงำอยู่เล็กน้อย แม้จะบอกว่ากู้ซีเคยเข้าวังหลวงมา แต่ก็ไม่เคยพบฮ่องเต้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าขันทีไม่รู้เรื่องรู้ราวคนไหนพากู้ซีเดินไปทางที่ฮ่องเต้ต้องเดินผ่าน ไปๆ มาๆ ฮ่องเต้ถึงได้บังเอิญพบเข้า”  

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าเหลื่อเชื่อ “ต่อให้บังเอิญพบกัน รู้ว่ากู้ซีมีฐานะเช่นไร ฮ่องเต้ก็คงไม่ถึงขั้นทำเรื่องสิ้นคิดขนาดนี้หรอก”  

 

 

“อย่างไรเรื่องนี้ก็มีเงื่อนงำมาก แต่บ่าวที่อยู่ในสถานการณ์นั้นกลับปากแข็งเหมือนเปลือกหอยไม่มีผิด ถามไม่ได้ความเลยแม้แต่น้อย” องค์หญิงแปดคล้ายสนใจเรื่องนี้อย่างมาก ขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย “ดังนั้น เสด็จแม่ของข้าจึงบอกว่าต้องมีเบื้องหลังแน่ อีกทั้งยังพูดออกมาไม่ได้”  

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “คิดว่ามีเพียงอย่างนี้เท่านั้นถึงจะอธิบายได้” แต่นางไม่อยากคาดเดาอะไรอีกแล้ว อย่างไรก็เป็นเรื่องด่างพร้อยภายในครอบครัว หากเป็นไปได้แม้แต่คิดนางยังไม่อยากจะคิด  

 

 

แต่ที่องค์หญิงแปดพูดเช่นนี้กับนางก็ด้วยหวังดี จึงได้ฝืนยิ้มเอ่ยพูดขอบใจองค์หญิงแปด “วันนี้ต้องขอบใจเจ้าที่เดินทางมาบอกเรื่องนี้กับข้าโดยเฉพาะ มิเช่นนั้นกว่าข้าจะรู้เรื่องก็คงทำให้คนอื่นขำขันเสียแล้ว”  

 

 

องค์หญิงแปดสะบัดมือ พูดแค่ว่า “พวกเราถือเป็นอะไรกัน?”  

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มอย่างซึ้งน้ำใจ แล้วพูดว่า “ข้าต้องไปสั่งทุกคนในจวนแล้ว ไม่รั้งองค์หญิงแปดให้อยู่นานแล้ว รอวันไหนข้ามีเวลาว่าง ข้าจะไปหาเจ้า”  

 

 

องค์หญิงแปดก็คิดเช่นนี้ จึงลุกขึ้นขอตัวลา  

 

 

หลังจากส่งองค์หญิงแปดกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้หงหลัวเรียกคนคอยดูแลจวนทุกคนมา และยังมีเจ้านายทั้งหลาย แม้แต่เจียงอวี้เหลียนที่ร่างกายอ่อนแอก็ถูกเชิญมาเช่นเดียวกัน  

 

 

พอคนมาครบแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดเพียงว่า “ต่อจากนี้ห้ามทุกคนพูดถึงคุณหนูกู้อีก แล้วยังมีเรือนที่จัดเก็บใหม่ด้วย คนที่ขัดคำสั่ง ต้องส่งขายออกนอกจวนทันที!”  

 

 

สิ้นเสียง ทุกคนก็เงียบเป็นเป่าสากทันที เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย  

 

 

น้อยครั้งที่ถาวจวินหลันจะมีท่าทีทรงอำนาจเคร่งขรึมขนาดนี้ ตอนนี้มีท่าทีเช่นนี้ ก็ทำให้คนเหล่านี้นิ่งอึ้งไป  

 

 

สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนก็ถามว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น?”  

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่อธิบายอย่างละเอียด เพียงแค่สั่งเนิบๆ “ทำตามที่ข้าพูดก็พอแล้ว เรื่องอื่นพวกเจ้าไม่ต้องคิดเยอะ เอาเถอะ นอกจากเจ้านายทั้งหลายแล้ว คนอื่นก็แยกย้ายกันไปเถิด”  

 

 

เพียงไม่นาน ทุกคนก็พากันแยกย้ายไปพร้อมกับความสงสัย ถาวจวินหลันถึงได้เหลือบมองความสงสัย ความกังวล และกระวนกระวายของทุกคน แล้วพูดออกมาช้าๆ ว่า “ฮ่องเต้แต่งตั้งกู้ซีเป็นจวงผิน ต่อจากนี้ไปถือเป็นคนในวังหลวง ไม่เกี่ยวข้องกับจวนตวนชินอ๋องอีก! ต่อให้มี ก็มีเพียงความสัมพันธ์ญาติผู้น้องกับท่านอ๋องเท่านั้น!”  

 

 

ตอนแรกถาวจวินหลันก็ไม่ได้ปิดเรื่องกู้ซีจะเข้ามาในจวน ดังนั้นนางจึงไม่มั่นใจว่ามีคนมากเท่าไรที่รู้เรื่องนี้แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงลองดูเท่านั้น  

 

 

พอเห็นทุกคนมีท่าทีสงสัยไม่แน่ใจ ถาวจวินหลันก็เอ่ยปากอีกว่า “เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ พวกเจ้าต้องเงียบเอาไว้ และยิ่งไม่อาจกระจายเรื่องนี้ออกไป มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องดีเป็นแน่! อีกอย่าง อย่าพูดถึงเรื่องนี้ เดี๋ยวท่านอ๋องจะคิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก! ถ้าใครไม่ฟัง ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ไว้หน้า!”  

 

 

จิ้งหลิงพูดแสดงจุดยืนของตนเองก่อน “เรื่องนี้ข้ารู้หนักเบา ไม่กล้าพูดมั่วอย่างแน่นอน ข้าสั่งกำชับคนเบื้องล่างอย่างดีแล้ว ไม่มีทางให้พวกนางพูดนินทาแน่นอน!”  

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ มองไปยังจิ้งหลิงทีหนึ่งด้วยความชื่นชม นางลำเอียงชอบจิ้งหลิง ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล  

 

 

จากนั้นคนอื่นๆ ก็แสดงจุดยืนเช่นเดียวกัน แม้แต่เจียงอวี้เหลียนก็ไม่กล้าเสแสร้ง แม้กระทั่งท่าทีก็ยังจริงใจมาก แต่ดูท่าทีถอนใจของนาง ถาวจวินหลันก็รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนคงดีใจมากกว่าเป็นกังวลและตกใจเป็นแน่  

 

 

นางจึงอดส่ายหัวไม่ได้ เพียงทุ่มเทแค่ความจริงใจเพียงนิดเดียว คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง หลี่เย่จะเอาอะไรมาจริงใจต่อนาง? ต่อให้นางเป็นหลี่เย่ นางก็ไม่ชอบเจียงอวี้เหลียน  

 

 

ตอนที่ทุกคนแยกย้ายไปกันแล้ว ถาวจวินหลันก็หลับตารวบรวมสมาธิ แล้วคิดอะไรบางอย่างได้ทันที ลุกขึ้นมานั่งตัวตรง เรียกหงหลัวติดต่อกัน  

 

 

หงหลัวรีบเข้ามาในห้อง “ชายารองเป็นอะไรหรือเจ้าคะ? มีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ?”  

 

 

ถาวจวินหลันมีสีหน้าลำบากใจ “ในเมื่อเก็บกวาดเรือนไปแล้ว คงปล่อยว่างไว้ไม่ได้ มิเช่นนั้นคนอื่นจะพากับคิดไปเรื่อยเปื่อย ข้าคิดว่าคงจะต้องหาวิธีปิดบังเรื่องนี้”  

 

 

หงหลัวครุ่นคิดพิจารณาคำพูดของถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าสมเหตุสมผล แต่นางก็คิดแผนการดีๆ ไม่ออก เพียงแค่พูดอย่างลำบากใจว่า “บ่าวไม่มีความคิดดีๆ เจ้าค่ะ” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็พูดอย่างสงสัย “อีกทั้งต้องถามท่านอ๋องก่อนแล้วค่อยว่ากันหรือไม่เจ้าคะ?”  

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถามท่านอ๋องแล้ว แต่ท่านอ๋องไม่มีเวลามาพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ข้าคิดหาวิธีก่อน ถึงเวลาค่อยคุยกับเขา ถ้าหากเขาคิดว่าเหมาะสมพวกเราก็ลงมือทำเลย จะได้ไม่ไม่ต้องให้เขาคิดอีก”  

 

 

เรื่องนี้แต่เดิมก็น่ารำคาญใจแล้ว ถ้าให้หลี่เย่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก นางก็ไม่สบายใจ  

 

 

ตอนที่กำลังพูดกับหงหลัวอยู่ ทางด้านวังหลวงก็มาขอเข้าพบอยู่ด้านนอก เมื่อเข้ามาก็พูดว่า “อีกครู่หนึ่งท่านอ๋องกลับมา ชายารองจะต้องช่วยเกลี้ยกล่อมท่านอ๋องนะขอรับ!”  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset