พอคิดไปคิดมาแล้วคนที่ถูกไทเฮาสงสัยก็มีเพียงนางเท่านั้น
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นวาบ นางหัวเราะไม่ออกแม้แต่น้อย เมื่อนางยืนอยู่หน้าประตูวังเสียนฝู นางรู้สึกเพียงแค่ร่างกายหนักอึ้ง ก้าวไม่ออกแม้เพียงก้าวเดียว
มิน่าเล่า หลังจากนางพูดคำนั้นออกมา ไทเฮาถึงได้มีท่าทีเช่นนั้น ตอนนั้นนางเพียงแปลกใจไม่ได้คิดมาก แต่ตอนนี้มาคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็เข้าใจสิ่งที่แอบซ่อนอยู่โดยเร็ว
หากนางไม่พูดออกไป ไทเฮาจะพูดอย่างไร? อาจจะถามนางใช่หรือไม่? ไทเฮารู้สึกมาตลอดว่านางเจ้าแผนการอยู่ไม่น้อย ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ก็ถูก นางก็มีเหตุผลให้ทำเรื่องเช่นนี้ นางเองก็เคยแสดงออกต่อหน้าไทเฮามาก่อน นางไม่ยินยอมให้กู้ซีเข้ามา แม้ว่าไม่ได้ต่อต้านแต่ก็ไม่ได้ต้อนรับ
นางผิดหวังเล็กน้อย แต่ที่มากไปกว่านั้นคือตาสว่าง ไทเฮาคิดเช่นนี้กับนางมาตลอดมิใช่หรืออย่างไร?
แม้ว่าผิดหวัง แต่ยังดีที่ไม่เยอะ อย่างไรนางเองก็ไม่คิดว่าไทเฮาจะเชื่อใจนาง เพียงแต่คิดว่าน่าขบขันยิ่งนัก นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะถูกสงสัย
นางกำนัลข้างๆ มองถาวจวินหลันที่นิ่งงันมองดูวังเสียนฝูไม่ก้าวเดินเข้าไป แม้ว่าจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูด ทว่ากลับแอบเงยหน้ามองถาวจวินหลันอยู่บ่อยครั้ง
ถาวจวินหลันได้สติกลับมา ดึงแขนเสื้อของตนเอง เอามือปิดไว้ข้างใน อึ้งตะลึงอยู่เพียงแค่ชั่วครู่เล็กๆ นางก็รู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบไปหมด นางจึงไม่กล้าล่าช้าอีกต่อไป ยกเท้าก้าวเดินเข้าไปในวังเสียนฝู
พอถึงประตูวัง นางกำนัลที่เฝ้าประตูก็ถามเล็กน้อย แล้วก็มีคนเข้าไปรายงานทันที ส่วนถาวจวินหลันก็ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในช้าๆ วังเสียนฝูดูแล้วไม่เลว ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอย่างมีระเบียบ ตกแต่งวิจิตรงดงาม ทั่วทั้งพระราชฐานดูแล้วทั้งสวยงามทั้งกว้างขวาง แต่ก็ไม่ขาดความประณีต
ถาวจวินหลันคิดอยู่ในใจ ในเมื่อถูกวางแผน แต่ฮ่องเต้ก็ยังเอ็นดูกู้ซีจริง แต่ไม่รู้ว่าได้ความเอ็นดูโปรดปรานนี้เพราะไทเฮา หรือจากตัวของกู้ซีเอง
ความเป็นไปได้สองอย่างนี้ นางเอนเอียงไปอย่างหลังมากกว่า
เมื่อถึงประตูห้อง ถาวจวินหลันก็เห็นนางกำนัลใหญ่หน้าตาใจดีออกมาต้อนรับ ยิ้มและทำความเคารพนาง “ชายารองถาวเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
พอเข้าไปในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกว่าฮ่องเต้โปรดปรานกู้ซีเหมือนที่นางคาดเอาไว้ แม้จะบอกว่าไม่เคยเห็นเรือนของพระสนมคนอื่น แต่ถ้าเทียบกับวังของฮองเฮา ก็ไม่เห็นว่าจะดีกว่าที่แห่งนี้ไปสักเท่าไร
แน่นอนว่าของเหล่านี้นางมองเพียงแค่แวบเดียวก็หลุบสายตาลง เป้าหมายของนางคือกู้ซี ไม่ใช่มองสิ่งของอย่างอื่น แต่พอกวาดตามองรอบด้าน นางกลับไม่เห็นจวงผิน จึงมองไปยังนางกำนัลที่ออกมาต้อนรับด้วยความสงสัย
“จวงผินเหนียงเหนียงประชวรเจ้าค่ะ กำลังพักผ่อนอยู่ ขอให้ชายารองตามข้ามาเถิด” หลังจากอธิบายแล้ว นางกำนัลคนนั้นก็แสดงท่าทีให้ถาวจวินหลันเดินตามตนเข้าไปในเรือน
ถาวจวินหลันคิดถึงร่างกายของจวงผิน ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ที่จริงแล้วต่อให้ร่างกายแข็งแรงดี จู่ๆ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าคงจะทรุดเหมือนกัน
เพียงไม่นาน นางก็รู้สึกสงสารกู้ซี พูดไปแล้ว กู้ซีเองก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นฝุ่นผง
พอเข้ามาภายในห้อง ถาวจวินหลันก็เหลือบมองเห็นกู้ซีหรือจวงผินที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ถาวจวินหลันก้าวขึ้นไปทำความเคารพก่อน “จวงผินเหนียงเหนียง”
กู้ซีกะพริบตาเล็กน้อยเพราะคำพูดนี้ สุดท้ายแล้วก็แค่นหัวเราะพูดว่า “ชายารองถาวมากมารยาทเกินไปแล้ว ดูห่างเหินเหลือเกิน” แล้วก็หันไปสั่งนางกำนัลคนอื่น “พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าจะพูดคุยกับชายารองถาว”
นี่หมายความว่าจะพูดคุยเรื่องส่วนตัว
พอทุกคนถอยออกไปหมดแล้ว น้ำตาของกู้ซีก็ไหลลงมาทันที และโถมเข้าหาอ้อมกอดของถาวจวินหลัน “พี่สะใภ้ ข้าจะทำอย่างไรดี?”
เสียงของกู้ซีแฝงไว้ด้วยความล่องลอยและไร้ที่พึ่ง ทำให้คนที่ได้ยินอดปวดใจไม่ได้
ถาวจวินหลันโอบกู้ซีเอาไว้ พลางถอดหายใจเบาๆ “เรื่องมาถึงตรงนี้แล้วยังทำอะไรได้อีก? เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
กู้ซีน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาก็ไหลพรากกว่าเดิม “ข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร! ข้าอยากจะออกจากวังหลวง แต่ทว่า…”
ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทำได้เพียงบีบไหล่ของกู้ซีเบาๆ เท่านั้น
พอร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง กู้ซีก็ยอมสงบลง แต่กลับถอนหายใจ หัวเราะขมขื่นพูดว่า “พี่ชายต้องเสียหน้าแน่เลยใช่หรือไม่? พี่สะใภ้เองก็ต้องคิดว่าข้าไม่มีศักดิ์ศรีใช่หรือไม่?”
ถาวจวินหลันรีบส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าพูดแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าเองก็อย่าแบกความผิดไว้ทั้งหมด”
กู้ซีร้องไห้กระซิกๆ น้อยใจจนพูดไม่ออก “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดว่าไม่อยากแต่งงานกับท่านพี่ แต่ไทเฮากับท่านพ่อก็เอาแต่พูดว่าต้องทำเช่นนี้ แต่ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ข้าแต่งงานกับคนธรรมดาให้รู้แล้วรู้รอดไป!”
คำพูดเหล่านี้ของกู้ซีแฝงไว้ด้วยความกล่าวโทษ และแค้นเคือง แต่จะไม่โกรธได้อย่างไร? ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกโกรธแค้นทั้งนั้น โชคชะตาของตนเอง กลับลิขิตด้วยตนเองไม่ได้ แล้วยังต้องบังเอิญพบเรื่องเช่นนี้อีก
แต่นอกจากคำพูดปลอบประโลมแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดอะไรไม่ออกอีก สุดท้ายแล้วนางก็เตือนกู้ซีเล็กน้อย “ต่อจากนี้เจ้าอย่าพูดแบบนี้อีก ในเมื่อตอนนี้เป็นจวงผินแล้ว ก็จะต้องคำนึงถึงอนาคต ต่อจากนี้เจ้าไม่อาจพูดเรื่องเกือบเข้าจวนตวนชินอ๋องได้อีก ทั้งยังต้องทำเหมือนตั้งใจเข้าวังหลวงมาตั้งแต่แรก มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงกู้ศักดิ์ศรีกลับมาได้เหมือนเดิม และตระกูลกู้ก็จะไม่ถูกพาลลากไปด้วย เจ้าจำเอาไว้”
กู้ซีตัวสั่นสะท้าน แต่ก็ยังรับปากอย่างเชื่อฟัง “ข้าจะจำไว้ ข้าไม่มีทางทำให้พี่ชายและตระกูลกู้ตกที่นั่งลำบาก”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ พลางลูบผมของกู้ซี ไม่รู้สึกอย่างใดนอกจากสงสาร
“ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ช่วยเตือนข้า” ถาวจวินหลันครุ่นคิดแล้วก็ตัดสินใจใช้ไทเฮาเป็นข้ออ้าง “ไฉนเลยข้าจะคิดเรื่องเหล่านี้ได้? ยามนี้ไทเฮาประชวร เจ้าก็ควรหายดีในเร็ววัน จะได้ไปอยู่ต่อหน้าไทเฮา ให้ไทเฮาดีใจ จะได้หายเร็วขึ้น”
ยามนี้ไทเฮาเป็นเพียงที่พึ่งเดียวของกู้ซีในวังหลวง หากกู้ซีฉลาด ทางที่ดีควรต้องลงหลักปักฐานให้มั่นคงก่อนไทเฮาสวรรคต มิเช่นนั้นในสถานการณ์ที่ตระกูลกู้ยังไม่แข็งแกร่งพอ วันเวลาต่อจากนี้แค่คิดก็รู้ได้
แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่อาจพูดตรงๆ ได้ ทำได้เพียงเอ่ยเตือนชี้แนะเท่านั้น สุดท้ายกู้ซีเข้าใจหรือไม่ นั่นก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พออยู่พูดคุยเป็นเพื่อนกู้ซีอีกครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็หาทางขอตัวกลับไป
แต่ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยคำพูดขอตัวหลับ กู้ซีกลับถามเรื่องหนึ่งอย่างกะทันหัน “พี่สะใภ้ ท่านว่าแท้จริงแล้วข้าทำให้ใครโมโห เขาถึงได้ทำร้ายข้าเช่นนี้?”
กู้ซีน้ำตาเอ่อคลอเบ้า ลูกตาดำขลับคู่นั้นมองนิ่งไปยังถาวจวินหลัน ปรากฏแววดื้อรั้นและหัวแข็งอย่างไม่มีที่มาที่ไป
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้” แต่เดิมนางอยากพูดความจริง แต่หากกู้ซีรู้ความจริง นางจะโกรธแค้นหลี่เย่ โกรธแค้นจวนตวนชินอ๋องหรือไม่? อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่มีหลักฐานมิใช่หรืออย่างไร?
ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเอ่ยปากบอกความจริง
กู้ซีมีสีหน้าผิดหวัง ท่าทีเช่นนั้นยิ่งทำให้ถาวจวินหลันอึดอัดใจ สุดท้ายถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นมา เอ่ยขอตัวลา “นี่ก็เย็นแล้ว ข้าควรออกจากวังหลวงเสียที”
กู้ซีก้มหน้าผิดหวังมากขึ้น “พี่สะใภ้ อยู่กับข้าก่อนได้หรือไม่?”
ถาวจวินหลันทำได้แค่นั่งลงไปอีกครั้ง พออยู่เป็นเพื่อนกู้ซีอีกสักระยะหนึ่ง แต่กู้ซีไม่เปิดปากพูด ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทว่าต่างมองกันไปมาด้วยความตื่นตะลึง
สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ทนต่อไปไม่ไหว ทำได้เพียงลุกขึ้นขอตัวลาอีกครั้ง ยังดีที่ครั้งนี้กู้ซีไม่ได้เอ่ยรั้งนานเอาไว้อีก ปล่อยให้ถาวจวินหลันไปแต่โดยดี
พอออกมาจากวังเสียนฝู ถาวจวินหลันก็ถอนใจ นางอยู่กับกู้ซีแล้วอึดอัดใจยิ่งนัก แม้ว่านางจะสงสารกู้ซี แต่พูดตามจริงแล้วนางกับกู้ซีไม่ได้สนิทกันมากเท่าไร ปลอบประโลมเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
รอจนรับซวนเอ๋อร์มาแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่กล้าอยู่นาน รีบออกจากวังหลวงไป ยังดีที่นั่งเกี้ยวอุ่นมาตลอดทาง อีกทั้งฤดูหนาวไม่มีคนออกมาเดินเล่น จึงไม่ได้บังเอิญพบใครเข้า
เมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนตวนชินอ๋อง ถาวจวินหลันก็เรียกจิ้งหลิงมาพูดเรื่องย้ายเรือน
จิ้งหลิงย่อมต้องตกใจมาก “ให้ข้าย้ายไปหรือ? นี่ไม่เหมาะสมนัก ฐานะเช่นข้า…” อนุภรรยาคนเดียวอาศัยอยู่ในเรือนใหญ่โตขนาดนั้น เทียบกับอนุภรรยาสองคนมีฐานันดรเท่ากัน ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม
ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “เวลานี้ยังจะมาปฏิเสธอะไรอีก? มองไปทั่วทั้งจวน นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครมีคุณสมบัติเช่นนี้อีก? เจ้าก็รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงได้เร่งรีบให้คนย้ายเข้าไปอาศัย”
เมื่อพูดเช่นนี้จิ้งหลิงก็นิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย้ายเถิด” หยุดไปครู่หนึ่งก็หัวเราะเยาะ “แต่เกรงว่าภายในจวนคงจะมีคนไม่พอใจอีกแล้ว”
ถาวจวินหลันรู้ว่าจิ้งหลิงพูดถึงถาวจือ จึงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ปล่อยนางไป อีกอย่าง นางกล้าทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรือ? มีข้าอยู่ เจ้าจะกลัวอะไร”
จิ้งหลิงเลิกคิ้ว ท่าทีโอหัง “ข้ากลัวนางหรือ? ก็แค่ไม่พอใจเท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องไปสนใจนางก็พอแล้ว” ถาวจวินหลันพูดออกมาตรงๆ ในเวลานี้ไฉนเลยยังจะต้องมาสนใจความรู้สึกของถาวจืออีกด้วย? แน่นอนว่าภายในใจนั้นแทบจะอยากให้จิ้งหลิงย้ายไปพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำไป
จิ้งหลิงรู้ว่าเรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี จึงรับปากทันที
ตกดึกตอนที่หลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ท่าทีของหลี่เย่ไม่มีความสุขอย่างนั้นหรือ?
“เกิดอะไรขึ้น?” พูดไปพลางช่วยหลี่เย่เปลี่ยนเสื้อผ้าไปพลาง ถาวจวินหลันเอ่ยถามอย่างหยอกเย้าว่า “ทำเงินหล่นหรือเพคะ?”
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะแกล้งป่วย” หลี่เย่กลับพูดเนิบๆ ออกมา
แกล้งป่วย?! ถาวจวินหลันใจตกวูบ อยู่ดีๆ จะแกล้งป่วยทำไม?