สุดท้ายถาวจวินหลันก็ไม่ได้ถามหลี่เย่ว่าทำไมถึงแกล้งป่วย เพียงแค่หัวเราะและพูดว่า “เพคะ ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลง ท่านจะได้อยู่บ้านเป็นเพื่อนข้า พวกเราครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันนานแล้ว ซวนเอ๋อร์กับหมิงจู และกั่วเจี่ยเอ๋อร์แทบจะจำหน้าท่านไม่ได้อยู่แล้ว”
ที่จริงไม่ถามนางก็พอรู้อยู่แก่ใจ คงเป็นเพราะเรื่องของจวงผิน ไม่ว่าฮ่องเต้จะรู้สึกอึดอัดสั่งให้หลี่เย่หลบไปก่อนอย่างไร ตัวของหลี่เย่เองก็ยังคงรู้สึกประหม่าอยู่ดี หรืออาจด้วยคำเยาะเย้ยถากถางของคนอื่น ก็ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งนั้น
อาจด้วยท่าทีของนางเรียบนิ่งเกินไป หลี่เย่จึงรู้สึกสบายใจ แม้กระทั่งเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ดี”
ถาวจวินหลันก็ถือว่าหลี่เย่หยุดพักผ่อน จึงพาเขาไปทำกิจกรรมต่างๆ นานาทุกวัน มีท่าทีผ่อนคลายสบายใจอยู่เล็กน้อย
และอารมณ์ของหลี่เย่ก็กลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะสถานการณ์เช่นนี้ เรื่องไม่พอใจพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จิ้งหลิงก็ฉวยโอกาสตอนนี้ ย้ายเข้าไปในเรือนใหม่
เพียงพริบตาก็เข้าฤดูหนาว ด้วยช่วงนี้บรรยากาศภายในจวนกดดันอยู่เล็กน้อย ดังนั้นถาวจวินหลันและหลี่เย่จึงปรึกษากันแล้วว่าจะใช้เวลาช่วงเทศกาลนี้ไปอย่างดี เพราะว่าได้เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว บรรดาสัตว์เลี้ยงต่างๆ เช่น ไก่ เป็ด ปลาและแพะนั้นก็ถูกส่งเข้ามาในจวน รวมทั้งชุดคลุมกันหนาวที่ทำใหม่ ถาวจวินหลันก็ให้คนเอาไปแจกภายในวันนี้
ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันที่มอบเสื้อใหม่ให้คนในเรือน แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ได้ประทานเสื้อคลุม ชุดหนังให้กับบรรดาขุนนางทั้งหลาย ส่วนฮองเฮาก็ประทานให้กับฮูหยินที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งภายนอกและภายใน
ฮ่องเต้ดูจะมีเมตตาต่อหลี่เย่มากเป็นพิเศษ นอกจากสิ่งที่สมควรได้รับแล้วชุดหนึ่ง ฮ่องเต้ก็ยังนำเอาผ้าคลุมขนเตียวที่เคยใส่เมื่อนานมาแล้วประทานให้กับหลี่เย่อีกชุดหนึ่ง
การกระทำครั้งนี้ทำให้เกิดข่าวลือสะพัดอีกครั้งหนึ่ง จะต้องรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่แม้แต่องค์รัชทายาทก็ไม่ได้รับ และนั่นยังเป็นเสื้อผ้าที่ฮ่องเต้เคยสวมใส่ตอนยังเป็นองค์รัชทายาท พอฮ่องเต้ประทานให้หลี่เย่แล้ว ก็ทำให้คนอดคิดมากไม่ได้
ฮ่องเต้ปฏิบัติกับหลี่เย่ดีเช่นนี้ ทำให้ฮองเฮาปฏิบัติกับสมาชิกผู้หญิงอย่างธรรมดาไม่ได้อีก คิดไปคิดมาจึงประทานกระโปรงนกยูงทองเพิ่มให้อีกตัวหนึ่ง กระโปรงตัวนี้ถักมาจากหางของนกยูง แม้จะบอกว่าไม่ค่อยป้องกันความเย็นเท่าไรนัก แต่ความสวยงามนั้นก็มีให้ประจักษ์ มองไกลๆ แล้วนั้นไม่ค่อยรู้สึกสวยเท่าไร แต่หากเดินเข้ามาดูใกล้ๆ สีทุกส่วนของกระโปรงตัวนี้กลับไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะบามอยู่ใต้แสงไฟหรือแสงอาทิตย์ ก็ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน ตอนที่ขยับไปมาก็เหมือนมีนกยูงหลากสีสันตัวหนึ่งมาหมอบอยู่บนกระโปรง สวยงามจนพูดไม่ออก
กระโปรงเช่นนี้แค่ตัวเดียวไม่ต้องพูดว่าเสียขนนกยูงไปมากเท่าไร แค่เพียงระยะเวลาการทำก็ต้องอ้าปากค้างแล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะสวยงามแต่มีทรัพย์สินก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้
กระโปรงตัวนี้เป็นสิ่งที่ฮองเฮาได้รับมาตอนยังเป็นพระชายาองค์รัชทายาทเมื่อหลายปีก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมอบให้ถาวจวินหลัน
ตอนที่ถาวจวินหลันได้รับก็รู้สึกตื่นตะลึงเพราะความได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง แล้วก็อดขมวดคิ้วหัวเราะขมขื่นไม่ได้ นางหันไปพูดกับหลี่เย่ “คราวนี้ดีแล้ว ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ ก็อยู่เงียบๆ ไม่ได้เสียแล้ว”
หากมอบให้พระชายาองค์รัชทายาทก็ถือว่าถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต่อให้ไม่มอบให้พระชายาองค์รัชทายาท ก็อาจจะมองให้กับองค์หญิงสักองค์ นั่นก็ถือว่าสมเหตุสมผล แต่มอบให้นางถือเป็นเรื่องอะไรกัน? คิดได้ว่าบรรดาสมาชิกผู้หญิงทั้งหลายนางคงกลายเป็นคนที่เด่นที่สุดแล้ว
หลี่เย่หัวเราะเยาะ “กลัวอะไร? หรือว่าเจ้าไม่เหมาะสมกัน? เจ้าสนใจแค่สวมใส่ก็พอแล้ว ยิ่งพวกเขาอิจฉา เจ้าก็ยิ่งต้องใส่ออกไปข้างนอกให้พวกเขาไม่พอใจซี”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าหลี่เย่จงใจอยากให้สมาชิกผู้หญิงคนอื่นไม่พอใจ คิดไปแล้วก็ถูก ในเมื่อประทานให้แล้วเก็บซ่อนเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง นางจึงแย้มยิ้มพูดว่า “พูดถูกเพคะ ข้าจะใส่กระโปรงตัวนี้ในงานเลี้ยงในจวนสิ้นปีนี้”
คนอื่นทำให้หลี่เย่ไม่พอใจ พวกเขาก็ยิ่งต้องทำให้คนอื่นไม่พอใจด้วยเช่นเดียวกัน
หลี่เย่พยักหน้า แต่กลับกำชับว่า “ให้คนเอาไปซักตรวจสอบให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยใส่”
ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าหลี่เย่กลัวฮองเฮาทำอะไรกับชุดนี้
ด้วยต้นฤดูหนาวก็มีเทศกาลที่สำคัญ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงได้ให้คนเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ วันนี้เป็นวันแห่งการบำรุง ดังนั้นอาหารจึงสมบูรณ์มาก หนึ่งในนั้นมีเนื้อแกะต้มเป็นของหลัก
หลายวันมานี้หลี่เย่อยู่บ้าน แต่ด้วยอารมณ์ไม่ดีจึงไม่ได้ไปห้องของคนอื่น ทำให้กู้อวี้จือและคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เห็นหน้าหลี่เย่มาหลายวันแล้ว เมื่อได้พบหลี่เย่ ้เห็นหน้าหลี่เย่มาหลายวันแล้ว ใากันนานแล้วทุกคนจึงมีใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกและคาดหวัง
ถาวจวินหลันทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ว่าอย่างไรนางก็พูดเกลี้ยกล่อมให้หลี่เย่ไปหาพวกนางบ้างไม่ได้จริงๆ
และหลี่เย่ก็ยิ่งไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ดังนั้นไม่ว่าจะมองด้วยสายตาโศกเศร้เพียงใด ก็เหมือนทำให้คนตาบอดดูเท่านั้น
สุดท้ายแล้วก็มีคนทนไม่ไหว กู้อวี้จือพูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูจากวันนี้แล้ว ข้าก็รู้ว่าชายารองถาวและท่านอ๋องรักกันดี” รักกันจนคนอื่นทนไหว ไม่รู้ว่าที่เรียกพวกนางมาเพราะถาวจวินหลันต้องการอวดอ้างหรือไม่?
ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจนัยของคำพูดนี้ แต่นางก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน อย่างไรหลี่เย่ก็อยู่ที่นี่กับนาง นางได้รับประโยชน์แล้ว แล้วทำไมจะต้องไปต่อล้อต่อเถียงเอาชนะกันอีก?
กลับเป็นถาวจือที่แทรกขึ้นมา ถอนหายใจพลางพูดว่า “เพราะว่าพวกเราไม่มีโชคได้ปรนนิบัติท่านอ๋อง ไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องก็เท่านั้น”
เจียงอวี้เหลียนแย้มยิ้มพูดผสมโรงอย่างอวดอ้าง “พูดไปแล้ว ข้าก็ไม่ได้พบหน้าท่านอ๋องมาหลายวันแล้ว หากท่านอ๋องมีเวลาก็มาหาเซิ่นเอ๋อร์บ้างซีเพคะ”
พอหลี่เย่ต้องเจอกับความหึงหวงและคิดเล็กคิดน้อยพวกนี้ เขากลับตอบโต้ตรงไปตรงมา กวาดตามองอย่างทรงอำนาจทีหนึ่ง แล้วทุกคนก็ต้องกลืนคำพูดลงท้องไปทั้งหมด “ทานข้าว” หลี่เย่ก็พูดเนิบๆ หนึ่งคำ แล้วเรื่องนี้ก็จบไปในที่สุด
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย ก้มหน้าทานอาหารต่อ เวลาทานข้าวห้ามพูด เมื่อเริ่มทานอาหารแล้วก็จะไม่มีคนพูด พอทานข้าวเสร็จ ต่อให้กู้อวี้จือและถาวจืออยากจะเชิญชวนหลี่เย่ แต่พอเห็นท่าทีเรียบนิ่งของหลี่เย่แล้วก็ต้องล้มเลิกไป
ถาวจวินหลันและหลี่เย่เดินเคียงกันกลับไปยังเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันหยอกเย้าหลี่เย่ “ท่านอ๋อง ตอนนี้ยิ่งทรงอำนาจมากขึ้นแล้ว”
หลี่เย่เองก็ไม่ปฏิเสธ “คนจะมีค่าก็เพราะรู้จักพอ” พวกนางไม่รู้จักพอ เขาย่อมไม่เกรงใจที่จะวางท่าทีทรงอำนาจให้เห็น พลางหันไปสอนถาวจวินหลัน “เวลานี้ไม่เหมือนกับอดีตแล้ว เจ้าเองก็แสดงอำนาจออกมาบ้าง กดพวกนางเอาไว้จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากขนาดนี้”
ถาวจวินหลันพยักหน้า แต่ก็ส่ายหน้าอีก “พวกนางไม่ยอมแพ้” หลี่เย่เป็นท่านอ๋อง เป็นนายของพวกนาง พูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ฐานะของนางกลับก้ำกึ่ง
“จะกลัวอะไร ยังมีข้าอยู่” หลี่เย่ยิ้มพลางพูดชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าเป็นหลักประกันให้เจ้า พวกนางไม่ยอมก็ต้องยอม”
ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดง่ายๆ ตรงไปตรงมาของหลี่เย่ก็อึ้งไป แล้วนางก็ยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนเปลี่ยนเรื่องพูด “ใช่แล้ว ช่วงนี้ด้านเฝินหยางโหวไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยหรือ?”
“จะไม่มีความเคลื่อนไหวได้อย่างไร?” หลี่เย่หัวเราะเยาะ “สุดท้ายแล้วก็ส่งลูกของอนุภรรยาคนหนึ่งไปเป็นภรรยาเอกของเฝินหยางโหว และส่งสาวงามมากเสน่ห์คนหนึ่งไปให้ ถึงสงบเฝินหยางโหวลงได้ มิเช่นนั้นจากนิสัยของเฝินหยางโหวแล้ว จะไม่สร้างเรื่องได้อย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าเช่นนั้น ช่วงนี้น้องชายของเฝินหยางโหวไม่เคลื่อนไหวอะไรเลยหรือ?” ถาวจวินหลันถามอีก คิดถึงฝีมือของจั่วเสี่ยนอวี้แล้ว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่อาจจบเช่นนี้ได้เป็นแน่
“ช่วงนี้เขาไปทำธุระที่เจียงหนาน” หลี่เย่พูดออกมา สุดท้ายแล้วก็หัวเราะ “พูดไปแล้วก็ควรขอบคุณเจ้า ที่ช่วยหาตัวช่วยมากฝีมือเช่นนี้มาให้ข้า มีเขาก็ถือว่าช่วยข้าได้มาก” อย่างแรกจั่วเสี่ยนอวี้รู้เรื่องมากมายจากเฝินหยางโหว อย่างที่สองจั่วเสี่ยนอวี้ช่วยเหลือเขาทำเรื่องปิดหูปิดตาผู้อื่นได้
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มทันที “พวกท่านเห็นพ้องต้องกันพอดี แต่จั่วเสี่ยนอวี้คาดหวังอะไร? คงไม่ใช่เพียงแค่แก้แค้นเท่านั้นเป็นแน่เพคะ” ถ้าคิดจะแก้แค้นจริง จั่วเสี่ยนอวี้คงจะลงมือนานไปแล้ว แม้กระทั่งไม่จำเป็นจะต้องขอตัวช่วยจากภายนอก
“เขาอยากได้ตำแหน่งของเฝินหยางโหว” หลี่เย่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เขาเป็นคนใจกล้า เขาไม่พอใจที่จะเป็นแค่พ่อค้าเท่านั้น อีกอย่างเขาเองก็ต้องวางแผนแทนลูกชายของเขา”
ถาวจวินหลันเข้าใจในทันใด ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าจั่วเสี่ยนอวี้ใจกล้าบ้าบิ่นเกินไป พูดตามจริง เรื่องนี้นอกจากหลี่เย่แล้วก็ไม่มีใครทำให้เขาพอใจได้ จะต้องรู้ว่าตอนนี้จวงอ๋องยังไม่หายขาด เหลือเพียงแค่อู่อ๋องก็ไม่ได้มีดีอะไร
พอพูดถึงเรื่องนี้ถาวจวินหลันก็นึกเรื่องหนึ่งได้ “เกรงว่าอี้เฟยเองก็คงจะใจกล้าเช่นเดียวกัน” เพราะเหตุนี้ครั้งที่แล้วอี้เฟยยังเคยดึงนางเป็นพวกมาก่อน อยากให้หลี่เย่ช่วยประคับประคององค์ชายเจ็ด
หลี่เย่ส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล องค์ชายเจ็ดอยู่ข้างเดียวกับข้า แค่เพียงอี้เฟยคนเดียวไม่มีทางสำเร็จ” แม้จะบอกว่าองค์ชายเจ็ดค่อยๆ โตขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังทำปีกกล้าขาแข็งไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกลัว
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องนี้ท่านมั่นใจก็ดีแล้ว”
หลี่เย่ยิ้มพลางยื่นมือไปจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้ กดเสียงลงต่ำหลายส่วน “มีเจ้าคอยเตือนข้า ข้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก? สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึง เจ้าก็ช่วยข้าคิดได้ พวกเราถือว่าเป็นใจเดียวกัน ทุกอย่างล้วนประสบความสำเร็จได้ จริงหรือไม่เล่า?”
วันนี้ลมหนาว ลมหายใจของหลี่เย่จึงยิ่งร้อนรุ่มเข้าไปใหญ่ ทำให้นางถอยหลังหลบลงไปตามสัญชาตญาณ แต่หลี่เย่กลับกุมมือของนางแน่น นางไม่มีทางถอยได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับหน้าแดงมากขึ้นเพราะสายตาของเขา
นางพูดเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง กล่าวโทษเสียงต่ำ “ไม่สำรวมเลยนะเพคะ”
หลี่เย่กลับดูจริงจังขึ้นมา จู่ๆ ก็พูดว่า “เกรงว่าข้าเองคงจะว่างได้อีกไม่กี่วันแล้ว วันพรุ่งนี้จะต้องกลับไปยุ่งวุ่นวายที่ราชสำนักแล้ว”
ถาวจวินหลันย่อมรู้ว่าหลี่เย่อยู่ในจวนตลอดไปไม่ได้ จึงยิ้มออกมา “ท่านไปทำธุระของท่านเถิด ภายในจวนยังมีข้า” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “วันนี้ฮ่องเต้ประทานรางวัลใช่หรือไม่?”
“อืม” หลี่เย่ตอบ พลางอธิบายออกมา “เสด็จพ่อมีท่าทีเช่นนี้ ก็คงด้วยระยะนี้พรรคพวกขององค์รัชทายาทฉวยโอกาสวางอำนาจ เสด็จพ่อไม่อยากเห็นภาพเช่นนี้ ย่อมต้องอบรมสั่งสอนคนให้อยู่ในฐานะเท่าเทียมกันและตั้งป้อมประจันหน้ากับองค์รัชทายาท”
และคนผู้นั้นก็ต้องเป็นหลี่เย่ แม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้สึกปวดใจ แม้ว่านี่เป็นฉากที่หลี่เย่และนางอยากเห็น แต่พอเปลี่ยนมาพูดอีกอย่างหนึ่ง หากหลี่เย่ไม่มีจิตใจที่จะแย่งชิงเล่า? ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการทำลายหลี่เย่อย่างเห็นได้ชัด เพราะหากหลี่เย่ล้มเหลวจากสถานการณ์ในตอนนี้ หลี่เย่ก็จะเหลือเพียงแค่จุดจบเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตายไม่ได้ฝัง!