ที่นางทำเรื่องมากมายเช่นนี้ ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นก็คือช่วยหลี่เย่
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ นั่นก็ถือเป็นลิขิตสวรรค์แล้ว
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำเรื่องอะไรต่อไป นอกจากนั่งรอแล้ว ก็ทำได้แค่หยอกล้อกับซวนเอ๋อร์และหมิงจูเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น
ทางด้านหลี่เย่วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายถึงกลับมาในจวน
เพียงแค่เห็นท่าทีของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็รู้ว่าเขาไม่ได้พักผ่อนดีๆ แน่นอน จึงรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา พูดอย่างกล่าวโทษว่า “แม้ว่าจะต้องกตัญญู แต่ก็จะต้องดูแลสุขภาพของตนเองด้วยนะเพคะ” ร่างกายของเขาไม่ได้ดีเท่าคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งไม่อาจละเลยได้
หลี่เย่พยักหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย พูดว่า “ให้ห้องครัวเล็กเตรียมของกินมาหน่อยเถิด” ภายในวังหลวงแม้ว่าจะหิวอย่างไร เขาก็ไม่มีอารมณ์จะกินอะไรลงท้อง ในตอนนี้พอกลับมาในจวนแล้ว ก็ทนรับความหิวไม่ไหวอีก
ถาวจวินหลันรีบสั่งชุนฮุ่ย “ไปยกของกินเข้ามา” เพราะรู้ว่าหลี่เย่อยู่ภายในวังหลวงนั้นต้องกินไม่ดีอย่างแน่นอน นางจึงสั่งให้ห้องครัวเตรียมของกินที่สดใหม่เอาไว้ตลอด เมื่อมีคำสั่งลงไปก็สามารถยกอาหารสดใหม่มาให้หลี่เย่ทานได้ทันที
ด้วยหลี่เย่เป็นเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่สนใจถามสถานการณ์ภายในวังหลวงอีก ปรนนิบัติหลี่เย่เปลี่ยนเสื้อผ้า และทานอาหาร จากนั้นก็พูดว่า “ท่านไปนอนก่อนสักพักเถิด”
หลี่เย่พยักหน้าไม่คิดจะพูดอะไรอีก หัวถึงหมอนก็แทบจะหลับไปเลย
ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจ ทำไมถึงได้เหนื่อยมากขนาดนี้? ในขณะเดียวกันนางก็ยิ่งไม่คาดหวังใดๆ กับสถานการณ์ในวังหลวงแล้ว และยิ่งเข้าใจว่าเรื่องที่นางให้หลิวเอินไปทำถือว่าเป็นเรื่องถูกต้อง
เพิ่งจะจัดการเรื่องหลี่เย่เสร็จ องค์หญิงเก้าก็มาหา ถาวจวินหลันรีบเดินออกไปรับ วันนี้องค์หญิงเก้าเข้าไปภายในวังหลวง มาหาตอนนี้ย่อมต้องมีเรื่องมาคุยกับนาง
ถาวจวินหลันเดาถูก องค์หญิงเก้ามาหาเพราะจะมาคุยเรื่องสถานการณ์ภายในวังหลวงกับนาง
สีหน้าขององค์หญิงเก้าไม่น่ามองนัก ถาวจวินหลันจึงเดาไปว่าสถานการณ์ภายในวังหลวงคงไม่ค่อยดีนัก
อย่างที่คาดเอาไว้ พอองค์หญิงเก้าเปิดปากก็พูดว่า “ฮองเฮาส่งคนไปปรนนิบัติไทเฮา แต่ความเป็นจริงแล้วคงอยากกดอำนาจของวังหย่งโซ่ว และควบคุมอิสระของไทเฮา”
ใจของถาวจวินหลันดิ่งลง ฮองเฮาคงกลัวว่าไทเฮาจะทำเรื่องอะไรในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ อย่างไรไทเฮาก็เป็นมารดาของฮ่องเต้ พูดอะไรล้วนมีผลทั้งนั้น อย่างเช่นเรื่องการปลดองค์รัชทายาท ไทเฮาก็สามารถพูดได้ รวมทั้งกำจัดองค์รัชทายาทตอนนี้ และแต่งตั้งรัชทายาทคนใหม่ ไทเฮาก็ทำได้เช่นเดียวกัน
ที่ฮองเฮาป้องกันก็คือเรื่องนี้ ฮองเฮาอยากจะกุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ในกำมือตนเอง
ถาวจวินหลันพยักหน้า พูดเสียงเบา “ไม่อาจให้ฮองเฮาได้ใจ”
องค์หญิงเก้าร้อนรนเล็กน้อย “แต่พวกเราจะทำอะไรได้อีกเจ้าคะ? เวลานี้พี่รองคงจะเข้าวังหลวงไม่ง่ายแล้ว พวกเราก็ล้วนเป็นสตรี จะทำอะไรได้เจ้าคะ?”
พอได้ยินคำพูดขององค์หญิงเก้า ถาวจวินหลันก็พูดเสียงดุ “เอาเถิด ฮองเฮาไม่ใช่สตรีหรืออย่างไร? หรือไทเฮาเองก็ไม่ใช่? นี่ยังไม่ทันทำอะไรเลย ทำไมถึงยอมแพ้ก่อนเช่นนี้เล่า?”
องค์หญิงเก้าถูกดุก็เริ่มตั้งสติได้ มองถาวจวินหลันอย่างสับสนทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็แค่นยิ้มพูดว่า “แต่ข้ากลัว ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องกับจิ้งผิง กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับพี่รอง”
“พวกเขาไม่เป็นอะไรแน่นอน!” ถาวจวินหลันพูดอย่างหนักแน่น ท่าทีเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก พอองค์หญิงเก้าเห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกเคารพมากกว่าเดิม
ไม่รู้ว่าองค์หญิงเก้าเห็นถาวจวินหลันเป็นที่พึ่งพิงตั้งแต่เมื่อไร ขมวดคิ้วถามว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรทำอะไรเจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “พรุ่งนี้เช้า เจ้านัดองค์หญิงแปด พวกเราเข้าไปดูแลไทเฮาด้วยกัน” แม้ว่านางจะมีวิธีเป็นร้อยเป็นพัน แต่ถ้าไม่ได้ความร่วมมือจากไทเฮา นั่นก็ถือว่าเสียแรงเปล่า
ดังนั้นยังต้องเข้าวังหลวงไปถามความเห็นของไทเฮา
“อาการของฮ่องเต้เป็นเช่นไรบ้าง?” ถาวจวินหลันถามองค์หญิงเก้า
สีหน้าขององค์หญิงเก้ายิ่งไม่น่ามอง “อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ไม่ได้พบหน้าเสด็จพ่อเลยแม้แต่น้อย ฮองเฮาเฝ้าอยู่ที่นั่น ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปปรนนิบัติ ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีพระสนมบางคนอยู่ในนั้น ข้ายังอดคิดสงสัยไม่ได้ว่าฮองเฮากักบริเวณเสด็จพ่อเสียแล้ว”
ถาวจวินหลันใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะครุ่นคิด “ไม่ ฮองเฮาน่าจะกล้าเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น นอกจากจะทนรอไม่ไหวแล้ว ไหนเจ้าบอกสิ มีพระสนมคนไหนอยู่บ้าง?”
“อี้เฟย อี๋เฟย ซูเฟย อิงผินก็อยู่เช่นเดียวกัน อย่างไรพระสนมที่พอมีหน้ามีตาล้วนอยู่ทั้งหมด แบ่งออกเป็นสองส่วน สลับกันเข้าไปดูแลเสด็จพ่อ” สีหน้าขององค์หญิงเก้าดูดีขึ้นมาเล็กน้อย หากเป็นพระสนมของฮองเฮาทั้งหมด เห็นได้ว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเหมือนกับสิ่งที่ถาวจวินหลันพูด อย่างน้อยตอนนี้ฮ่องเต้ก็ปลอดภัย
“ฮองเฮาไม่อนุญาตให้เข้าไป แต่กลับให้พระสนมเฝ้า…” ถาวจวินหลันรู้สึกว่ามีอะไรผิดแผก แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป “ไม่ นางยังใช้วิธีนี้ควบคุมฮ่องเต้ได้ อย่างไรพระสนมก็เป็นคนในวังหลวง ขอเพียงแค่ควบคุมให้ดี ก็ไม่อาจพัดพาก่อให้เกิดเหตุการณ์อะไรได้ เจ้าอยู่นอกวังหลวง ฮองเฮาย่อมต้องไม่ยอมให้เจ้ารู้อาการของฮ่องเต้ และยิ่งไม่ยอมให้เรื่องนี้กระจายออกมานอกวังหลวง!”
ทันใดนั้นสีหน้าขององค์หญิงเก้าก็ดำคล้ำลง นางกัดริมฝีปากอย่างควบคุมไม่ได้ “ฮองเฮาช่างโหดเ**้ยมเสียจริง”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ที่จริงแล้วหากนางอยู่ในตำแหน่งฮองเฮา อาจจะโหดเ**้ยมกว่าฮองเฮาเสียอีก
ส่วนเรื่ององค์รัชทายาท องค์หญิงเก้าย่อมสังเกตเห็น ทว่าก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี “แต่การปรนนิบัติทั้งห้องนั้น ยังดูประณีตเอาใจใส่มากกว่าไทเฮาอีก เจ็บแค่ไหล่ไม่ใช่ขา แต่นอนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน สิ้นคิดเสียจริง”
ด้วยเป็นลูกชายและหลานชาย ฮ่องเต้และไทเฮาต่างก็ป่วยอยู่ แล้วยังป่วยเพราะตัวขององค์รัชทายาทด้วย ทว่าองค์รัชทายาทไม่แม้แต่จะปรากฏตัวให้เห็น นี่ถือว่ากตัญญูกตเวทีหรือ?
จากที่องค์หญิงเก้าดูแล้ว องค์รัชทายาทควรนั่งคุกเข่าอยู่หน้าฮ่องเต้ด้วยซ้ำไป เมื่อไรที่ฮ่องเต้พูดให้ลุก ก็ค่อยลุกขึ้นมา
ถาวจวินหลันถอนหายใจ “เวลานี้องค์รัชทายาทไฉนเลยยังจะกล้าโผล่หน้าออกมา? ฉวยโอกาสแกล้งป่วยไม่ออกมาถึงจะถือว่าเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ต้องเคราะห์ซ้ำกรรมซัด!” หากนางเป็นฮ่องเต้ เกรงว่าเห็นองค์รัชทายาทก็คงจะโมโหจนกระอักเลือดอีกครั้ง
คิดไปคิดมา นางก็ถามองค์หญิงเก้าอีกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วนางกำนัลคนนั้นเป็นเช่นไร? ฮองเฮาจัดการอย่างไร?”
องค์หญิงเก้ากลับไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแค่ส่ายหน้าไม่พูดจา
ถาวจวินหลันคิดว่าอีกไม่นานถาวจิ้งผิงก็คงจะมาเช่นเดียวกัน จึงพูดว่า “เจ้าไปพักก่อนเถิด ตอนเย็นข้าจะให้จิ้งผิงมารับเจ้ากลับไป พวกเราจะได้ทานอาหารเย็นพร้อมกัน”
องค์หญิงเก้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรับปากตกลง
จัดการองค์หญิงเก้าเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็สั่งให้ห้องครัวเตรียมของ และให้คนไปบอกข่าวถาวจิ้งผิง บอกให้เขามาร่วมทานอาหารเย็นด้วยกัน
หลังจากสั่งไปไม่นาน หลิวเอินก็พาหมอสองคนเข้ามาในจวน ย่อมต้องแอบเข้ามาทางประตูข้าง ไม่ให้คนรู้เยอะเกินไป
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รีบร้อนไปพบหมอคนนั้น เพียงแค่ให้หงหลัวไปจัดการเรื่องอาหารการกินให้เรียบร้อย แล้วค่อยไปพบหลิวเอิน
“เรื่องที่ข้าสั่งไปเมื่อวานนี้ทำเสร็จแล้วหรือยัง?” สิ่งที่ถาวจวินหลันกังวลมากที่สุดคือเรื่องนี้
หลิวเอินพยักหน้า ยิ้มพลางพูดว่า “พระชายาจวงอ๋องกลับช่วยข้าได้มาก นางเองก็กำลังสืบข่าวไปทั่วทุกด้านเช่นเดียวกันขอรับ ข้าก็เลยให้นางรู้ แล้วค่อยกระจายข่าวออกมาจากจวนจวงอ๋อง ชายารองวางใจ จวนของพวกเราใสสะอาด ไม่มีใครสงสัยพวกเราแน่ขอรับ”
ถาวจวินหลันพยักหน้าด้วยความพอใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
“ที่จริงข้ากำลังคิดว่าพวกเรายังทำให้จวงอ๋องเข้ามาเกี่ยวเรื่องปลดองค์รัชทายาท และกำจัดองค์รัชทายาทได้ด้วย” หลิวเอินลดเสียงพูด
ถาวจวินหลันไม่ต้องคิด ก็ยิ้มพลางรับปากตกลงเรื่องนี้ทันที “ความคิดนี้ไม่เลว ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน แต่ที่จริงแล้วไม่ต้องไปใส่สีตีไข่อะไร ขอเพียงแค่มีคนนำยื่นฎีกา จวงอ๋องยังนั่งนิ่งอยู่ได้ก็แปลกแล้ว”
จวงอ๋องคิดจะเข้ามายุ่งอยู่นานแล้ว ย่อมต้องนั่งไม่ติดที่เป็นแน่
“อย่างไรก็พยายามให้จวงอ๋องดึงความสนใจจากฮองเฮามาให้ได้” ถาวจวินหลันก้มหน้าลงไปวุ่นวายกับกำไลปะการังบนข้อมือ พร้อมเอ่ยสั่งเสียงเบา
หลิวเอินรีบรับคำ
“พอ เจ้าไปจัดการเถิด เรื่องเหล่านี้ข้ายกให้เจ้า” ถาวจวินหลันยิ้มมองไปยังหลิวเอิน “ครั้งนี้จวนตวนชินอ๋องจะมีจุดจบเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” หากทำได้ดี จวนตวนอ๋องก็จะพลอยได้ผลดีไปด้วย หากทำได้ไม่ดี จวนตวนอ๋องก็จะถูกฮองเฮาเหยียบอยู่ใต้เท้า
ที่จริงถาวจวินหลันไม่พูด หลิวเอินก็รู้สึกได้ถึงความกดดัน ยิ่งถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกตึงเครียดมากขึ้น
มองดูท่าทีเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังของหลิวเอิน ถาวจวินหลันกลับยิ้มอย่างชื่นใจ หลิวเอินจะต้องจัดการธุระได้ดีแน่นอน
ส่งหลิวเอินกลับไป ถาวจวินหลันแอบเข้าในห้องเพื่อดูหลี่เย่ เห็นว่าเขายังนอนหลับลึกไม่มีทีท่าว่าจะตื่น นางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยย่องเข้าไปปลดเสื้อของหลี่เย่
นางอยากจะดูว่าข้อศอกของหลี่เย่เป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่เย่กลับมานางยังไม่ทันได้สนใจเข้าไปดูอย่างละเอียด ตอนนี้มีโอกาสก็ต้องดูเสียหน่อย
แต่เพิ่งจะปลดเสื้อออก ยังไม่ทันได้เห็นว่าเป็นเช่นไร ก็เห็นว่าหลี่เย่ลืมตาขึ้นมากะทันหัน หัวเราะขมขื่นพลางพูดว่า “ชายารองมีเหตุผลอะไรถึงมาปลดเสื้อข้าออก?”
เสียงของหลี่เย่แหบต่ำเพราะเพิ่งตื่นนอน รวมกับเสียงเดิมของเขาที่นุ่มลึกอยู่แล้ว ฉับพลันนั้นก็เหมือนกับกระดาษเนื้อหยาบใบหนึ่งที่พัดผ่านบาดหัวใจของนาง ทำให้นางรู้สึกคันเป็นอย่างมาก
น้ำเสียงของหลี่เย่ผิดปกติเล็กน้อย ถาวจวินหลันเองก็เริ่มใจฝ่อ และมีความหงุดหงิดไม่พอใจเล็กน้อย “พูดอะไรเลอะเทอะ?!”
หลี่เย่ไม่เพียงแค่ไม่เก็บท่าที แต่ยิ่งวางท่าปล่อยตัวไปตามสบาย จับข้อมือของนางเอาไว้พลางดึงเข้าหาตัว กระชับนางเข้ามาในอ้อมกอด ยิ้มและพูดว่า “ข้าพูดเลอะเทอะอะไรกัน? ที่ปลดเสื้อผ้าข้าไม่ใช่เจ้าหรืออย่างไร?”
เพราะอาการบาดเจ็บของหลี่เย่ ถาวจวินหลันถึงไม่กล้าดึงดัน นางทั้งอายทั้งโมโห สุดท้ายแล้วก็หยิกเข้าที่เอวของเขา “ท่านพูดมั่วอีกข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว!”
หลี่เย่ถอนหายใจทันที ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ จางหายไป “ที่จริงแล้วเสด็จพ่อยังไม่ได้สติ ตอนที่ข้าออกมาก็ยังคงเหมือนเดิม”
คำพูดนี้เหมือนกับสายฟ้าฟาด บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ทำให้คนหัวเราะไม่ออก ถาวจวินหลันเองก็เก็บท่าทีของตน พูดอย่างตื่นตะลึงว่า “เป็นไปได้อย่างไรกัน?”