อาการของไทเฮาดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่ขาทั้งสองข้างก็ยังไม่มีความรู้สึก ย่อมขยับไม่ได้ แต่เมื่อเทียบตอนแรกที่เพิ่งเส้นเลือดสมองแตก อาการตอนนี้ก็ดีมากแล้ว อย่างไรหมอคนนั้นก็บอกแล้วว่ายากให้หายขาด ไม่เพียงแค่ต้องใช้เวลา มากไปกว่านั้นคือรักษายาก
ยังดีที่ไทเฮาไม่ใช่คนคิดมาก แม้ว่าจะติดใจอยู่บ้าง แต่ก็ปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรรักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าดีแล้ว
ถาวจวินหลันยิ้มพลางทำความเคารพ จากนั้นก็นั่งลงบนหน้าเตียงกับองค์หญิงเก้าเพื่อพูดคุยกับไทเฮา
“ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?” ไทเฮารู้ว่าพวกนางเพิ่งออกมาจากวังของฮองเฮา เรื่องแรกที่ถามจึงเป็นเรื่องนี้
ถาวจวินหลันบีบนวดขาของไทเฮาไปเรื่อยๆ หัวเราะพลางพูดว่า “ดูดีทีเดียวเพคะ อย่างไรก็ไปนอกวังหลวง ไฉนเลยจะเทียบกับภายในวังหลวงได้? สีหน้าท่าทางก็เทียบไม่ได้กับเมื่อก่อน อีกทั้งดูเป็นมิตรกับผู้อื่นทีเดียวเพคะ”
ก่อนหน้านี้ฮองเฮาวางตัวสูงส่งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้กลับสงบเสงี่ยมไปมาก แต่ก็ให้คนยิ่งหวาดระแวงมากกว่าเดิม
คนอื่นพากันพูดกันว่าคนที่ภายนอกดูยิ้มแย้มกลับน่ากลัวกว่านัก ฮองเฮาก็เป็นเช่นนั้น ตอนที่หัวเราะก็เย็นชาตลอด ดวงตาเฉียบคม แฝงความโหดเ**้ยมเอาไว้
ไทเฮาเลิกคิ้ว พูดแฝงนัยว่า “เป็นมิตรอย่างนั้นหรือ?” แต่กลับแฝงความเยาะเย้ยเอาไว้ชัดเจน ไทเฮาไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะเป็นมิตรจริง
“จะไม่เป็นมิตรได้อย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “ยังให้หวังเหลียงตี้ยกที่นั่งให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ แล้วยังถามถึงสุขภาพของท่านอ๋องอีก ให้หม่อมฉันไปกล่อมท่านอ๋องว่าอย่าโหมงานหนักเกินไป แล้วยังพูดเรื่องเตรียมหาพระชายาคนใหม่ให้ท่านอ๋อง ดูท่าทางเป็นมารดาเปี่ยมเมตตายิ่งนักเพคะ”
องค์หญิงเก้าหลุดหัวเราะเบาๆ “เป็นกังวลเรื่องพี่รองเสียจริงเพคะ”
ถาวซินหลันนั่งอยู่ข้างๆ ก็พูดงึมงำเสียงเบา “อีเห็นสวัสดีปีใหม่กับไก่ ไม่หวังดี*”
ถาวจวินหลันถลึงตามองถาวซินหลันทีหนึ่ง ไทเฮากลับหัวเราะลั่น “พูดได้ดี จะไม่ใช่อีเห็นสวัสดีปีใหม่กับไก่ ไม่หวังดีได้อย่างไร? นางยังคิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องเลือกพระชายาตวนอ๋องอีก? ฝันอยู่หรืออย่างไร”
“หม่อมฉันรู้ดีแก่ใจเพคะ จึงแค่ยิ้มและบอกว่าให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงมาปรึกษาเรื่องนี้กับไทเฮาเพคะ” ถาวจวินหลันบอกเรื่องนั้นกับไทเฮา แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “มีเพียงไทเฮาที่รับมือได้แล้วเพคะ”
ไทเฮาหัวเราะพลางส่ายหน้า แล้วพูดตำหนิ “เจ้าหาเรื่องให้ข้าเก่งนัก” แต่ก็ไม่พูดว่าสุดท้ายแล้วจะวางแผนหาชายาเอกให้หลี่เย่หรือไม่ และถูกใจใครอีกหรือไม่
ถาวจวินหลันหลอกถาม แต่กลับไม่ได้คำตอบ ก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ เพียงหัวเราะแล้วเลิกคิดเรื่องนี้
จากนั้นก็พูดเรื่องอื่นแทน ไทเฮาถอนหายใจ “ฐานะของจวงผินควรต้องเลื่อนขึ้นได้แล้ว แต่ยังอยู่ในตำแหน่งจวงผินหมายความว่าอะไรกัน?”
ถาวจวินหลันหลุบตาลงไม่รับคำ ตอนนี้ตำแหน่งเฟยที่มี มีใครบ้างไม่มีลูกชาย ต่อให้อิงผินให้กำเนิดองค์หญิงแปด แต่ก็ยังเป็นได้แค่ผินเท่านั้น ทว่ากู้ซีเพิ่งเข้าวังหลวงมานานเท่าใดกัน? ไม่ได้ตั้งครรภ์ไม่ได้ทำผลงาน เกรงว่าคงเลื่อนขั้นไม่ง่าย อีกทั้งไม่สมเหตุสมผล
“ไทเฮาอย่าร้อนใจไปเลยเพคะ” องค์หญิงเก้าพูดเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้เวลายังสั้นนัก ไม่อาจรีบได้เพคะ”
“จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร?” ไทเฮาหลุบตามองขาของตนเองวูบหนึ่ง ก่อนหัวเราะเยาะ “ข้ามีดินมากองอยู่ครึ่งคอแล้ว ถ้าไม่วางแผนให้คนรุ่นหลัง แล้วต่อจากนี้พวกเขาจะทำเช่นไร?”
“เป็นสายเลือดตระกูลกู้เหมือนกันทั้งนั้น แม้ว่ากระดูกหักก็ยังมีสายเลือดที่เชื่อมโยงอยู่เพคะ ท่านอ๋องไม่มีทางนิ่งเฉยเป็นแน่เพคะ” ถาวจวินหลันพูดเด็ดขาด เพื่อปลอบประโลมไทเฮา แต่ความจริงแล้ว ขอเพียงต่อจากนี้ไปหลี่เย่ขึ้นครองบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางละเลยกู้ซีเป็นแน่ แน่นอนว่าจะให้แต่งงานอีกครั้งย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับ เกียรติยศศักดิ์ศรีนั้นไม่มีทางขาดอย่างแน่นอน
ไทเฮาถอนหายใจเสียงเบา ไม่ได้พูดอะไรอีก
ถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้าส่งสายตาให้กัน จากนั้นทั้งสามคนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เลือกเรื่องที่สบายๆ น่าสนใจมาพูดคุยกันกว่าค่อนวัน
พอถึงเวลา ถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้าก็ทูลลา ทั้งสองคนขมวดคิ้วแน่นโดยไม่ได้นัดหมาย พอได้ยินคำพูดของไทเฮาก็รู้สึกลำบากใจและเป็นกังวลยิ่งนัก
ครั้นออกมาจากวังหลวงแล้ว ถาวจวินหลันก็ขึ้นรถม้าขององค์หญิงเก้า ทั้งสองจึงพูดคุยกันได้ อย่างไรก็ทางเดียวกัน ดังนั้นรถม้าของถาวจวินหลันจึงตามมาข้างหลัง
“เกิดอะไรขึ้น?” ถาวจวินหลันถามองค์หญิงเก้าเสียงเบา “ทำไมถึงบังเอิญพบกับอันธพาลเล่า?”
“ไม่ใช่อันธพาลเจ้าค่ะ เป็นผู้ลี้ภัย หนีมารายงานเจ้าค่ะ บอกว่าราชสำนักไม่ให้เงินบรรเทาภัยพิบัติและอาหาร บ้านที่สร้างให้ก็เป็นเพิงหญ้า ใช้เสื่อขาดๆ มาเป็นกำแพงกันลมเท่านั้น ไม่สามารถผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้แน่เจ้าค่ะ” ตอนที่องค์หญิงเก้าพูดก็มีสีหน้าย่ำแย่ “คนผู้นั้นเคยเป็นพ่อค้ามาก่อน ยังดีที่พอมีเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้บ้าง บอกว่ามาขอความช่วยเหลือจากญาติ ถึงได้เดินทางมาตลอด และถูกส่งเข้ามาด้านในเอง ถ้าท่าทางซอมซ่อคงโดนขวางไว้กลางทางแล้ว ไม่รู้ว่ามีคนเหมือนเขามากมายเท่าไรที่ถูกขวางทางจนตายก่อนมาถึงเมืองหลวง”
“ที่ขวางทางรถม้าของข้าก็เป็นเรื่องบังเอิญเจ้าค่ะ ที่อยู่ของบ้านตระกูลถาวค่อนข้างนอกเมืองเล็กน้อย ไม่ได้ติดถนนใหญ่ เขาเห็นว่ารถม้าของข้าสวยงาม และเห็นว่าคนที่ตามมาเป็นสตรีทั้งหมด ดังนั้นถึงได้พุ่งเข้ามาเสี่ยงอันตราย คิดว่าผู้หญิงคงจะใจอ่อน บางทีอาจยอมช่วยเหลือเขา” องค์หญิงเก้าพูดต่อไป คิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างไม่รู้ตัว คิ้วงามทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน “ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญพบข้า เกรงว่าเขาคงจะเคาะกลองแจ้งข่าวไปแล้ว”
ที่จริงแล้วกลองที่แขวนอยู่นอกประตูศาลาว่าการล้วนเรียกว่ากลองแจ้งข่าว แต่กลองแจ้งข่าวที่พูดกันในตอนนี้ทุกคนต่างรู้กันดีว่าเป็นกลองใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านนอกวังหลวง ไม้ตีกลองนั้นใหญ่และหนักเป็นที่ยิ่ง คนแรงน้อยหน่อยเกรงว่าคงตีให้ดังไม่ได้
แน่นอนว่า กลองแจ้งข่าวนี้จะต้องมีประโยชน์ นั่นก็คือเมื่อเสียงกลองนี้ดังขึ้น ฮ่องเต้ก็จะเป็นคนจัดการคดีนี้ด้วยตนเอง แต่ปกติแล้วหากไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเป็นคดีอะไร ก็จะไม่มีใครไปตีกลองนั้น
ถาวจวินหลันอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครไปตีกลองแจ้งข่าวมาก่อน พอคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้นแล้ว ก็คิดว่าจะต้องมีผลที่น่าตกใจแน่นอน ขณะเดียวกันก็อดถอนหายใจไม่ได้ออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะถูกบีบจนติดอยู่ในทางตันจริง เกรงว่าคนนั้นคงจะไม่คิดเรื่องไปตีกลองแจ้งข่าวแน่นอน
คนปกติคิดถึงวังหลวงก็จะคิดถึงฮ่องเต้ ไม่ว่าใครย่อมหวาดหวั่นขลาดกลัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตีกลองแจ้งข่าวทูลเรื่องเลย
“เจ้าจัดการเรื่องที่อยู่ให้คนผู้นั้นแล้วหรือยัง?” ถาวจวินหลันถามองค์หญิงเก้า “ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นรู้ได้ มิเช่นนั้นกลองนี้คงตีไม่ดังเสียแล้ว” ในเมื่อเหิมเกริมกล้าปิดถนนขวางรถเอาไว้ อย่างนั้นภายในเมืองหลวงก็จะต้องมีเส้นสายสอดส่องบ้างเป็นแน่
องค์หญิงเก้าพยักหน้า “ข้ารู้ว่าอันตรายเจ้าค่ะ จึงไม่กล้าล่าช้า จัดการให้คนรู้พากลับไปยังบ้านของข้าหลังหนึ่งที่มิดชิดเพื่อซ่อนตัวเอาไว้ คิดว่าตกดึกจะคุยเรื่องนี้กับจิ้งผิงหรือว่าพี่รอง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเช่นข้า ย่อมไม่อาจตัดสินใจได้เจ้าค่ะ”
“อืม ก็ดี” ถาวจวินหลันพยักหน้า คิดไปคิดมาก็พูดว่า “ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ให้คนแอบเอาเข้ามาในจวนอ๋องตอนดึกๆ พวกเจ้าก็มาด้วย ถึงเวลานั้นพวกเราจะได้คุยเรื่องนี้ให้ละเอียด และปรึกษาว่าควรทำเช่นไรต่อไป พอดีกับที่บ้านพักส่งกวางสดใหม่มาให้ ข้าให้คนเลือกเอาเอ็นกวางไปเคี่ยวเอาไว้ ตกดึกจะได้ทานกัน”
ตอนที่กำลังพูดอยู่ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังสนั่นมาจากด้านนอก แล้วก็ได้ยินคนตะโกนว่า “มีโจรสังหาร! จับโจรลอบสังหาร!”
ถาวจวินหลันตะลึงไป จากที่ฟัง คนที่ตะโกนเป็นคนบังคับรถม้าของตนเอง จึงรีบดึงองค์หญิงเก้าให้ก้มตัวลงมาจากที่นั่งทันีท แทบจะนอนแนบสนิทไปกับพื้น ถึงได้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเล็กน้อย
จะต้องรู้ว่ารถม้ามีหน้าต่างทั้งซ้ายขวา ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบี่หรือว่าอะไรก็ตาม แผ่นไม้บางๆ นั้นไม่สามารถขวางเอาไว้ได้ ต่อให้เป็นธนู หรือลูกดอกก็ทะลุเข้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
หากนั่งอยู่บนที่นั่งต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน ดังนั้นแนบตัวติดพื้นอยู่กลางรถม้า จึงถือว่าปลอดภัยมากที่สุด อย่างน้อยก็อยู่ไกลจากหน้าต่าง ไม่ให้โจรลอบสังหารเห็นพวกนาง
องค์หญิงเก้ายังไม่ได้สติก็คิดว่าคางของตนเองกระแทกเข้ากับพื้นรถอย่างแรง กัดลิ้นจนได้แผล และเกิดรู้สึกถึงความเจ็บทันที
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ไม่รู้ว่ากำไลหยกบนข้อมือไปกระแทกกับอะไรจนแตกร้าว ไม่เพียงบาดเข้าไปในแขนแล้วเท่านั้น กระทั่งเศษเล็กๆ ก็ฝังเข้าไปในเนื้ออีกด้วย
แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกแล้ว ความจริงตอนนี้นางกำลังตั้งสมาธิฟังเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก นางรู้สึกหวั่นเกรง จนมือของนางเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย
ด้านนอกเอะอะเสียงดัง มีแม้กระทั่งเสียงอาวุธกระทบกัน
องค์หญิงเก้าเข้าใจทันที ว่าตนเองบังเอิญพบกับเรื่องอะไร จึงรู้สึกลนลาน ไม่สนใจกลิ่นคาวเลือดในปากและความรู้สึกเจ็บบนลิ้น พูดเสียงสั่นถามถาวจวินหลันว่า “ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
แม้ว่าก่อนหน้านี้องค์หญิงเก้าจะเคยพบเรื่องนี้มาก่อน แล้วยังเป็นในวันแต่งงานอีกด้วย แต่เหตุการณ์ตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันมาก ตอนนั้นนางตกใจจนมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าความกลัวคืออะไร แต่ครั้งนี้นางไม่ได้เจอกับอันตรายซึ่งๆ หน้า แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หวาดกลัวมาก
“วางใจเถิด ไม่เป็นอะไรแน่นอน” ถาวจวินหลันพูดเสียงเบา “น่าจะพุ่งไปที่รถม้าของข้า คนบังคับรถม้าของเจ้าคล่องแคล่วนัก ตอนนี้เพิ่มความเร็วพาพวกเราหนีออกไปได้แล้ว”
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด นางคิดว่าน่าจะหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรกว่าโจรลอบสังหารจะพบว่านั่นเป็นรถม้าเปล่าก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย ถึงตอนนั้นพวกเขาก็ตามมาไม่ทันทันแล้ว อีกทั้งที่นี่เป็นเมืองหลวง หากโจมตีไม่ได้ภายในครั้งเดียวก็ไม่มีโอกาสแล้ว
ดังนั้นแม้ว่าจะกลัว แต่นางก็ไม่ได้กลัวมาก เมื่อครู่นี้ถือว่านางตกใจไปเองเท่านั้น ตอนนี้เมื่อใจเย็นลง ก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้นแล้ว
“ทำไมถึงได้มีโจรลอบสังหารเล่า” เสียงขององค์หญิงเก้าดีขึ้นมาเล็กน้อย “พวกเราเป็นสตรีสองคน ทำไมถึงได้กล้าลอบสังหารพวกเราอย่างเอิกเกริกเช่นนี้”
ถาวจวินหลันเม้มปาก “อาจไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจ จึงไม่ชอบใจพวกเรา” หากนางเป็นอะไรไป หลี่เย่จะต้องเสียใจแน่นอน อาจต้องหดหู่ไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว นี่อาจเป็นประโยชน์และเป้าหมายหลักในการลอบสังหารนาง
แน่นอนว่าอาจจะอยากจับทั้งเป็น แล้วเก็บไว้ข่มขู่หลี่เย่
หรือบางทีอาจจะมีเหตุผลอะไร เพราะว่ามีคนไม่ชอบใจนางเท่านั้น คิดอยากให้นางตายเท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร คนที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และในบรรดาคนที่นางทำให้ไม่พอใจ ก็มีเพียงคนเดียวที่ทำได้
นางแทบจะรู้คำตอบในทันที
*黄鼠狼给鸡拜年,没安好心 (อีเห็นสวัสดีปีใหม่กับไก่ ไม่หวังดี) อีเห็นชอบกินไก่ เหมือนแมวที่ชอบจับหนู แต่จู่ๆ กลับหิ้วตะกร้าผลไม้มาสวัสดีปีใหม่ ต่อหน้าทำเป็นรักใคร่ห่วงใย แต่ใจจริงมุ่งร้ายไม่หวังดี