บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 519 ใส่ความ

           “เรื่องวันนี้ไม่อาจปล่อยให้จบเช่นนี้ได้” หลี่เย่เคาะโต๊ะ เอ่ยปากพูดด้วยท่าทีเย็นชา ไร้ซึ่งไอความอบอุ่นจนน่าตกใจ  

 

 

           ที่จริงแล้วถาวจวินหลันคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว จึงหัวเราะขมขื่น “ ย่อมไม่อาจปล่อยเอาไว้เช่นนี้ได้ มีคนเห็นมากมายขนาดนั้น แม้ว่าอยากจะปิดบังก็คงปิดไม่มิด คราวนี้กู่ลิ่งจือก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่แน่ว่าจะมีคนฉวยโอกาสเสนอเรื่องให้เปลี่ยนกู่ลิ่งจือออกไป”  

 

 

           ตอนแรกที่ให้กู่ลิ่งจือเป็นผู้ดูแลเมือง ก็ด้วยหลี่เย่ถูกลอบสังหาร ครั้งนี้นางถูกลอบสังหาร แล้วยังมีคนตายมากมายขนาดนี้ คิดว่าคงไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้แน่  

 

 

           นางรู้ดีแก่ใจว่าต่อให้นางไม่ใช่คนสำคัญอะไร แต่ฮ่องเต้ต้องคิดมากอย่างแน่นอน  

 

 

           ใต้เท้าโอรสสวรรค์ แคว้น เมืองหลวงกลับเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารเช่นนี้ขึ้น จะให้ฮ่องเต้ไม่หงุดหงิด ไม่พอใจได้อย่างไร? แล้วฮ่องเต้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? พูดไม่น่าฟังก็คือ แม้แต่ที่ดินหนึ่งไร่สามส่วนใต้เท้าของตนเองยังดูแลไม่ทั่วถึง แล้วยังจะคาดหวังให้เขาดูแลปกครองประเทศได้อย่างไร?  

 

 

           พูดให้ลึกไปกว่านั้น วันนี้กล้าทำเรื่องเอิกเกริกบนถนนสายหลัก วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดในวังหลวงอีกหรือไม่? คิดว่าฮ่องเต้ต้องว้าวุ่นใจแน่นอน  

 

 

           “กู่ลิ่งจือเพิ่งจะขึ้นตำแหน่งได้ไม่นาน ถึงเวลานั้นคิดหาวิธีผลักความรับผิดชอบเอาก็ได้แล้ว” หลี่เย่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ต่อให้เขาปกป้องกู่ลิ่งจือไว้ไม่ได้ ฮ่องเต้ก็คงไม่เปลี่ยนคนง่ายดายแน่นอน ต่อให้เปลี่ยนคนก็ไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหวังอีก  

 

 

           “กลัวก็แต่ว่าสุดท้ายแล้วจะสืบหาอะไรไม่ได้ แล้วเรื่องให้เรื่องจบไปแบบนี้” หลี่เย่พูดแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย มีเพียงแค่ในใจของเขาเท่านั้นที่รู้ดีว่าหมายความว่าอะไร ความจริงแล้วต่อให้คราวนี้สืบพบว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง ฮ่องเต้ก็ยังต้องรั้งทัพรอจังหวะบุกโจมตีอยู่ดี ตระกูลหวังไม่ใช่แค่คนอายุน้อยมีความสามารถที่ถูกกักให้อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่พวกเขากำลังค่อยๆ ริบอำนาจไปทีละน้อย  

 

 

           ถาวจวินหลันก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มและส่ายหัวไปมา “อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเพคะ หากเรื่องนี้สะพัดไปจนเกิดความโกลาหลเล่า? ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับใครก็ไม่อาจปิดตาข้างเดียวได้แล้ว”  

 

 

           ที่จริงนางก็ไม่เคยคิดว่าจะสืบฆาตกรตัวจริง นางคิดว่าครั้งนี้ป้ายสีใส่ความได้อย่างสมบูรณ์แบบ คราวที่แล้วสืบทราบว่าตระกูลหวังลอบฝึกฝนฆาตกร แต่ยังหาหลักฐานไม่พบมิใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ก็ง่ายแล้ว  

 

 

           หลี่เย่มองถาวจวินหลันที่มีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า ในใจคิดจะถามบางเรื่อง ทางด้านถาวจิ้งผิงก็พูดขึ้นมาก่อน “เห็นท่านพี่เป็นเช่นนี้ ก็รู้แล้วว่าท่านต้องมีแผนแล้วเป็นแน่”  

 

 

           “อืม” ถาวจวินหลันยิ้มพลางมองไปทางถาวจิ้งผิง ก่อนพูดตำหนิ “เจ้ารู้ใจข้ามากเกินไปแล้ว”  

 

 

           จากนั้นถึงได้อธิบายแผนการของตนเอง “คราวที่แล้วท่านอ๋องสืบพบเรื่องตระกูลหวังลอบฝึกฝนฆาตกรได้มิใช่หรือ? เพียงแต่ไม่มีหลักฐานเท่านั้นเอง ตอนนั้นพวกเรายังใส่ร้ายป้ายสีได้ แต่ข้าไม่ได้ทำให้คนโกรธแค้นเหมือนกับท่านอ๋อง ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้พระชายาอยากให้ข้าตายก็แล้วไป ทว่าตอนนี้พระชายาก็จากไปแล้ว ยังจะมีใครเกลียดข้าจนอยากให้ข้าตายอีกเล่า?”  

 

 

           “จะบอกว่าเป็นอนุภรรยาคนอื่นของท่านอ๋องก็เป็นไปไม่ได้ พวกนางไม่ใหญ่พอทำเรื่องแบบนี้ได้ ดังนั้นจึงต้องเป็นคนอื่น จากที่ดูแล้วคนที่ข้าทำให้ไม่พอใจมากที่สุดก็คงเป็นฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายาท วันนั้นที่ข้าช่วยจวงผินพูด และทรยศฮองเฮาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเหตุผลที่ฮองเฮาไม่ชอบข้า” ถาวจวินหลันหัวเราะเยาะตนเอง “พวกท่านว่า หากมีคนไปพูดบ่นเรื่องเหล่านี้กับฮ่องเต้สักคำ ว่าเพียงเพราะโกรธเกลียดยังกล้าลงมือทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วหากเป็นเรื่องผลประโยชน์ขัดแย้งกันเล่า อย่างนั้นพวกเขาคงเอาถึงตายแน่นอนมิใช่หรือ?”  

 

 

           หลี่เย่เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน มนุษย์ล้วนกลัวตาย เสด็จพ่อได้ยินเช่นนี้จะต้องคิดถึงตัวหลี่เย่เป็นแน่ จะต้องรู้ว่าเขาเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ในการขึ้นครองราชย์ครององค์รัชทายาท โดยเฉพาะตอนนี้เขาลงมือกับตระกูลหวัง เพื่อลดทอนอำนาจองค์รัชทายาท  

 

 

           ถาวจิ้งผิงก็เข้าใจความหมายของพี่สาวตน จึงตบมือหัวเราะ “ดีมาก! ดีมาก!” หยุดไปครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วแน่น “แต่ไม่รู้ว่าต้องให้ใครพูดเรื่องนี้ถึงจะเหมาะสม”  

 

 

           “ไม่ต้องรีบ พวกเราจะต้องไม่ทำให้เอิกเกริกครึกโครมเสียก่อน ต้องให้เขาคาดเดาเองว่าแท้จริงแล้วใครทำเรื่องนี้ รอจนถึงแก่เวลาแล้ว ค่อยให้คนเอาไปพูดต่อหน้าเสด็จพ่อเหมือนเรื่องธรรมดาทั่วไปถึงจะดี” หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ ดูมีท่าทีอบอุ่นดังเดิม  

 

 

           ถาวจวินหลันก็หัวเราะ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงเวลาไม่ว่าจะเป็นใครพูดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่มีทางถูกสงสัยแน่นอน”  

 

 

           “ไม่เพียงเท่านั้น พวกเรายังต้องแสดงละครน้ำเน่า เจ็บตัวเพื่อแลกกับความไว้ใจถึงจะดี” หลี่เย่นิ่งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มยิ่งดูอบอุ่น “เสด็จพ่อเพิ่งเริ่มให้ตัวข้าจัดการเรื่องราชการ ถือว่าเป็นเรื่องที่องค์รัชทายาทสมควรทำ ฮองเฮาคงต้องร้อนใจมาก”  

 

 

           “ไม่ใช่แค่ร้อนใจ ตอนอยู่ในวังหลวงวันนี้ยังถามข้าด้วย ให้ข้ามาเกลี้ยกล่อมท่านให้พักผ่อนดีๆ” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “มีคนได้ยินมากมาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าปั้นขึ้นมาเอง” นางเข้าใจความหมายของหลี่เย่ ดังนั้นพูดต่อให้  

 

 

           “แต่หากต้องเจ็บตัวเพื่อแลกกับความไว้ใจก็ถือว่าไม่คุ้ม” ถาวจวินหลันคิดแล้วก็กังวล “ท่านห้ามให้ตนเองเจ็บตัวอีก”  

 

 

           “ท่านอ๋องห้ามบาดเจ็บ แต่ทำให้คนอื่นบาดเจ็บแทนได้ เช่นข้าและฝู่ชิง” ฉับพลันนั้นถาวจิ้งผิงก็พูดขัด น้ำเสียงของจิ้งผิงแฝงไว้ด้วยความขบขันเล็กน้อย “เหมือนกับพวกท่าน พวกเราไม่จำเป็นต้องได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่สภาพน่าเวทนาก็พอแล้ว แต่ก็ต้องให้คนคุ้มกันซื่อสัตย์สองสามคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย” จากความคิดของเขา ทางที่ดีที่สุดควรมีคนตายอย่างน้อยคนสองคนถึงจะดี  

 

 

           “คนคุ้มกันของข้าล้วนถูกคัดเลือกเป็นอย่างดี หากเป็นสถานการณ์เช่นในวันนี้คงจะไม่มีคนตาย อีกทั้งชายารองตวนชินอ๋องเพิ่งถูกลอบสังหาร คนคุ้มกันข้างกายของตวนชินอ๋องอย่างข้าจะเพิ่มมากขึ้นก็ถือว่าสมเหตุสมผล เมื่อเป็นเช่นนี้แค่ทำท่าทีทำให้พอเป็นพิธีก็พอแล้ว” หลี่เย่หัวเราะ ดวงตาดำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้งของหัวใจ  

 

 

           “โจรลอบสังหารเล่า?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วถาม  

 

 

           “ข้ามีคนคุ้มกันเยอะ ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าทำไม่สำเร็จ ก็เลยหนีไป” หลี่เย่พูดช้าๆ ด้วยท่าทีสบายใจ อย่างไรโจรร้องตะโกนให้จับโจร ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาพูด อีกทั้งเขาเป็นคนที่ถูกลอบสังหาร ไฉนเลยจะรู้ว่าต้องจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างไร? อีกอย่างก็คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะใช้วิธีนี้?  

 

 

           ถาวจวินหลันพยักหน้า “ตามท่านว่าแล้วกัน”  

 

 

           ด้วยองค์หญิงเก้าพูดไม่สะดวก จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา นางย่อมรู้ว่านี่เป็นความคิดที่ดี แต่เพราะรู้ นางจึงไม่พูดขัด แต่จะไม่ให้นางเป็นห่วงถาวจิ้งผิงได้อย่างไร?  

 

 

           ถาวจวินหลันเห็นท่าทีเป็นกังวลขององค์หญิงเก้า ก็ปลอบโยนนางเสียงเบา “องค์หญิงเก้าวางใจเถิด ท่านอ๋องจะปล่อยให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร? เพียงแค่ทำท่าทีเวทนาไม่น่ามองให้คนอื่นเห็นเท่านั้นเอง” พูดไปก็ถลึงตามองถาวจิ้งผิงไปพลาง “เจ้าพูดมั่วเช่นนี้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าข้ากับองค์หญิงเก้าจะเป็นห่วง? ข้าไม่ยอมให้ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ หรือจะทำใจให้เจ้าเจ็บตัวได้อย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้จะต้องฟังข้า ห้ามพวกเจ้าบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว!”           

 

 

           หลี่เย่หัวเราะพลางพยักหน้า “วางใจเถิด ข้าไม่มีทางให้พวกเขาทำตามใจชอบเป็นแน่”  

 

 

           หากตอนนี้ถาวจิ้งผิงรับปาก พวกนางอาจจะไม่วางใจและเชื่อใจ แต่หลี่เย่พูดเองแบบนี้ กลับทำให้วางใจ  

 

 

           เรื่องนี้พูดคุยกันเรียบร้อย ถาวจวินหลันก็นึกถึงจุดประสงค์เดิมได้ จึงแค่นยิ้มหันไปพูดกับหลี่เย่ว่า “ที่จริงแล้ววันนี้ก็บังเอิญเกิดเรื่องหนึ่งขึ้นเช่นกันเพคะ ข้าเพิ่งได้นั่งรถม้าขององค์หญิงเก้า มิเช่นนั้นผลลัพธ์ต้องไม่น่ามองแน่นอน พูดขึ้นมาแล้วถือว่าคนนั้นช่วยชีวิตข้าไปครั้งหนึ่ง”  

 

 

           หากไม่ใช่เพราะคนนั้นบังเอิญมาขวางรถม้าขององค์หญิงเก้า องค์หญิงเก้าก็คงไม่มีเรื่องต้องคุยกับนางแต่เพราะมีเรื่องต้องคุยกัน นางถึงได้ขึ้นรถม้าขององค์หญิงเก้าไป แม้จะบอกว่าเพราะโชคชะตา แต่คนผู้นั้นก็ช่วยชีวิตนางเอาไว้ครั้งหนึ่งจริงๆ  

 

 

           หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ก็พูดขึ้นมาในทันใด “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะต้องตกรางวัลให้คนผู้นั้นอย่างงาม” แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อถาวจวินหลันพูดเช่นนี้แล้ว ก็ต้องเกิดอะไรขึ้นเป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาไม่เพียงแค่ต้องตกรางวัล แล้วยังจะต้องตกรางวัลให้อย่างงามอีกด้วย  

 

 

           “คนผู้นั้นคงไม่ต้องการรางวัลอะไร คงจะต้องการให้ท่านอ๋องช่วยเขาร้องทุกข์มากกว่าเพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น หลังจากส่ายหัวไปมาแล้ว ก็เริ่มเล่าเรื่องวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะเรื่องที่คนผู้นั้นพูดกับองค์หญิงเก้า  

 

 

           “กองทุนบรรเทาภัยพิบัติที่ราชสำนักแบ่งออกไปนั้น ข้าดูแล้วคิดว่าคงจะมีเจ็ดแปดส่วนที่ถูกเก็บเอาไว้เป็นส่วนตัว ที่เอาไว้ใช้กับผู้ลี้ภัยจริงๆ มีไม่ถึงสองสามส่วน” ถาวจวินหลันถอนหายใจ ในใจรู้สึกไม่ดีนัก ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นต้องประสบเรื่องลำบากลำเข็ญมามากเพียงใด กว่าจะผ่านเรื่องภัยพิบัติ โรคระบาดมีชีวิตอยู่ได้ ตอนนี้กลับต้องมาตายไปไม่รู้ตั้งเท่าไรเพราะว่าการทุจริตของข้าราชการ พอมาคิดดูแล้วยิ่งเจ็บปวดและโกรธแค้น  

 

 

           นางรู้สึกว่าบรรดาข้าราชการที่ทุจริตนั้นควรจะตายไปให้หมด  

 

 

           ท่าทีของหลี่เย่นั้นก็นิ่งไปเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วเขาก็แค่นหัวเราะออกมา “ข้ารู้ว่าพวกเขาต้องริบไปเป็นของตนเอง แต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงถึงขนาดนี้”  

 

 

           ถาวจวินหลันนึกถึงเรื่องที่หลี่เย่พูดก่อนที่องค์รัชทายาทจะออกจากเมืองหลวง ทันใดนั้นก็อดหันไปมองหลี่เย่ไม่ได้ “ท่านรู้เรื่องนี้นานแล้วหรือเพคะ?”  

 

 

           “รู้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้การทุจริตไปเป็นของตนเองยังไม่ถึงขั้นทำให้ประชาชนลำบาก แต่คราวนี้…” หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ ข้าควรจะไปเองสักครั้ง”  

 

 

ประชาชนลำบากยากแค้น นี่ถือว่าข้าราชการบังคับให้ประชาชนก่อกบฏ นี่เป็นการทำลายความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของราชสำนักภายในใจของประชาชน ทำให้ประชาชนรู้สึกผิดหวังและอาจถึงขั้นหมดหวังต่อราชสำนัก  

 

 

ตั้งแต่โบราณกาล การประท้วงล้วนเหตุผลนี้ทั้งนั้นมิใช่หรือ? จะตีข้างนอกก็ต้องทำให้ข้างในสงบก่อน การทำให้ภายในสงบนั้นสำคัญมากที่สุด ในเมื่อเขาต้องการแผ่นดินนี้ ก็ไม่อาจทนดูเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ เขารู้สึกเสียดายที่ให้องค์รัชทายาทไป ไม่ใช่ตนเอง หากเขาไป อย่างน้อยตอนนี้ก็คงจะถึงนานแล้ว  

 

 

แก้ไขสถานการณ์ให้เร็วขึ้นวันหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคนได้มากเท่าไรแล้ว  

 

 

หลี่เย่มีท่าทีนิ่งอยู่ในภวังค์ “ไม่ได้ ข้าจะต้องเข้าวังทันที”  

 

 

ถาวจวินหลันดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ถามเขาว่า “องค์รัชทายาทคงจะถึงนานหลายวันแล้วมิใช่หรือเพคะ? ตอนนี้เขาเองคงจะส่งฎีกากลับมาแล้วกระมัง?”  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset