ครั้นเรื่องที่ถาวจวินหลันโดนลอบสังหารถูกถ่ายทอดเข้ามาถึงในวังหลวง พระชายาองค์รัชทายาทและหวังเหลียงตี้กำลังปรนนิบัติฮองเฮาเสวยโอสถ ช่วงเวลาที่นางออกจากวังหลวงไปนั้น โรคเก่าที่ไม่ได้ออกอาการมาหลายปีก็เกิดกำเริบขึ้นมา ทำให้นางรู้สึกปวดหัวบ้างเป็นครั้งคราว
พอฮองเฮาได้ยินเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ยอมเสวยโอสถอีก ผลักถ้วยยาออกไป พลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “โชคดีเหลือเกินนักนะ ขนาดนี้แล้วก็ยังพ้นเคราะห์ไปได้”
สีหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่น่าดูเช่นกัน หัวเราะขมขื่นอยู่นาน “จะไม่ใช่โชคดีได้อย่างไร” นี่เป็นเพียงแค่โชคดีได้อย่างไร? เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องขึ้น และเหมือนจงใจหลีกเลี่ยง
หวังเหลียงตี้มองดูท่าทีของป้ากับพี่สาวของตนเอง ก็เม้มปากแล้วตัดสินใจพูดกล่อมฮองเฮาว่า “ท่านป้าเสวยยาก่อนเถิดเพคะ บำรุงร่างกายให้ดีก็สำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น ความโชคดีของถาวซื่อนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น หรือจะยังโชคดีได้ตลอดไป?”
“เรื่องนี้วุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว เกรงว่าคงมีเรื่องวุ่นวายตามมาไม่น้อย” ฮองเฮาถอนหายใจ ก้มหน้าลงไปมองยาน้ำสีดำ ยังไม่ต้องกินก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นขมเต็มปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ผลักออกไป “ไม่กินแล้ว ไม่มีอารมณ์”
เห็นฮองเฮาเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดหว่านล้อมอีกต่อไป จึงพากันนั่งนิ่งไม่พูดจา
“ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทเป็นเช่นไรบ้าง” ฮองเฮาไม่คิดถึงเรื่องของถาวจวินหลันอีก กลับคิดถึงองค์รัชทายาทแทน แล้วก็ถอนหายใจกล่าว “องค์รัชทายาทยังไม่เคยออกจากเมืองหลวงมาก่อนเลย ที่แห่งนั้นทั้งจนและเลวร้าย ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทจะต้องลำบากยากแค้นหรือไม่? เขามีกินมีใช้มาตั้งแต่เด็ก เกรงว่าคงจะไม่คุ้นชิน”
“องค์รัชทายาทนำเงินไปมากพอเพคะ รวมถึงรองเท้าถุงเท้า เสื้อผ้าก็ไม่ขาดเพคะ ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลมากไป อีกทั้งต่อให้ลำบากเพียงใด ขุนนางที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่กล้าทำผิดต่อองค์รัชทายาทหรอกเพคะ” พระชายาองค์รัชทายาทหัวเราะ รวบรวมเรี่ยวแรงมาปลอบโยนฮองเฮา
ฮองเฮาเห็นพระชายาองค์รัชทายาทพูดอย่างสบายใจ ไม่เพียงแค่ขัดใจ แต่ยังขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างอดไม่ได้ “เจ้าก็พูดง่าย ด้านนอกนั้นมีตั้งหลายอย่างที่เทียบกับวังหลวงไม่ได้ เจ้าควรจะต้องนึกถึงใจขององค์รัชทายาทให้มากขึ้น”
พระชายาองค์รัชทายาทเม้มปาก อดกำมือแน่นไม่ได้ นางรู้ว่าฮองเฮาตำหนิที่นางเป็นห่วงองค์รัชทายาทไม่มากพอ จนเริ่มไม่พอใจ
หวังเหลียงตี้ยิ่งก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าเอ่ยปากพูดแม้แต่น้อย พูดไปก็มีแต่ส่งผลกระทบถึงตนเอง
พอเห็นพระชายาองค์รัชทายาทไม่พูดจา ฮองเฮาก็รู้ว่าตนเองพูดแรงเกินไปเล็กน้อย แม้นหงุดหงิดใจเพียงใด แต่ก็ยังไม่อาจยอมลดเกียรติพูดขอโทษได้ ดังนั้นจึงโบกมือไปมา “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะพักเสียหน่อย”
หากดูตามใจที่สงบแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทก็ถือว่าดี แต่ไม่รู้ว่าทำไมองค์รัชทายาทถึงได้ไม่ชอบ เวลาล่วงผ่านไปนานทำให้ใจของพระชายาองค์รัชทายาทเย็นชา สุดท้ายท่าทีก็ไม่สู้แต่ก่อนแล้ว ทว่าเรื่องนี้ฮองเฮาเองก็ไม่มีวิธีแก้ ทำได้แค่เพียงร้อนรนไปเองเท่านั้น ทั้งหงุดหงิดเรื่ององค์รัชทายาทไม่รู้ความ ไม่รู้จักสานสัมพันธ์กับพระชายาองค์รัชทายาทให้ดี
พระชายาองค์รัชทายาททั้งเก่ง และพ่อของนางก็ถือเป็นลุงขององค์รัชทายาท สานสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติถือเป็นเรื่องดี และเป็นนางที่วางแผนซื้อใจคนอื่นแทนองค์รัชทายาท แต่องค์รัชทายาทกลับทำเสียเรื่องเสมอ
แต่อย่างไรแล้วนั่นก็เป็นลูกชายของตนเอง หงุดหงิดถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สุดท้ายแล้วฮองเฮาก็เป็นห่วงมากกว่า
ถาวจวินหลันตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงเวลายามบ่ายแล้ว มองดูท้องฟ้า ก็รู้ว่าใกล้เวลาทานข้าวเย็นแล้ว จึงกล่าวโทษปี้เจียว “ทำไมไม่เรียกข้าเล่า?”
ปี้เจียวหัวเราะพลางพูดออกมา “องค์หญิงเก้ายังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ นายหญิงเองก็นอนอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ไม่ว่าอย่างไรในจวนก็ไม่มีเรื่องอื่นต้องจัดการ”
ถาวจวินหลันถอนใจ จากนั้นก็เริ่มกังวล “ทำไมยังไม่ตื่นอีกเล่า?”
ปี้เจียวย่อมไม่รู้ แต่เห็นว่าถาวจวินหลันเป็นห่วงจึงรีบพูดออกมาว่า “ชายารองอย่าได้ใจร้อนไปเจ้าค่ะ บ่าวจะไปถามให้ อีกอย่างคิดดูแล้วก็เพราะว่าตกใจถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เจ้าไปดูเถิด แม้จะบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่ก่อนนี้นางอยู่ในวังหลวงมาโดยตลอด ไฉนเลยจะเคยพบเห็นเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ ตกใจมากไปก็ไม่ดี” ไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงเก้า แม้แต่นางเองก็ตกใจจนไม่ค่อยสบายใจนัก ดังนั้นจึงไม่อาจละเลยได้
ปี้เจียวทำได้แค่ให้ชุนฮุ่ยนำบรรดาบ่าวรับใช้มาช่วยปรนนิบัติถาวจวินหลัน ส่วนตนเองก็เดินไปดูองค์หญิงเก้า
บ่าวขององค์หญิงเก้าอยู่ด้านนอก ตอนที่ปี้เจียวเดินไปก็เห็นว่าบรรดาบ่าวกำลังรวมกลุ่มกันเล่นไพ่ แม้จะบอกว่าไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะดังรบกวนองค์หญิงเก้า แต่ก็เล่นกันสนุกสนานเป็นอย่างมาก
ปี้เจียวเห็นว่าทุกคนอยู่กันครบก็ขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าบ่าวพวกนี้ออกมาจากวังหลวงแท้ๆ ทว่ากลับไร้กฎเกณฑ์ มีที่ไหนเจ้านายนอนหลับอยู่ข้างใน กลับไม่มีคนข้างกายแม้แต่คนเดียว? เรื่องนั่งเล่นยังไม่ต้องพูดถึง อย่างไรภายในเรือนเฉินเซียงก็เป็นเช่นเดียวกัน ตอนที่ถาวจวินหลันนอนกลางวัน นอกจากคนที่คอยเฝ้าอยู่เบื้องหน้าแล้ว คนอื่นก็จะไปเล่นไพ่ หรือว่านอนกลางวันได้ทั้งนั้น
แต่นั่นก็จะต้องมีคนคอยเฝ้าอยู่เบื้องหน้าถาวจวินหลันถึงจะทำได้ คนอื่นที่อยู่ด้านนอกเล่นไพ่ หยอกล้อกันก็เพื่อไม่ทำให้ตนเองง่วงเท่านั้น จะได้รับฟังคำสั่งได้ตลอดเวลา แต่คนขององค์หญิงเก้านี่อย่างไรกัน องค์หญิงเก้านอนอยู่ข้างใน ไม่มีคนดูแลไม่ต้องพูดถึง แล้วยังเล่นกันสนุกสนานอีกด้วย
ปี้เจียวกระแอมเสียงดัง
คราวนี้บรรดาบ่าวรับใช้ถึงสังเกตเห็นปี้เจียว ทว่ากลับไม่ได้กระตือรือร้นที่จะสนใจเลยสักนิด เพียงแค่ยิ้มและทักทายเล็กน้อยเท่านั้น
ปี้เจียวยิ่งไม่ค่อยชอบบรรดาบ่าวรับใช้พวกนี้มากขึ้นไปอีก นี่คิดว่าสูงกว่าคนอื่นชั้นหนึ่ง เพราะคิดว่าพวกนางออกมาจากวังหลวง พอเทียบกับนางแล้วดูสูงส่งกว่าอย่างนั้นซีนะ
ปี้เจียวแอบเบะปากดูถูกอยู่ในใจ เป็นคนรับใช้เหมือนกันจะมีใครสูงส่งไปกว่ากันได้? องค์หญิงเก้าก็อาจจะเทียบกับชายารองของตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำไป มีตาหามีแววไม่ ไม่สังเกตว่าองค์หญิงเก้ายังต้องทำตัวเกรงใจต่อชายารองของตนเองบ้างเลยอย่างนั้นหรือ? ไม่รู้เลยว่าองค์หญิงเก้าสั่งสอนอย่างไรกันแน่
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้คิดได้แค่ภายในใจเท่านั้น ปี้เจียวย่อมต้องไม่แสดงออกมา เพียงแค่หัวเราะ ถามว่า “องค์หญิงเก้าตื่นแล้วหรือ? ชายารองของพวกเราให้ข้ามาถาม”
จากนั้นก็มีคนลุกขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิงเก้ายังไม่ตื่นเลย แต่ก็ควรแก่เวลาแล้ว ข้าจะไปเรียกองค์หญิงเก้า”
ปี้เจียวรับคำ หันกลับไปตั้งใจจะรายงานถาวจวินหลัน แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปไกล ก็ได้ยินเสียงคนไล่ตามมาจากด้านหลัง หันกลับไปก็เห็นว่าเป็นบ่าวคนนั้น สีหน้าของบ่าวคนนั้นซีดเผือดกระวนกระวาย “ไม่ดีแล้ว องค์หญิงเป็นไข้”
ปี้เจียวได้ยินก็ตกใจมาก รีบพูดว่า “ข้าจะไปรายงานชายารอง ให้คนไปเชิญหมอหลวง” องค์หญิงเก้าล้มป่วยในจวนตวนชินอ๋อง แม้จะบอกว่าไม่ใช่เพราะจวนตวนชินอ๋องดูแลไม่ถี่ถ้วน แต่ฟังแล้วก็ไม่ใช่เรื่องน่าฟัง ที่สำคัญกว่านั้นคือองค์หญิงเก้าบอบบางล้ำค่า หากเป็นอะไรไป พวกนางจะชดใช้ได้อย่างไร?
ถาวจวินหลันได้ยินว่าองค์หญิงเก้าไข้ขึ้นก็ตกใจเป็นที่ยิ่ง รีบให้คนบังคับรถม้าไปเชิญหมอหลวง และไปดูอาการด้วยตนเอง
ตลอดทางนั้นปี้เจียวก็พูดสิ่งที่ตนเองเห็นและได้ยินให้ถาวจวินหลันฟังทั้งหมด สุดท้ายก็พูดว่า “ทำไมองค์หญิงเก้าถึงไม่บังคับบ่าวเลยหรือเจ้าคะ? พวกนางถึงได้ใจจนเคยตัวเช่นนี้”
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจ “ไฉนเลยจะบังคับได้ง่ายขนาดนั้น” ตอนที่องค์หญิงเก้าอยู่ในวังหลวงก็ไม่ได้มีอำนาจอะไร ย่อมไม่อาจสั่งสอนได้ เพราะว่าคนข้างกายล้วนเป็นคนที่ฮองเฮาดึงออกมา จะไปสั่งสอนอย่างไร? ไม่เพียงแค่ไม่อาจควบคุมได้ แล้วยังต้องเคารพด้วยซ้ำไป ดังนั้นแม้ว่าคนเหล่านั้นขี้เกียจ องค์หญิงเก้าก็ต้องปิดตาข้างหนึ่ง
ในตอนนี้ออกจากวังหลวงมาแล้ว องค์หญิงเก้าผันตัวมาเป็นนายหญิงในเรือน แต่ความจริงแล้วก็ยังไม่อาจควบคุมคนเหล่านี้ได้ อย่างไรก็เป็นนางกำนัลที่ติดมาตอนแต่งงาน จึงต้องไว้หน้า ไม่อาจสั่งอะไรตามใจชอบได้ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่านางเย็นชาไร้น้ำใจมิใช่อย่างนั้นหรือ? ดังนั้นจำต้องทำเป็นไม่เห็นในบางครั้ง
ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ อย่างไรบ่าวรับใช้เหล่านั้นตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ทำตัวดี คิดเผื่อองค์หญิงเก้า ปรนนิบัติดูแลอย่างรอบคอบ แต่คิดไม่ถึงว่าลับหลังจะมีท่าทีเช่นนี้
แต่เรื่องนี้คนอื่นก็ไม่อาจเข้าไปพูดแทนองค์หญิงเก้าได้ มิเช่นนั้นแล้วคงไม่น่าดูนัก ดังนั้นเรื่องนี้ต่อให้นางรู้ ก็ถือว่าจนปัญญาเช่นกัน
พูดง่ายๆ ก็คือจะต้องเป็นองค์หญิงเก้าออกโรงตักเตือนด้วยตนเองถึงจะดี องค์หญิงเก้าไม่สนใจ คนอื่นก็ไม่อาจข้ามหน้าข้ามตาไปได้
พอเห็นสภาพขององค์หญิงเก้า ถาวจวินหลันพลันก็ขมวด พูดตามจริงแล้วอาการขององค์หญิงเก้าไม่สู้ดีนัก หน้าซีดขาวไม่ต้องพูดถึง ไข้ขึ้นสูงตัวร้อนก็ไม่ต้องพูดถึง ยามนี้นางเอาแต่ขมวดคิ้วแน่นพูดพึมพำไม่หยุด นี่ก็รู้ได้ว่าองค์หญิงเก้าคงจะฝันร้ายแน่นอน
“ทำไมถึงไม่ปลุกองค์หญิง?” ถาวจวินหลันหงุดหงิดเล็กน้อย ถลึงตามองบ่าวรับใช้ข้างเตียง นอนหลับไม่สนิทเช่นนี้ แล้วยังฝันร้าย ไม่รู้ว่าจะต้องลำบากมากเพียงใด ปลุกให้ตื่นอย่างน้อยก็สลัดให้หลุดจากฝันร้ายไปได้
บ่าวหญิงคนนั้นถูกถาวจวินหลันถลึงตาใส่ก็ไม่ได้กลัว กลับพูดว่า “องค์หญิงนอนหลับ บ่าวจะไปรบกวนตามใจชอบได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ?” ไม่ใช่ว่ารบกวนไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับบ่าวรับใช้อีก จึงยื่นมือไปเขย่าองค์หญิงเก้าเบาๆ แล้วเรียกชื่อ “ตื่นๆ ตื่นเร็วเข้า!”
องค์หญิงเก้าขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมตื่น
ถาวจวินหลันทำได้แค่ออกแรงเขย่ามากขึ้น และเรียกเสียงดังมากขึ้นหลายส่วน “เจ้าเก้า! ตื่นซี!”
องค์หญิงเก้าถึงได้ฝืนลืมตาขึ้นมา ที่บอกว่าฝืนก็เพราะเห็นว่าขนตาขององค์หญิงเก้าขยับอยู่หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ลืมตาขึ้นมาเสียที
องค์หญิงเก้าเหมือนยังไม่หลุดจากภวังค์ฝัน นิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา ยิ้มให้ถาวจวินหลัน อ้าปากแต่กลับต้องสูดลมเย็นเข้าปอด ความเจ็บปวดบนลิ้นทำให้นางได้สติขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
พอสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของตนเอง องค์หญิงเก้าก็กล้ำกลืนความเจ็บปวด ถามว่า “ข้าเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าเป็นไข้ตัวร้อนน่ะซี” ถาวจวินหลันถอนหายใจ ใช้มือแนบกับหน้าผากขององค์หญิงเก้าอย่างนึกสงสาร “ข้าให้คนไปเชิญหมอหลวงมาแล้ว หากไม่สบาย เจ้าก็นอนต่ออีกหน่อยเถิด”
องค์หญิงเก้าส่ายหน้าไม่ยอมนอนต่อ นางยังจำได้ว่าเมื่อครู่ฝันร้าย ไฉนเลยตอนนี้จะยังอยากนอนต่อ? หากนอนไปแล้วฝันร้ายอีกจะทำเช่นไร?
“ปี้เจียว เจ้าไปรินน้ำมาแก้วหนึ่ง” ถาวจวินหลันเห็นองค์หญิงเก้าไม่ยอมนอน นางก็จงใจไม่เรียกบ่าวรับใช้ขององค์หญิงเก้า แต่เรียกปี้เจียวแทน
ปี้เจียวเข้าใจความคิดของถาวจวินหลัน ก็ไปจัดการอย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่เปิดโอกาสให้บ่าวขององค์หญิงเก้าแย่งทำงาน
บ่าวขององค์หญิงเก้านั้นย่อมต้องประหม่า ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนเป็นที่ยิ่ง สีหน้าก็ไม่น่ามองนัก ถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ถือว่าหักหน้าพวกนาง เพียงไม่นาน พลันก็พากันไม่พอใจ