ถาวจวินหลันตกใจกับคำพูดของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน รีบถามว่า “พวกเรากระจายข่าวที่องค์รัชทายาทปกป้องคนเหล่านั้นออกไปอย่างนั้นหรือ? คำพูดนี้ท่านแม่ได้ยินมาจากใครกันเจ้าคะ?”
แต่เดิมนั้นนางอยากให้หลิวเอินสืบเรื่องนี้ให้พบ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปไม่นาน เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะพูดเช่นนี้ จวนตวนชินอ๋องเป็นคนกระจายข่าวออกไปอย่างนั้นหรือ? นี่เป็นไปได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงนางเพิ่งรู้ข่าวได้ไม่นาน แต่หากนางเป็นคนกระจายข่าวออกไปจริงๆ แล้วนางจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? อีกทั้งยังรวดเร็วเช่นนี้อีก? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางจะทำอย่างโจ่งแจ้ง และปล่อยให้คนมีเรื่องไปติฉินนินทาได้เลย นางจะยอมหาความวุ่นวายเข้ามาสู่ตวนชินอ๋องอย่างนั้นหรือ?
เพ่ยหยางโหวฮูหยินเห็นเช่นนี้ไฉนเลยจะไม่เข้าใจ? จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่ใช่พวกเจ้าปล่อยข่าวไปอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่นพลางถามเพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับว่า “แม้ว่าข้าจะปล่อยข่าวนี้ออกไป แล้วจะปล่อยให้คนอื่นรู้ได้อย่างไรว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ?” นี่ไม่ได้เร่งให้ฮองเฮาแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับจวนตวนชินอ๋องหรืออย่างไร? นี่ไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้คิดว่าจวนตวนชินอ๋องคิดจะแย่งบัลลังก์หรืออย่างไร?
เพ่ยหยางโหวฮูหยินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้าพูดว่า “เช่นนั้นก็ชัดว่ามีคนตั้งใจโจมตีจวนตวนชินอ๋องแล้ว” เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ไม่ใช่พรรคพวกของฮองเฮาและองค์รัชทายาท อย่างน้อยฮองเฮาคงไม่มีทางกระจายข่าวลือเองเป็นแน่
“ถือว่าเป็นแผนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ในใจของถาวจวินหลันนั้นยิ่งรู้สึกเย็นเยียบ ยิ่งรู้สึกเหมือนมีดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งจ้องมองตนเองจากเบื้องหลัง ฝ่ายตรงข้ามทำเช่นนี้ ทั้งใส่ร้ายจวนตวนชินอ๋อง นำความเดือดร้อนมาให้จวนตวนชินอ๋อง และยังกำจัดความน่าเชื่อถือขององค์รัชทายาทไปได้
ส่วนใครทำเรื่องนี้ นางคิดว่าหากไม่ใช่จวงอ๋องก็เป็นอู่อ๋อง มีเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้นที่มีแรงจูงใจทำเรื่องนี้ เพราะหลังจากองค์รัชทายาทและหลี่เย่หมดความน่าเชื่อถือ คนที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงก็คือสองคนนี้
ก่อนหน้านี้นางคงเหมารวมองค์ชายเจ็ดด้วย แต่องค์ชายเจ็ดสละโอกาสแย่งชิงบัลลังก์ต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยตนเองแล้ว อีกทั้งยังไปมาหาสู่กับหลี่เย่ สนิทสนมไม่มีใครเกิน ดังนั้นความเป็นไปได้จึงไม่สูงนัก
แต่เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือคิดหาวิธีกำจัดผลกระทบด้านลบเช่นนี้ถึงจะถูก ทางด้านฮองเฮาเองก็คงทำอย่างนี้เช่นกันเดียวกัน อย่างไรก็มองเป็นศัตรูกับจวนตวนชินอ๋อง ที่สำคัญที่สุดคือทางด้านฮ่องเต้
แต่เดิมนั้นฮ่องเต้ก็สงสัยมากขึ้นอยู่แล้ว ถ้าหากเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปก็กลัวว่าจะสงสัยหลี่เย่แน่นอน ย่อมหมดความเชื่อใจและไม่ให้ความสำคัญกับหลี่เย่เหมือนแต่ก่อน อาจเหมือนที่ทำกับองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ ต่อหน้านั้นแต่งตั้งหลี่เย่เป็นองค์รัชทายาท แล้วก็เพิ่มตำแหน่งให้คนอื่นมาคานอำนาจหลี่เย่เพื่อความสมดุล
หากเป็นเช่นนั้นหลี่เย่ต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน
ถาวจวินหลันยิ่งคิดลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งตกใจ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเรื่อยๆ อย่างไรนางก็จะต้องคิดหาวิธีแก้ให้ได้เป็นแน่
นางมองเพ่ยหยางโหวฮูหยินวูบหนึ่ง แล้วไม่คิดจะรั้งตัวอยู่ต่อ ถอนหายใจพลางพูดว่า “ข้าขอตัวก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ วันหน้าข้าจะมาหาท่านแม่เพื่อพูดคุยอีกนะเจ้าคะ”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินย่อมต้องรู้ว่าทำไมถาวจวินหันถึงรีบร้อนจากไป จึงพยักหน้าและออกมาส่งถาวจวินหลันด้วยตนเอง แต่ระหว่างทางก็กดเสียงต่ำถามเรื่องปลดองค์รัชทายาทอีกครั้ง
ถาวจวินหลันพูดเพียงสี่คำกับเพ่ยหยางโหวฮูหยิน “อยู่นิ่งดูความเคลื่อนไหว”
จวนเพ่ยหยางโหวไม่เหมาะเป็นผู้นำฝูงแพะ อย่างไรจวนเพ่ยหยางโหวและจวนตวนชินอ๋องก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว แล้วยังความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเพ่ยหยางโหวฮูหยินอีก หากจวนเพ่ยหยางโหวเป็นผู้นำ เกรงว่าจะยิ่งให้คนอื่นสงสัยหลี่เย่มากขึ้น
ดังนั้นถาวจวินหลันถึงได้ทิ้งสี่คำนี้เอาไว้ ‘อยู่นิ่งดูความเคลื่อนไหว’ รอจนเรื่องปลดองค์รัชทายาทถูกเสนอ จวนเพ่ยหยางโหวก็คงถูกบีบแนบอยู่กับบรรดาขุนนางคนอื่น ย่อมต้องไม่ดึงดูดสายตาอย่างแน่นอน
ไม่ใช่แค่เพียงจวนเพ่ยหยางโหวไม่สามารถเป็นผู้นำฝูงแพะนี้ได้ แม้แต่ตระกูลเฉิน ตระกูลถาวและตระกูลกู้ รวมถึงตระกูลที่มีความสัมพันธ์ทางการแต่งงานและสายเลือดกับจวนตวนชินอ๋องทั้งหมดล้วนไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
แต่นางกลับต้องเร่งรีบไปทางด้านองค์หญิงแปดสักรอบ องค์หญิงแปดช่วยเหลือนางมากมายเช่นนี้ หากนางทำเป็นทองไม่รู้ร้อน หรือมีท่าทีเย็นชา นั่นไม่ใช่ว่าทำให้คนจิตใจด้านชาอย่างนั้นหรือ? ดังนั้นตอนนี้นางจะต้องรีบไปถึงจะดีและเหมาะสมที่สุด
พอได้พบองค์หญิงแปดแล้ว องค์หญิงแปดก็หัวเราะ “พี่สะใภ้รองรีบมาเช่นนี้ เพราะว่าจะมาขอบใจข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ? ของขอบคุณเล่าเจ้าคะ? เตรียมไว้แล้วหรือยังเจ้าคะ?”
คำพูดขององค์หญิงแปดนั้นย่อมเป็นการหยอกล้อ แต่กลับเป็นการพูดตรงไปตรงมาอย่างมาก
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะ แม้แต่ความเคร่งขรึมในใจก็มลายหายไปไม่น้อย นางยื่นนิ้วออกไปจิ้มหน้าผากขององค์หญิงแปด หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้ายังจะมาทวงของจากข้าอีก ต่อให้ข้าไม่ได้เอาของตอบแทนคำขอบคุณมาให้ ก็คงจะไม่ดีที่จะเปิดปากพูดต่อแล้ว”
นางพูดแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบกล่องในมือของปี้เจียวด้วยตนเอง ก่อนเปิดกล่อง หัวเราะพลางยื่นไปตรงหน้าองค์หญิงแปด “ดูเอา เจ้าพอใจหรือไม่เล่า?”
ที่เตรียมไว้ให้องค์หญิงนั้นเป็นโอปอลสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่ง สีใสเช่นนี้เหมาะกับคนที่มีอายุอย่างอิงผินเป็นที่สุด แน่นอนว่า นอกจากสิ่งนี้แแล้ว นางก็ยังมีของขวัญอีกชิ้นหนึ่งเตรียมไว้ให้องค์หญิงแปด นั่นคือทับทิมหยกผิวเขียวรูปหัวใจแดงชิ้นหนึ่ง ผิวสีเขียวนั้นมันเงา สีแดงแต่ละเม็ดนั้นเต็มไปด้วยประกายแดงสดใส ดูเหมือนเป็นของจริง ถ้าไม่ใช่เพราะขนาดแตกต่างกัน หากวางไว้ที่เดียวกันก็คงสับสนได้
ถาวจวินหลันยิ้มพลางพูดออกมา “โอปอลนั้นเอาไว้ให้อิงผินทำเป็นเครื่องประดับตอนเลื่อนขั้นเป็นเฟย ส่วนทับทิมนี้ข้ามอบให้เพื่อแสดงความยินดีกับข่าวดีในปีหน้าของเจ้า ขอให้เจ้ากับสามีมีผู้สืบทอดเสียที”
องค์หญิงแปดหน้าแดงระเรื่อ ยิ้มพลางรับกล่องนั้นมาถือไว้ “เช่นนั้นต้องขอบคุณพี่สะใภ้รองแล้ว”
ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “ข้าต้องขอบคุณเจ้าต่างหาก เจ้าช่วยพวกเราขนาดนี้ เรื่องเท่านี้ถือเป็นอะไรกัน? ของพวกนี้แสดงความซาบซึ้งของข้าเพียงส่วนเดียวก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“พี่สะใภ้รองพูดเช่นนี้แล้วดูห่างเหินเสียจริง อีกอย่างพี่สะใภ้รองก็ให้สัญญาที่เป็นประโยชน์กับข้าแล้วมิใช่หรือ? ข้าเองก็ไม่ได้ลงแรงแบบเสียเปล่า” องค์หญิงแปดหัวเราะ พลางโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “อย่าได้พูดเช่นนี้อีกเลย มิเช่นนั้นคงห่างเกินกับข้าแล้ว เหมือนข้าไม่ใช่คนในครอบครัวอย่างนั้น”
ถาวจวินหลันไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เพียงแค่พูดว่า “เจ้ารู้เรื่ององค์รัชทายาทครั้งนี้แล้วหรือยัง?”
องค์หญิงแปดยิ้ม ท่าทีดูมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น “ย่อมต้องรู้เจ้าค่ะ เรื่องดีเช่นนี้ ข้าจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร? อีกอย่าง ข้ายังรู้ว่าฮองเฮาปาแก้วชาแตกไปหลายใบเลยทีเดียว แล้วยังมีบรรดานางสนมขององค์รัชทายาทในวังหลวง พวกนางต่างก็ร้อนรนเหมือนมดที่ถูกไฟรนอย่างไรอย่างนั้น”
ถาวจวินหลันกลับไม่รู้เรื่องนี้ ในตอนนั้นก็คิดว่า จะต้องเป็นข่าวที่อิงผินปล่อยออกมาอย่างแน่นอน แต่ฮองเฮาเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่เช่นนี้ กลับน่าปีติเสียเหลือเกิน
ดวงตาขององค์หญิงแปดเป็นประกาย พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นไม่สู้พวกเราเข้าวังหลวงไปทำความเคารพไทเฮาพรุ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งได้รับหนังจิ้งจอกใหม่มาผืนหนึ่ง เอาไว้ให้ไทเฮาทำเป็นผ้าคลุมเบาะได้พอดี”
ถาวจวินหลันเห็นองค์หญิงแปดฮึกเหิม ก็หัวเราะพูดว่า “วันพรุ่งนี้ข้าก็ตั้งใจจะเข้าไปในวังหลวง เห็นว่าช่วงที่หนาวที่สุดใกล้เข้ามาถึงแล้ว คงไม่อาจให้ซินหลันอยู่ในวังหลวงได้ตลอด ควรที่จะต้องกลับไปบ้านตระกูลเฉินแล้ว อีกอย่างซวนเอ๋อร์เองก็ไม่ได้พบไทเฮามานานแล้ว ให้ตามไปทำความเคารพด้วยก็คงจะดี”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรความเอ็นดูที่ไทเฮามีต่อซวนเอ๋อร์ก็เป็นของจริง สุขภาพของไทเฮาแย่ลงเรื่อยๆ นางยิ่งต้องพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวงไปพบไทเฮาบ่อยๆ ถึงจะถูก อย่างแรกเพื่อให้ไทเฮามีความสุข อย่างที่สองก็เพื่อไม่ให้ซวนเอ๋อร์ลืมไทเฮา ทวดที่เอ็นดูตนคนนี้
แน่นอนว่านางปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบางครั้งที่เอาซวนเอ๋อร์มาเป็นข้ออ้างเข้าวังหลวง
องค์หญิงแปดได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เข้าวังหลวงไปด้วยกันเถิด”
องค์หญิงแปดพูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ จึงพยักหน้าพูดว่า “ดี”
จากนั้นถาวจวินหลันก็กลับไปพูดเรื่องข่าวลือด้านนอกกับองค์หญิงแปด นางอดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ “ทำไมจวนตวนชินอ๋องถึงได้ถูกคนตลบหลังเช่นนี้อยู่ตลอด?”
องค์หญิงแปดส่ายหน้า “ผลประโยชน์เป็นเหตุเท่านั้นเองเจ้าค่ะ หากท่านอยู่ในวังหลวงมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็คงเห็นจนชินไปแล้ว คนในวังหลวงพร้อมตลบหลังได้ตลอดเวลา ไม่กลัวว่าท่านจะได้ยินเรื่องน่าขัน พูดถึงองค์ชาย องค์หญิงทั้งหลาย บางครั้งเพียงเพราะขนมเพียงชิ้นเดียว ผ้าผืนเดียว พวกเราก็ต้องปัดแข้งปัดขาแย่งกันเอง ข้าจำได้แม่นว่าตอนยังเด็ก เสด็จพ่อเคยประทานหยกประดับมาให้ข้าชิ้นหนึ่ง ไม่ได้มีค่าอะไรนัก แต่องค์หญิงสามและองค์หญิงสี่กลับวางแผนมาแย่งไป สุดท้ายหยกชิ้นนั้นก็ป่นปี้ไม่มีชิ้นดี และไม่มีใครได้ไปทั้งนั้น”
ถาวจวินหลันไม่เคยรู้ว่าองค์หญิงแปดเคยพบเจอเรื่องราวเช่นนี้มาก่อนจึงรู้สึกแปลกใจ นางคิดมาตลอดว่าองค์หญิงแปดมีอิงผินคอยปกป้องเป็นอย่างดีเท่านั้น
“ภายในวังหลวงก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาไม่ได้ เขาก็ไม่ยอมให้ท่านได้ อย่างน้อยสิ่งที่ท่านมี เขาไม่มี เขาก็ยิ่งไม่ยอมเลิกรา” องค์หญิงแปดแค่นหัวเราะ ดวงตาฉายแววเจนต่อโลกไม่สมกับวัย “ตอนนั้นเสด็จแม่ของข้าเคยบอกว่า แทนที่จะสู้กันจนเลือดตกยางออก ไม่สู้อยู่เฉยๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะข้าไม่สนใจ ดังนั้นตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ข้าจึงไม่ไปแก่งแย่งชิงดีอะไรอีก และทำตัวสงบนิ่ง”
ถาวจวินหลันครุ่นคิด จากนั้นก็พบว่าที่หลี่เย่ทำให้ฮองเฮาวางใจได้ช่วงหนึ่ง ก็ด้วยทำเป็นไม่แก่งแย่งอย่างนั้นหรือ?
อาศัยอยู่ภายในวังหลวง เกรงว่าไม่แย่งชิงคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
ฉับพลันนั้นนางก็รู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งอ้างว้าง ต่อจากนี้ไปนางจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ แล้วยังมีซวนเอ๋อร์ หมิงจูอีก…แต่ความคิดนี้ก็หายไปทันที สุดท้ายแล้วเหลือไว้เพียงความมุ่งมั่น คนอื่นจะเป็นอย่างไรนางไม่สนใจ แต่นางไม่อาจปล่อยให้ซวนเอ๋อร์และหมิงจูมีชีวิตอย่างตนเองเป็นแน่
พอพูดเรื่องสัพเพเหระกับองค์หญิงแปดอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ในใจของถาวจวินหลันนั้นก็ค่อยๆ สงบลง ไม่ได้ร้อนอกร้อนใจเหมือนตอนที่มา สำหรับเรื่องที่ถูกคนตลบหลังนั้น ก็ถือว่ายอมรับอย่างนิ่งสงบแล้ว
นางไม่สนใจว่าใครอยู่เบื้องหลัง สุดท้ายคนคนนั้นก็จะต้องเผยตัวออกมาอยู่ดี นางไม่เชื่อว่า คนคนนี้จะสร้างเรื่องวุ่นวายอยู่เบื้องหลังได้ตลอด
แน่นอนว่านางมีวิธีอธิบายกับฮ่องเต้อยู่เช่นกัน