ตอนที่ส่งหลี่เย่ออกไป ถาวจวินหลันคิดอยากจะก้าวขึ้นไปรั้งหลี่เย่เอาไว้ ไม่ให้เขาไป แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่อมยิ้มโบกมือลา พูดว่า “ระวังสุขภาพด้วยนะเพคะ กลับมาปลอดภัยก็พอแล้ว เรื่องในบ้านไม่ต้องห่วง มีข้าอยู่ทั้งคน”
ที่จริงแล้วหลี่เย่ไม่ได้มีเวลามาพูดอะไรมาก ความจริงเมื่อคืนนี้ก็กำชับไว้พอสมควรแล้ว สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็พูดแค่ว่า “ไม่ว่าอย่างไร เจ้ากับลูกๆ ก็สำคัญมากที่สุด เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ รอข้ากลับมานะ”
ถาวจวินหลันยิ้มรับ จากนั้นก็เร่งให้หลี่เย่ขึ้นรถม้าไป ส่วนนางยังยืนอยู่หน้าประตู มองดูรถม้าหายลับไปจากถนนถึงได้ถอนใจ ในความเป็นจริงแล้วหลี่เย่เร่งรีบจากไปเช่นนี้ ภายในจวนนอกจากเรือนเฉินเซียงแล้ว เรือนอื่นๆ ก็แทบจะไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าจะรู้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญ อย่างไรหลี่เย่ก็ไม่ได้ไปหาอยู่แล้ว
แต่หลี่เย่จากไปตอนนี้ นางก็รู้ดีว่าช่วงสิ้นปีหลี่เย่จะต้องกลับมาไม่ทันแน่นอน บางทีต้องรอถึงปีหน้าอากาศเริ่มอุ่น ดอกไม้เริ่มบานถึงจะกลับมาได้ ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าในเมืองหลวงจะเกิดเรื่องมากมายเพียงใด
ถาวจวินหลันคิดว่า ระหว่างทางหลี่เย่อาจจะบังเอิญพบองค์รัชทายาท เพราะฮ่องเต้ออกคำสั่งเรียกให้องค์รัชทายาทกลับเข้าเมืองหลวงมาแล้ว หากบังเอิญพบกันระหว่างทาง นั่นก็ถือว่าโลกกลมนัก หวังว่าอย่าได้บังเอิญพบกันเลย มิเช่นนั้นหากองค์รัชทายาทคิดทำเรื่องไม่ดี ก็ถือว่าลำบากแล้ว
ถาวจวินหลันไม่มีเวลามาโศกเศร้านานเกินไป จึงเบนหน้าไปมองชุนฮุ่ย “ไปที่บ้านตระกูลถาว ไปเชิญสามีองค์หญิงเก้ามา พยายามอย่ากระโตกกระตาก ให้องค์หญิงเก้ารู้เรื่องนี้ไม่ได้”
ดูจากปฏิกิริยาขององค์หญิงเก้าในวันนั้น นางก็พอเข้าใจความคิดขององค์หญิงเก้าอยู่เล็กน้อย เกรงว่าหากองค์หญิงเก้ารู้ว่านางสั่งให้ถาวจิ้งผิงจัดการธุระแทนนาง องค์หญิงเก้าคงจะไม่พอใจเป็นแน่ ดังนั้นปล่อยให้องค์หญิงเก้าไม่รู้เรื่องนี้ดีกว่า
ชุนฮุ่ยรับคำ จากนั้นก็ไปถ่ายทอดคำพูดเชิญถาวจิ้งผิงด้วยตนเอง
ปี้เจียวก้าวขึ้นมาเตือนเสียงเบา “ต้องนำเรื่องที่ท่านอ๋องออกจากเมืองหลวงไปแจ้งคนอื่นหรือไม่เจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องพูดก่อน และไม่จำเป็นต้องปิดบัง หากมีคนถามถึงก็พูดไป ไม่มีคนถามก็ปล่อยไปตามนั้น แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การดูแลจวนจะต้องเข้มงวดกว่าเดิม โดยเฉพาะไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า”
สองครั้งก่อนหน้านี้หลังจากหลี่เย่ออกเดินทางไป มีหลายครั้งที่ทำให้บางคนอยู่ไม่สุข ครั้งนี้ตัดสินใจไม่พูดไปก่อน ให้ในจวนสงบเงียบไปได้ช่วงหนึ่งก็ยังดี ที่สำคัญคือนางไม่มีเรี่ยวแรงและเวลามาจัดการดูแลเรื่องสัพเพเหระภายในเรือนในเหล่านั้นแล้ว
พอถาวจิ้งผิงมาถึงแล้ว สิ่งแรกที่ถาวจวินหลันสังเกตเห็นคือรอยสีเขียวคล้ำเด่นชัดใต้ดวงตาของถาวจิ้งผิง เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนนี้ถาวจิ้งผิงนอนไม่สนิทเท่าไรนัก ถาวจวินหลันถอนใจ “เจ้าทะเลาะกับองค์หญิงเก้าอย่างนั้นหรือ?”
ถ้าไม่ใช่เพราะทะเลาะกัน ถาวจิ้งผิงก็ไม่น่าซูบเซียวขนาดนี้
ถาวจิ้งผิงฝืนยิ้ม ทั้งไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ถาวจวินหลันกลับมั่นใจการคาดเดาของตนเอง จึงทอดถอนใจ ปากก็พูดกล่อมว่า “องค์หญิงเก้าก็แค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น ทำไมเจ้าต้องไปใส่อารมณ์กับนางด้วย? ทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดี เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
ถาวจิ้งผิงทำได้แค่เก็บงำความอึดอัดเอาไว้
ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าจะต้องพูดเกลี้ยกล่อมอะไรอีก เพียงแค่ส่ายหน้าจนปัญญา และเปลี่ยนเรื่องพูด “เอาเถิด ข้าเองก็ไม่พูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้าแล้ว พี่เขยของเจ้าออกจากเมืองหลวงไปเจ้าเองก็คงจะรู้แล้ว ครั้งนี้ที่ตามไปด้วยมีองค์ชายเจ็ดกับเฉินฟู่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของถาวจิ้งผิงก็ดีขึ้นเล็กน้อย แต่กลับเคร่งขรึมมากขึ้น และดูภูมิฐานมากยิ่งขึ้น “เกรงว่าคงจะเป็นความคิดของฮ่องเต้ ครั้งนี้คงจะระแวงต่อพี่เขยและองค์ชายเจ็ดแล้วขอรับ อีกทั้งเชื่อใจขุนนางคนอื่นว่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ดี”
หากจะให้เขาพูด ฮ่องเต้ต้องการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว หลี่เย่เป็นคนเก่ง ฮ่องเต้ก็ไม่อาจละทิ้งความระแวดระวังได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจส่งหลี่เย่ออกจากวังหลวงไป อย่างแรกคือทำให้สถานการณ์ตอนนี้นิ่งสงบได้ชั่วคราว อย่างที่สองคือจัดการเรื่องนี้ได้ดี ป้องกันกิจการพื้นฐานตระกูลหลี่เสียหาย
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของถาวจิ้งผิง จึงหัวเราะขมขื่นกล่าว “ใจร้ายเสียเหลือเกิน ระแวงท่านอ๋องก็แล้วไป แต่องค์ชายเจ็ดไปหาเรื่องอะไรให้เขา? เหตุใดต้องตามไปด้วย” องค์ชายเจ็ดเพิ่งอายุเท่าไรกัน? แม้จะบอกว่าเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังอายุน้อยนัก คงคุกคามขู่ขวัญไม่ได้แน่นอน
แล้วยังมีเฉินฟู่
“ใต้เท้าเฉินเป็นผู้ตรวจราชการมาหลายครั้ง เกรงว่าฮ่องเต้คงตั้งใจฟูมฟักเฉินฟู่ให้เป็นเหมือนใต้เท้าเฉิน ส่วนองค์ชายเจ็ด คิดว่าอาจจะมีคนไปเป่าหูฮ่องเต้เสียกระมัง บอกว่าจะให้องค์ชายเจ็ดไปฝึกหัดกับพี่เขย ที่จริงแล้วข้าคิดว่าอาจมีนัยแฝงให้องค์ชายเจ็ดไปจับตาดูหลี่เย่ หรือบางทีอาจไม่ชอบใจองค์ชายเจ็ดจริง จึงอยากเตือนองค์ชายเจ็ดสักหน่อย” จิ้งผิงวิเคราะห์ช้าๆ ท่าทีเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูแล้วสุขุมนุ่มลึกเป็นที่ยิ่ง
ถาวจวินหลันเห็นแบบนั้น ก็ลอบยินดีในใจ แต่ก็รู้สึกเศร้าด้วยเช่นกัน ร่างของน้องชายเหมือนมีเงาของท่านพ่อในวันวาน พอคิดถึงเรื่องถูกใส่ร้ายที่ไม่ลบเลือนไปของท่านพ่อ นางจะรู้สึกดีได้อย่างไร?
“ฮ่องเต้เรียกองค์รัชทายาทกลับเข้าวัง” ตอนที่ถาวจวินหลันพูดเรื่องนี้ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชาและเย้ยหยัน “ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังเก็บองค์รัชทายาทเอาไว้ ครั้งนี้องค์รัชทายาททำเรื่องเช่นนี้ ขุนนางคงไม่ยอมเป็นแน่ และประชาชนก็ยิ่งยอมไม่ได้ หากฎีกาปลดองค์รัชทายาทไม่ถูกส่งออกไป บางทีเรื่องนี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้น”
ถาวจิ้งผิงได้ยินเช่นนี้ ก็เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงแปลกใจเล็กน้อย “แต่พี่เขยออกจากวังหลวงไป นี่…”
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ จิบชาอึกหนึ่ง “เพราะว่าเขาออกจากวังหลวงไป ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขา องค์รัชทายาทไม่ได้ใจของราษฎรจริง ไทเฮาอายุมากเกรงว่าจะทนรับได้ไม่นานนัก ส่วนฮ่องเต้อายุมากขึ้นก็อ่อนแอลงทุกปี จะต้องจัดการวางแผนให้เร็ว” พูดง่ายๆ ก็คือ หากฮ่องเต้ล้มป่วยเสด็จสวรรคต หากองค์รัชทายาทยังเป็นองค์รัชทายาทคนเดิม ต่อให้ชื่อเสียงจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ต้องเป็นองค์รัชทายาทที่ขึ้นครองบัลลังก์ เพราะถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่หากตอนนี้ปลดองค์รัชทายาทลงก็จะไม่เหมือนเดิมอีก ถึงเวลานั้นองค์รัชทายาทจะสูญเสียอำนาจในการแย่งชิง เช่นนั้นโอกาสชนะของหลี่เย่ก็จะยิ่งมากขึ้น
ดังนั้นก็เหมือนเดิม ครั้งนี้องค์รัชทายาทต้องถูกปลดเป็นแน่ ในเมื่อองค์รัชทายาทส่งโอกาสนี้มาด้วยตนเอง ไม่เอาไปใช้ให้ดีก็คงผิดต่อสวรรค์แล้ว แล้วจะคุ้มกับเวลาวางแผนอย่างยากลำบากนี้ได้อย่างไร?
ถาวจิ้งผิงเข้าใจ พยักหน้าพลางพูดตรงๆ ว่า “ความหมายของท่านพี่คืออยากปลดองค์รัชทายาท ส่วนเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทใหม่หรือไม่ถือเป็นเรื่องในอนาคต”
“ใช่แล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มพูด “พูดตรงๆ ก็คือ ฮ่องเต้กลัวจะเกิดเหตุแบ่งอำนาจองค์รัชทายาทอีกมิใช่หรืออย่างไร? ถ้าเช่นนั้นยังไม่ต้องแต่งตั้งไปก็สิ้นเรื่อง เช่นนี้ก็จะทำให้วางใจมิใช่หรืออย่างไร?”
ถาวจิ้งผิงพยักหน้า “เป็นเช่นนี้ก็ดี”
“แต่เรื่องนี้จะต้องบีบบังคับฮ่องเต้ก่อนแล้วถึงจะเสนอขึ้นมาได้” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น ที่จริงแล้วหากเสนอตั้งแต่ตอนนี้ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน แต่นางกลับไม่ยินยอม ฮ่องเต้ทำตัวไร้เยื่อใยกับหลี่เย่ ทำให้นางไม่พอใจ ดังนั้นจึงคิดหาวิธีเอาคืนสักเล็กน้อย
“อีกอย่าง หากคนที่เสนอเรื่องนี้เป็นขุนนางใหญ่ก็คงไม่เหมาะสมนัก” ถาวจวินหลันคิดในใจว่ากู้ซีเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก อย่างแรกก็เพื่อสร้างความโปรดปรานให้กู้ซี อย่างที่สองเพื่อหาข้ออ้างให้กู้ซีได้รับการแต่งตั้งเป็นชายา อย่างที่สามก็เพื่อให้กู้ซีไปเป่าหูฮ่องเต้ไว้ก่อน
ถาวจิ้งผิงเห็นถาวจวินหลันวางแผนเอาไว้หมดแล้ว ก็อึดอัดและรู้สึกผิดที่ตนเองไม่สู้แต่ก่อนนี้ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถามออกมาอย่างอึดอัดใจว่า “ท่านพี่เรียกข้ามาด้วยเรื่องอะไรกันแน่ขอรับ?”
“ปลดองค์รัชทายาท” ถาวจวินหลันเห็นความอึดอัดของถาวจิ้งผิง จึงยิ้มเอ่ย
ถาวจิ้งผิงครุ่นคิด ส่ายหน้าไปมา “ให้ข้าเป็นคนนำเกรงว่าจะไม่เหมาะสม คนอื่นจะคิดว่าพี่เขยส่งข้ามา อย่างไรก็มีความสัมพันธ์เป็นพี่เขยกับน้องภรรยา”
“เพียงแค่ให้เจ้าคอยจับตาดูท่าทีของกลุ่มขุนนางเท่านั้น อาจปล่อยข่าวออกไปบ้างบางครั้ง ปลุกระดมบ้าง อย่าให้เรื่องปลดองค์รัชทายาทต้องเงียบหายไป อีกอย่างคนที่รู้ความเคลื่อนไหวด้านนอกได้เร็วที่สุดก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น ข้าเป็นเพียงสตรีที่แต่งงานแล้ว วันๆ ไม่ได้ออกจากจวน จะไปรู้อะไรได้?” ถาวจวินหลันถอนใจ “ข้างกายก็ไม่มีคนที่ใช้ได้ ไม่หาเจ้าแล้วจะให้ไปหาใคร?”
อีกอย่างนางเองก็เห็นแก่ตัวเล็กน้อย “เจ้าทุ่มเทแรงกับเรื่องนี้ไปเยอะ วันข้างหน้าก็ไม่ต้องกลัวจะมีคนพูดว่าเจ้าเกาะข้า เพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากพี่เขยของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็จะยิ่งน่าเชื่อถือ”
ถาวจิ้งผิงมองไปทางถาวจวินหลัน ถอนใจ “ท่านพี่…”
“แม้ว่าข้าจะเป็นชายารองของเขา แต่เจ้าก็เป็นน้องชายของข้าเช่นเดียวกัน” ถาวจวินหลันมองถาวจิ้งผิงอย่างอ่อนโยน แววตาเปี่ยมไปด้วยความรัก “เกรงว่าต่อจากนี้ไปตอนที่พี่เขยของเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว ข้าก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้อีก ถึงตอนนั้นอาจจะต้องหลบหลีก แล้วยังจะต้องคอยบอกให้เจ้าอย่าทำผิดอีก แม้กระทั่งตอนที่เจ้าทำผิด ข้าก็จะต้องเป็นกลาง ไม่อาจช่วยเจ้าได้เพียงเพราะเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นตอนที่เจ้ายังใช้ข้าได้ ก็คงเป็นแค่ตอนนี้แล้ว เจ้าจำเป็นต้องรวบรวมกำลังของตนเอง คนอื่นถึงจะยอมช่วยเจ้า”
ถาวจิ้งผิงแอบเจ็บปวดเล็กน้อย แต่เดิมเขาคิดว่าต้องขยันเพื่อกลายเป็นที่พึ่งของพี่สาวตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นเขาที่ต้องพึ่งนางมากมาย ตอนนี้นางยังคิดแทนเขาไปถึงอนาคตอันยาวไกลเช่นนี้ด้วย
“ต่อจากนี้ไปข้าไม่มีทางทำให้ท่านพี่เสียหาย จะต้องทำให้ท่านภูมิใจเท่านั้น” ถาวจิ้งผิงพูดอย่างหนักแน่นด้วยดวงตาแดงระเรื่อ
“ดี” ถาวจวินหลันหัวเราะ “ข้าจะรอวันนั้น”
หยุดไปครู่หนึ่ง ถึงพูดว่า “คดีของท่านพ่อ พยานคนสำคัญก็ตายไปแล้ว หลักฐานพยานก็มีไม่มากพอ ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นภาระของพี่เขยเจ้าแล้ว หากเขาเป็นผู้นำจริง ต่อให้เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานก็พลิกคดีได้”
ถาวจิ้งผิงพยักหน้า ถอนใจเบาๆ “เป็นเช่นนั้นจริง ข้าเองก็คิดเช่นนี้ขอรับ” หากคนอื่นขึ้นครองบัลลังก์ แล้วยังมีเหตุผลอะไรต้องมาช่วยตระกูลถาว? เกรงว่าคงจะกลายเป็นเรื่องเก่าเก็บอย่างแน่นอน ไม่มีทางพลิกคดีขึ้นมาได้อีก ดังนั้นเรื่องนี้เขาเองจะต้องสนับสนุนหลี่เย่อย่างสุดความสามารถ
แต่เขายังกังวลเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่ถาวจวินหลัน ถามเสียงเบา “ถ้าเช่นนั้นพี่เล่า? มั่นใจในตำแหน่งนั้นหรือไม่ขอรับ?”