ด้วยไทเฮารั้งให้อยู่ทานอาหารด้วยกัน กว่านางจะออกมาได้ก็เป็นทิวทัศน์ยามบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่ถาวจวินหลันไม่ได้ตรงกลับจวนทัน ทว่ากลับเลี้ยวไปยังบ้านตระกูลถาว
ในเวลานี้ถาวจิ้งผิงน่าจะอยู่บ้าน
ถาวจวินหลันส่งคนไปบอกถาวจิ้งผิงเรื่องจะเข้าไปหาแล้ว ดังนั้นตอนที่นางเพิ่งมาถึง ถาวจิ้งผิงก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
“ท่านพี่” ถาวจิ้งผิงมองสำรวจถาวจวินหลัน ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก ภายในจวนมีเรื่องวุ่นวายใช่หรือไม่ขอรับ?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ก็ไม่เชิง แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ใครจะยังหลับลงอีกเล่า? พอคิดดูว่าไม่รู้เซิ่นเอ๋อร์เป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าก็หวั่นใจเล็กน้อย”
เขาเป็นเด็กตัวเป็นๆ อีกทั้งยังเป็นสายเลือดของหลี่เย่ แม้ว่านางจะไม่ได้ผูกพันด้วยมากนัก แต่ก็เห็นอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ไม่หวังให้เซิ่นเอ๋อร์ได้รับอันตราย
“แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็ละเลยร่างกายตนเองไม่ได้” ถาวจวิ้งผิงส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “อีกทั้งนั่นยังไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่าน ท่านเหนื่อยใจไปก็ใช่ว่าจะมีคนเห็นความดีของท่าน”
เงียบไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “แต่เรื่องนี้ก็ถือเป็นการเตือนพวกเรา ต่อจากนี้ไปไม่อาจให้ซวนเอ๋อร์อยู่กับแม่นมคนเดียวได้อีก ควรเปลี่ยนไปตามเวร และส่งคนให้ดูด้วยกันถึงจะดีนะขอรับ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ข้าจัดการเช่นนี้มาตลอด ตอนที่อยู่ในวังหลวงไทเฮาเองก็เลี้ยงดูตามกฎระเบียบของวังหลวง หลังจากกลับมาที่จวนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ส่วนเซิ่นเอ๋อร์ยกให้ชายารองเจียงจัดการเอง แม่นมก็เป็นฝ่ายนั้นหามาเอง ถึงทำให้คนฉกฉวยช่องว่างหาผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วนซวนเอ๋อร์กับหมิงจูก็วางใจได้ อีกอย่างพอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ไม่มีใครกล้าปล่อยปละละเลย”
ถาวจิ้งผิงได้ยินก็พอใจ หัวเราะพลางพูดว่า “เห็นว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว ข้าเอาของเล่นบางอย่างมาจากทางใต้มาให้ซวนเอ๋อร์ อีกเดี๋ยวตอนท่านพี่กลับไปก็เอาไปด้วยเถิด อีกทั้งยังมีคนเคารพมอบไข่มุกมาให้ถุงหนึ่ง ท่านพี่เอากลับไปป่นเป็นผงไว้ทานก็ดี หรือใช้พอกหน้าก็ดี หรือจะเอาไปให้หมิงจูเล่นก็ย่อมได้”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ สิ่งของไม่ได้ถือว่ามีราคาหรือมีค่านัก แต่ความเอ็นดูของน้ากลับชวนให้อบอุ่นในใจ ถาวจิ้งผิงเอ็นดูหลานสาวและหลายชายสองคนนี้จริงๆ
แต่นางเองก็ถามเพิ่มอีก “ใครเคารพกัน? คงไม่ได้ถูกต้องนักกระมัง? พวกเราไม่ได้ขาดเงินทอง เจ้าอย่าเดินทางผิดเพียงเพราะสิ่งของเหล่านี้เป็นอันขาด”
ถาวจิ้งผิงส่ายหน้า “ไฉนเลยข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้ขอรับ? เพียงแค่ไปมาหาสู่ธรรมดาเท่านั้น หากไม่รับไว้ก็จะอึดอัดใจ อีกทั้งข้าเองก็ต้องส่งของคืนเขาเหมือนกันมิใช่หรือ?”
ถาวจวินหลันได้ยินก็วางใจ แต่ก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยนัก “ข้าจะรับของเล่นไว้ ส่วนไข่มุกเก็บไว้ให้องค์หญิงเก้าเถิด แม้จะบอกว่านางมีแล้ว ถึงเป็นเพียงของเล็กน้อย แต่น้ำใจยิ่งใหญ่นัก หมิงจูยังเด็กเกินไป ไฉนเลยจะได้ใช้ของเหล่านี้? สิ่งที่ข้าใช้มีหรือท่านอ๋องจะให้ไม่ได้? ภรรยาใครคนนั้นก็ต้องรักใคร่ดูแล เจ้าจงจำคำเอาไว้ให้ดี ต่อให้องค์หญิงเก้าขัดใจเจ้า แต่นางก็ยังอายุน้อยนัก ก็ให้พูดกันดีๆ วันข้างหน้าพวกเจ้าก็จะเดินเคียงข้างกันได้อย่างช้าๆ อย่าเอาแต่ชวนทะเลาะกัน นั่นไม่ได้ส่งผลดีกับเจ้าทั้งสอง”
แต่เดิมถาวจิ้งผิงไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้ แต่เมื่อถาวจวินหลันพูดเขาเองก็ไม่กล้าแสดงท่าทางหงุดหงิดหรือเห็นต่างอะไร เพียงแค่ก้มหน้ารับฟัง ส่วนจะทำตามหรือไม่ก็มีเพียงแค่ตัวเขาเองที่รู้แล้ว
ถาวจวินหลันไม่ได้คิดจะคุยเรื่องนี้ต่อ อย่างไรวันนี้ก็ไม่ได้มาเพราะเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่พูดไปเพราะนึกได้เท่านั้น เห็นถาวจิ้งผิงไม่มีกะจิตกะใจฟัง ก็เลยปล่อยไป ปั้นหน้าเคร่งขรึมพลางพูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้า พวกเราไปที่ห้องหนังสือของเจ้าดีกว่า”
ถาวจิ้งผิงย่อมต้องเข้าใจความหมายนี้ เขารู้จุดประสงค์ที่ถาวจวินหลันมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกองค์หญิงเก้าแม้กระทั่งว่าถาวจวินหลันมา คิดว่าจะต้อนรับในห้องหนังสือตั้งแต่แรกแล้ว
พอมาถึงห้องหนังสือของถาวจิ้งผิงแล้ว ก็ให้คนออกไปเฝ้าอยู่ด้านนอก แล้วถาวจวินหลันถึงเอ่ยปากพูดช้าๆ “จิ้งผิง ข้าเพิ่งได้ข่าวมา เรื่องให้ท่านอ๋องไปสืบเรื่องนี้ เป็นแผนเล่นงานท่านอ๋องของฮองเฮา นางตั้งใจให้ท่านอ๋องไปทางนั้น ซึ่งทางนั้นมีแต่คนที่เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท เกรงว่าคงจะป้องกันแน่นหนาอยู่นานแล้ว”
ถาวจิ้งผิงตกใจ จากนั้นก็ตั้งสติสงบนิ่ง “ฮ่องเต้สั่งให้องค์รัชทายาทกลับเมืองหลวงมาแล้วอย่างนั้นหรือ? คำนวณเวลาดูแล้ว คงจะใกล้มาถึงแล้วมิใช่หรือ”
“หากองค์รัชทายาทคิดจะยื้อเวลา ก็มีเหตุผลให้ใช้อยู่ถมเถไป” ถาวจวินหลันส่ายหน้า ออกแรงเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นก็พูดแผนการของตนเอง “ข้าคิดจะรออีกสักสองสามวัน หากยังไม่มีข่าวคราวขององค์รัชทายาท ก็ให้กระจายข่าวออกไป สร้างข่าวลือว่าองค์รัชทายาทไม่ยอมกลับมาถูกปลดตำแหน่งที่เมืองหลวง จึงตัดสินใจก่อกบฏ”
ถาวจิ้งผิงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ไม่ได้ต่างจากหลิวเอินตอนนั้นเลย จากนั้นเขาก็รีบส่ายหน้า “เกรงว่าจะทำไม่ได้นะขอรับ อีกทั้งยังไม่มีหลักฐาน ฮ่องเต้ไม่มีทางเชื่อง่ายๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องส่งทหารออกไป”
“ข้าให้หลิวเอินไปแจ้งข่าวท่านอ๋องแล้ว แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสถานการณ์เป็นเช่นไร ถ้าไม่ได้จริงๆ ทำเช่นนี้ก็ถือว่าสู้กันจนพังไปทั้งสองฝ่าย” ถาวจวินหลันกัดฟันแน่น แสดงท่าทีโหดเ**้ยม “อย่างไรเรื่องปลดองค์รัชทายาทก็ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ฮองเฮากับองค์รัชทายาทจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร? เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ต่อให้ฮ่องเต้ไม่เชื่อ แต่ก็ต้องสงสัยบ้าง ทำแบบนี้ห็เหมือนยิ่งต้อนฮองเฮาให้จนมุม บางทีฮองเฮาอาจจะวางแผนลงมือโหดเ**้ยมก็ได้?”
ถาวจิ้งผิงตกใจเล็กน้อย แต่ในหัวก็มีอีกเสียงหนึ่งดังเตือนเขา ถาวจวินหลันพูดถูกต้อง
พวกเขาต้องดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์มิใช่หรือ? นี่กำลังจงใจบีบฮองเฮาและองค์รัชทายาทให้เดินเข้าทางตัน บีบบังคับให้ฮองเฮาและองค์รัชทายาทเปิดไพ่ตาย บีบบังคับให้พวกนางก่อกบฏ!
“แม้ว่าตระกูลหวังจะถูกลดทอนอำนาจ แต่ก็คงดูถูกความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้ หากพวกเขาทำสำเร็จเล่า?” ความคิดก็คือความคิด แต่ถาวจิ้งผิงก็ยังกังวล “อีกอย่าง พี่เขยไม่อยู่ในเมืองหลวง เกรงว่าพวกนางคงจะต้องลงมือกับจวนตวนชินอ๋อง”
“อย่าลืมไป องค์รัชทายาทเองก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น สายตาเป็นประกายเย็นชา “อีกอย่าง ตอนนี้ซินพานดูแลทหารม้าในเมืองหลวง ส่วนกู่ลิ่งจือดูแลเมืองหลวง! ยิ่งไปกว่านั้นรองหัวหน้าทหารองครักษ์ภายในวังหลวงก็เป็นหลานของไทเฮา!”
ไม่เพียงเท่านั้นภายในวังหลวงยังมีตระกูลเก่าแก่มากฝีมือ อย่างเช่นตระกูลของอิงผิน หลี่เย่ป้องกันเรื่องนี้นานแล้ว ดังนั้นย่อมต้องมีการเตรียมพร้อมเอาไว้
และในตอนนี้ต่อให้หลี่เย่ไม่อยู่ในเมืองหลวง นางก็รู้ว่าการเตรียมพร้อมของหลี่เย่ต้องมีประโยชน์แน่นอน!
“ต่อให้แพ้ องค์รัชทายาทได้ครองบัลลังก์แล้วจะเป็นอย่างไร? อย่างไรก็ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอยู่ดี!” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น สายตาเย็นชากล่าว “แม้นต้องถึงตาย ข้าก็ไม่ปล่อยพวกเขาไป!”
น้อยครั้งที่ถาวจวินหลันจะพูดจาโหดเ**้ยมเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วนางอบอุ่นและอ่อนโยน แต่ถาวจิ้งผิงกลับไม่แปลกใจ เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าพี่สาวของตนเป็นคนอย่างไร
ด้วยเขาเข้าใจดี ถึงคอยสนับสนุน ยามนี้ก็เผยรอยยิ้มอ่อนๆ “ข้าเชื่อฟังคำพูดของท่านพี่มาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็เช่นกัน หากพวกเราทำสำเร็จ ท่านพี่ก็จะมีอำนาจเกียรติยศยิ่งใหญ่ ตระกูลถาวของข้าก็จะพลอยรุ่งโรจน์ไปด้วย แต่ต่อให้ล้มเหลวพวกเราก็ไม่เสียหาย!”
เมื่อครั้งถูกเนรเทศออกนอกเมือง ถาวจิ้งผิงเคยผ่านพ้นความเจ็บปวดจากหิมะและลมหนาวมาแล้ว เขาย่อมไม่ใช่คนขี้ขลาดหวาดกลัว เขาเข้าใจกว่าใครดี รอไปก็ไร้ประโยชน์ ของที่อยากได้ก็ต้องไปต่อสู้ชิงมาเอง!
สองพี่น้องความคิดตรงกัน สบตาส่งยิ้มให้กัน
จากนั้นถาวจวินหลันก็พูดถึงจุดประสงค์อีกเรื่องที่มาในวันนี้ “วันนี้ที่มาข้ายังมีเรื่องอยากให้เจ้าทำ”
ถาวจิ้งผิงย่อมไม่ดึงดัน พยักหน้ารับปากทันที “เรื่องอะไรหรือขอรับ?”
ถาวจวินหลันก้าวเข้าไป ลดเสียงเบาพูดที่อยู่ตามที่หยวนฉงหวาบอกมา “ลองไปสืบดู ว่าเลี้ยงคุณชายคนหนึ่งเอาไว้จริงหรือไม่ หากเลี้ยงคุณชายคนนั้นเอาไว้จริง ก็คิดหาวิธีไปลักพาตัวมา”
ถาวจิ้งผิงได้ยินคำขอของนางก็ตะลึงไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้สติกลับมา “ลักตัวเด็ก? ลักตัวเด็กไปทำอะไรขอรับ? ท่านพี่ท่าน…” พูดไปพลางมองถาวจวินหลันไปพลาง สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
ถาวจวินหลันโกรธจนหัวเราะออกมา ตบบ่าของเขาเต็มแรง “เดามั่วไปถึงไหนแล้ว ข้าจะเอาเด็กคนนั้นไปแลกกับเซิ่นเอ๋อร์!”
ถาวจิ้งผิงตะลึงไป ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “เด็กคนนั้นเป็นลูกนอกสมรสขององค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันมองถาวจิ้งผิงทีหนึ่ง คิดว่าน้องชายของตนฉลาดเฉลียวจริงๆ ก่อนพยักหน้ายอมรับ “ถ้าไม่ได้เป็นสายเลือดขององค์รัชทายาท แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะเอามาแลกกับเซิ่นเอ๋อร์ได้อย่างไร?”
ถาวจิ้งผิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งทำหน้างงงัน “องค์รัชทายาทจะมีลูกนอกสมรสได้อย่างไร?” เขามีผู้หญิงมากออกขนาดนั้น หากไปพบผู้หญิงด้านนอก จะพากลับมาด้วยก็พูดเพียงคำเดียวเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางยังคลอดลูกชายด้วย องค์รัชทายาทยังไม่ได้ลูกชายมิใช่หรือ? ฮองเฮาลงแรงไปมากเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะอุ้มหลานหรืออย่างไร?
นี่เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องที่เป็นเรื่องลับเฉพาะ ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจพูดเรื่องภายในให้ถาวจิ้งผิงฟังได้ จึงพูดงึมงำไปว่า “อย่างไรก็เป็นลูกนอกสมรส แต่ใช้ประโยชน์ได้ก็พอแล้ว จะสนใจอะไรมากขนาดนั้น”
ถาวจิ้งผิงเห็นท่าทีของถาวจวินหลันก็ไม่ได้คิดมาก นึกว่าเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวภายในเรือนที่ไม่อาจพูดกับบุรุษอย่างพวกเขาได้ จึงไม่ได้ถามต่อไป แม้นจะไม่อยากลงมือกับเด็ก แต่พอคิดถึงสถานการณ์ของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วก็ยังตัดใจรับปาก
ถาวจวินหลันกลัวว่าถาวจิ้งผิงจะทำร้ายเด็ก จึงตั้งใจกำชับอีกว่า “เด็กยังบอบบางนัก พวกเจ้าก็ระวังให้ดีด้วย เลี้ยงดูให้ดี หากข้าไม่ได้ถูกต้อนจนมุม ข้าก็ไม่อยากใช้วิธีใจร้ายเช่นนี้หรอก หากเขาบาดเจ็บตายไป ข้าก็คงไม่อาจสงบใจได้ทั้งชีวิต”
ถาวจิ้งผิงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ
พอปรึกษาเรื่องนี้เสร็จแล้ว ก็เย็นมากแล้ว เพราะยังคำนึงถึงสถานการณ์ของจวนอ๋อง ถาวจวินหลันย่อมปฏิเสธคำรั้งตัวของถาวจิ้งผิง ยังไม่ทันได้ไปพบองค์หญิงเก้า นางก็เร่งรีบจากไปก่อน
แต่เพราะกลัวว่าองค์หญิงเก้าจะคิดมาก ถาวจวินหลันจึงกำชับให้ถาวจิ้งผิงไปอธิบายแทนตนเอง แต่ที่นางไม่รู้ก็คือ หลายวันมานี้สองสามีภรรยาไม่ได้พบหน้าและพูดจากันเลย อีกทั้งถาวจิ้งผิงคิดว่าองค์หญิงเก้าคงไม่รู้เรื่องนี้ ย่อมไม่ต้องไปอธิบายอะไร ดังนั้นความเข้าใจผิดก็เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ รอจนถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายอย่างไร
แต่นั่นถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง หลังจากถาวจวินหลันรีบกลับจวนอ๋อง ขันทีเป่าฉวนก็มารอนางอยู่แล้ว บอกว่าหาเบาะแสได้แล้ว