ทางด้านฮ่องเต้ดูไม่พอใจกับคำพูดของขันทีเป่าฉวนนัก จากนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ องค์รัชทายาทควรต้องมาถึงแล้ว แต่ทำไมตอนนี้ถึงยังไม่เห็นหน้า?
เมื่อนึกได้ย่อมต้องเอ่ยถามฮองเฮา ฮองเฮากลับพูดงึมๆ งำๆ ตอบคำถามไม่ได้ ดังนั้นฮ่องเต้จึงเข้าใจทันที องค์รัชทายาทคงกลัวถูกปลดเสียแล้ว ดังนั้นถึงไม่กล้ากลับเร็ว เป็นการหลบเลี่ยงที่เห็นได้บ่อย
ด้วยความโกรธ ฮ่องเต้จึงลงหนังสือเรียก ส่งให้องค์รัชทายาทกลับวังหลวงมาโดยเร็ว
ตอนที่ถาวจวินหลันรู้ข่าว นางก็สบายใจอย่างยิ่ง คิดว่าการเร่งของฮ่องเต้ต้องมีประโยชน์แน่นอน อย่างน้อยฮองเฮาและรัชทายาทก็จะต้องคิดระแวงเป็นแน่
จากนั้นถาวจวินหลันก็ให้คนเพิ่มเรื่องขัดขืนคำสั่งฮ่องเต้เข้าไปในเรื่องอันน่าทรงเกียรติขององค์รัชทายาท ปล่อยข่าวลือต่อต้านคำสั่งไม่เคารพออกไป
จากนั้นถาวจวินหลันก็เอาจี้อายุยืนที่อยู่บนคอของอาอู่ชิ้นหนึ่งเข้าวังหลวง
ตามขนบธรรมเนียมแล้วต้องเข้าไปทำความเคารพไทเฮาก่อน จากนั้นถาวจวินหลันก็ใช้ข้ออ้างว่าจะไปหากู้ซี ให้กู้ซีช่วยนางเชิญอี๋เฟยมา
ที่จริงแล้วอี๋เฟยกับกู้ซีกำลังแย่งชิงกันอยู่ อย่างไรก่อนที่กู้ซีจะเข้าวังหลวงมา อี๋เฟยก็ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด แต่ว่าตอนนี้หรือ กลับมีท่าทีเปลี่ยนไปบ้างแล้ว
เหมือนกับที่ถาวจวินหลันคาดการณ์เอาไว้ ตอนที่อี๋เฟยได้ยินนางกำนัลมารายงาน บอกว่าจวงผินต้องการพบตนเองก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง “จวงผินเชิญข้าไปชมดอกเหมยอย่างนั้นหรือ? หาได้ยากนัก”
อี๋เฟยถึงกับลังเลไปครู่หนึ่งว่าจะไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายความสงสัยก็ชนะ นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็คิดว่าตนเองควรไปดู ดังนั้นจึงเปลี่ยนชุด หวีผมออกไปหากู้ซี
เมื่อมาถึงวังของกู้ซี ก็เห็นว่าถาวจวินหลันอยู่ด้วย อี๋เฟยก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น “ดูท่าทางจวงผินจะเชิญคนมาไม่น้อยเลยทีเดียว”
พูดไปพลางเหลือบมองพิจารณาถาวจวินหลันไปพลาง สุดท้ายแล้วก็หัวเราะออกมา “ชายารองถาวก็ดูว่างเสียจริง มีอารมณ์มาชื่นชมหิมะเสียด้วย ถ้าเป็นข้า ข้าคงไม่มีอารมณ์เช่นนี้”
เห็นได้ชัดว่าอี๋เฟยกำลังพูดโยงถึงเรื่องที่เซิ่นเอ๋อร์หายไป ใช้เรื่องนี้มาเยาะเย้ยถาวจวินหลัน หมายความว่าเพราะเซิ่นเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกของนาง ถาวจวินหลันจึงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แล้วมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นด้วย
ถาวจวินหลันส่งยิ้มให้อี๋เฟยอย่างไม่ใส่ใจ พลางถอนใจ “ดูอี๋เฟยพูดเข้า เหมือนว่าเซิ่นเอ๋อร์หายไปแล้วหม่อมฉันจะต้องตายเพื่อลบล้างความผิดเสียอย่างนั้น ที่จริงคิดไปแล้ว เรื่องนี้หม่อมฉันก็พยายามสุดแรงสุดกำลังแล้ว ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดอีก แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีเศร้าสลด ท่านว่าใช่หรือไม่เพคะ?”
อี๋เฟยหัวเราะเสียงเย็น เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วย
ถาวจวินหลันเห็นอี๋เฟยมีท่าทีเช่นนี้ ก็จงใจพูดถึงองค์ชายเก้า “พูดไปแล้ว องค์ชายเก้าน่าจะอายุสี่เดือนกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรบ้าง? คงจะได้รับการดูแลอย่างดีกระมัง? อย่างไรก็เป็นองค์ชาย เทียบกับเด็กคนอื่นธรรมดาถือว่ามีความสุขมากนัก เด็กที่คลอดก่อนกำหนดถูกเลี้ยงดูจนอุดมสมบูรณ์คงไม่ง่ายเลยทีเดียว”
คำพูดของถาวจวินหลันดูเสียมารยาท จนกู้ซีหันไปมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง คิดรู้สึกอึดใจ
อี๋เฟยขมวดคิ้วมุ่น สีหน้ายากจะคาดเดา “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”
“ไม่มีอะไรเพคะ เมื่อวานนี้ข้าพบเด็กที่บ้านญาติของข้า เขาไม่มีพ่อแม่อยู่ข้างกาย มีแต่คนให้นมอยู่สองคนและแม่นมอีกคนคอยดูแลเท่านั้น ช่างน่าสงสารเสียจริง ข้าจึงใจดีรับเด็กคนนั้นมาดูแลเองเพคะ” ถาวจวินหลัน ถอนใจ พลางหัวเราะและพูดว่า “หม่อมฉันให้คนไปค้นจี้อายุยืนของเซิ่นเอ๋อร์ตอนเด็กๆ ออกมา จากนั้นก็คิดได้ว่าหม่อมฉันกับท่านอ๋องยังไม่เคยให้ของขวัญวันคลอดกับองค์ชายเก้าเลย วันนี้ถึงได้มาชดเชยให้เพคะ”
พูดไปถาวจวินหลันก็หยิบกล่องมาจากมือของบ่าวรับใช้ ก่อนเปิดกล่องหยิบจี้อายุยืนข้างในออกมาต่อหน้าอี๋เฟย จี้อายุยืนนี้ย่อมเป็นของที่เอามาจากตัวของอาอู่
เป็นไปตามที่คาดไว้ อี๋เฟยหันมามองเพียงครั้งเดียวก็อึ้งตะลึงไป จ้องมองจี้อายุยืนอย่างทุกซอกทุกมุม ก่อนหยิบจี้อายุยืนขึ้นมาดูอีกสองสามรอบ สุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนไปมีท่าทีโมโห
ถาวนวินหลันส่งยิ้มกลับ
อี๋เฟยอ้าปากอยากจะพูด ถาวจวินหลันกลับหันไปทางกู้ซีแทน “จวงผินดูเถิดเพคะ จี้อายุยืนที่ข้าเลือกมาเป็นอย่างไรบ้าง? ดีพอให้องค์ชายเก้าสวมใส่หรือไม่? นี่เหมาะสมหรือไม่?”
กู้ซีคิดว่าถาวจวินหลันจงใจไม่สนใจอี๋เฟย จึงยิ้มตอบ “ภายในวังหลวงหาหยกที่สวยเท่าชิ้นนี้ได้เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ทั้งอบอุ่น และบริสุทธิ์ไม่มีที่ติ เหมาะสมกับฐานะขององค์ชายเก้ายิ่งนัก”
จากนั้นกู้ซีตกใจเล็กน้อย “จี้อายุยืนนี้ ดูแล้วยังคล้ายกับที่อยู่บนคอขององค์ชายเก้านัก”
อี๋เฟยแทบจะฝืนยิ้มต่อไม่ได้แล้ว หยกชิ้นนี้ฮ่องเต้เป็นคนประทานให้ นางแอบส่งออกไปนอกวังหลวง ในตอนนี้สิ่งที่ห้อยอยู่บนคอของเด็กที่อยู่ในวังหลวงนั้นเป็นของปลอม
นางคิดไม่ถึงว่ากู้ซีจะสายตาดีถึงเพียงนี้ เห็นเพียงไม่กี่ครั้งก็มองออกภายในแวบเดียวว่าคล้ายกันมาก จะไม่คล้ายได้อย่างไร? ที่อยู่ในวังหลวงเป็นของลอกเลียนแบบจากสิ่งนี้!
ทั้งๆ ที่อากาศต้นเดือนเก้า แต่อี๋เฟยกลับรู้สึกว่าหลังของตนนั้นชุมเหงื่อเต็มไปหมด นางหันไปมองถาวจวินหลันอย่างลุกลี้ลุกลน ในใจตึงเครียดเป็นอย่างมาก ถาวจวินหลันหมายความว่าอย่างไร? นางไปได้มาจี้นี้มาจากที่ใดกันแน่?
ตอนนี้อี๋เฟยอยากจะขอตัวกลับ แล้วส่งคนไปดูลูกชายของตนยิ่งนัก
ถาวจวินหลันเห็นว่าอี๋เฟยนั่งไม่ติดแล้ว ก็รู้ว่าตนเองทำสำเร็จแล้ว จึงแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด อีกทั้งยังจงใจดึงดันพูดคุยกับอี๋เฟย พอเห็นท่าทางขวัญหนีดีฝ่อ ปากไม่ตรงกับใจแล้ว นางก็ยิ่งหัวเราะเสียงเย็น
รอจนถึงแก่เวลาแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ขอตัวลากลับไป แน่นอนว่าเมื่อนางพูดว่ากำลังกลับ ทางด้านอี๋เฟยก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป ขอตัวลาตามนางมาทันที
ถาวจวินหลันหันไปมองกู้ซีที่มีสีหน้าสงสัย ยิ้มพลางพูดเสียงเบา “ดูท่าทางช่วงนี้อี๋เฟยคงไม่มีกะจิตกะใจมาแข่งอะไรอีก ท่านจะต้องฉวยโอกาสนี้เอาไว้ให้ดี เรื่องแต่งตั้งเป็นเฟยคงอีกไม่ช้าก็เร็วแล้ว”
ใบหน้าของกู้ซีเริ่มมีสีแดงระเรื่อ มองถาวจวินหลันทีหนึ่งจากนั้นก็รีบเบนสายตาหนี
ถาวจวินหลันย่อมไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ในตอนนี้นางเดินออกไปไกลแล้ว ที่ถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็ด้วยหวังดีต่อกู้ซี กู้ซีไม่อาจมีบุตรได้ หากไม่ฉวยโอกาสรีบแย่งความโปรดปรานแล้วปีนถึงตำแหน่งสูง ก็ไม่รู้ว่าหลังจากฮ่องเต้สวรรคตแล้วจะเป็นเช่นใด? จากสถานการณ์ในตอนนี้ถาวจวินหลันไม่คิดว่าฮ่องเต้จะทนได้อีกนานนัก
อีกทั้งจะต้องรู้ว่าหลังจากฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว บรรดาสนมฐานะต่ำ ทั้งยังไม่มีสายเลือดสืบทอดจะต้องถูกฝังร่วมพระศพ อย่างกู้ซีนี้ย่อมต้องถูกจัดเข้าไปในรายชื่อร่วมฝังอย่างแน่นอน
แม้แต่ไทเฮาก็ยังเร่งรีบให้กู้ซีถูกแต่งตั้งยศเฟยมิใช่หรือ? เพราะหลังจากถูกแต่งตั้งยศเฟยแล้ว ในอนาคตหากฮ่องเต้สวรรคตไปกู้ซีก็ไม่ต้องถูกร่วมฝังด้วย อีกทั้งยังได้รับการจัดการที่เหมาะสม อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เครื่องอุปโภคบริโภคและของที่ใช้ในชีวิตประจำวันย่อมไม่ขาดเหลือ
ถาวจวินหลันเดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นว่าอี๋เฟยรอตนเองอยู่ตรงนั้น ที่มั่นใจเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าตอนแรกอี๋เฟยยังมีท่าทีร้อนรน แต่หลังจากพบนางแล้วกลับเคร่งเครียดในทันที
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ ก้าวขึ้นไปทำความเคารพ “อี๋เฟยเหนียงเหนียงไม่ได้ทูลว่าจะกลับวังหรือเพคะ? ทำไมถึงยังอยู่ตรงนี้เล่า?”
อี๋เฟยเห็นถาวจวินหลันแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ ไฟโกรธก็ยิ่งลุกลามอยู่ในใจ “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วทำเป็นไม่รู้เรื่องเหมือนเคย “หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ เพคะ ทำไมหรือ หม่อมฉันควรทราบอย่างนั้นหรือเพคะ?”
อี๋เฟยหยิบจี้อายุยืนออกมา ถลึงตามองถาวจวินหลัน “จี้อายุยืนนี้เจ้ามาจากที่ใด?”
“หม่อมฉันทูลไปแล้วเพคะ ว่าเป็นของลูกญาติหม่อมฉัน” ถาวจวินหลันยังคงยิ้มบางๆ อธิบายเสียงเบา “หม่อมฉันเห็นว่าจี้อายุยืนนี้ดีมาก และยังเหมือนกับที่องค์ชายเก้าสวมใส่อยู่ตอนนี้ จึงเอามามอบให้อี๋เฟยเหนียงเหนียง อี๋เฟยเหนียงเหนียงไม่ชอบหรือเพคะ?”
อี๋เฟยถลึงตามองถาวจวินหลัน อยากเอาจี้อายุยืนปาใส่หน้าถาวจวินหลันใจจะขาด แต่นางยังไม่รู้เรื่องจี้อายุยืนนี้ดี นางย่อมไม่กล้าโอหัง นางจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนถามว่า “ญาติอย่างนั้นหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นญาติทางใดกัน? หยกเช่นนี้ไม่ได้พบได้บ่อยนัก”
ถาวจวินหลันเห็นว่าอี๋เฟยเดาได้แล้ว จึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป ยิ้มพลางก้าวเข้าไปกระซิบข้างหูของอี๋เฟย แน่นอนว่านางย่อมบอกที่อยู่ของหยวนฉงหวา ซึ่งเป็นที่ที่อาอู่อาศัยอยู่
หลังจากอี๋เฟยได้ยินแล้ว นางก็นิ่งอึ้งไป ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติ แต่ถาวจวินหลันกลับยังอดทนรอ
ในที่สุดอี๋เฟยก็ได้สติกลับมา ตะคอกด้วยโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ “เจ้ากล้า!”
“ทำไมหม่อมฉันถึงจะไม่กล้าเล่าเพคะ?” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น มองไปยังอี๋เฟยด้วยสายตาเย็นชา “ในทางกลับกัน ข้าอยากจะถามอี๋เฟยเหนียงเหนียงสักหน่อย ทำไมท่านถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้?”
อี๋เฟยคิดถึงองค์รัชทายาทได้ในทันใด แต่หลังจากนั้นก็เม้มปากแน่น เชิดคอสูงอยู่นาน แล้วถึงพูดเสียงแหบแห้งว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร” พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
“ได้ยินว่าองค์รัชทายาทป่วยหนักเลยทีเดียว” ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ พลางพูดอย่างมีลับลมคมใน “ไม่แน่ว่าต่อจากนี้ไปอาจมีบุตรไม่ได้อีกแล้ว ช่างน่าสงสารเสียจริงเพคะ”
อี๋เฟยอึ้งไป แต่กลับไม่กล้าหยุดฝีเท้า
“หม่อมฉันห่วงความปลอดภัยของเซิ่นเอ๋อร์มาก หากอี๋เฟยช่วยหม่อมฉันตามหาเซิ่นเอ๋อร์กลับมาได้ หม่อมฉันย่อมต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเพคะ” ถาวจวินหลันมองแผ่นหลังของอี๋เฟย พลางพูดเสนอเงื่อนไข นางรู้ดีว่าอี๋เฟยนั้นจะต้องได้ยินอย่างแน่นอน
อีกทั้งอี๋เฟยก็ไม่มีทางคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น จะต้องเข้าใจความหมายของนางเป็นแน่
อยากได้อาอู่ก็ต้องเอาเซิ่นเอ๋อร์มาแลก ไม่เจอเซิ่นเอ๋อร์ ก็ไม่ได้เจออาอู่
อาอู่เป็นบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวขององค์รัชทายาท เห็นได้ชัดว่าเซิ่นเอ๋อร์ย่อมไม่อาจเทียบกับอาอู่ได้ แม้ว่าถาวจวินหลันจะเป็นกังวล แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ซวนเอ๋อร์ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง นางไม่อาจใส่ใจเซิ่นเอ๋อร์อย่างที่ใส่ใจซวนเอ๋อร์เป็นแน่
ดังนั้นหากใช้เซิ่นเอ๋อร์มาขมขู่ถาวจวินหลัน ก็คงไม่ได้ผลอะไร แต่อาอู่จะกลายเป็นตัวขัดขวางที่ใหญ่ที่สุดของฮองเฮาและอี๋เฟย
ถาวจวินหลันพูดทุกอย่างแล้วก็ถอนใจช้าๆ เรื่องที่ต้องทำนางก็ทำหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ดูปฏิกิริยาของฮองเฮาเท่านั้น และดูว่าเซิ่นเอ๋อรจะมีชะตาดีได้กลับมาปลอดภัยหรือไม่
อย่างน้อยนางก็ไม่มีความรู้สึกผิดติดอยู่ในใจอีกแล้ว ต่อให้จะหาเซิ่นเอ๋อร์กลับมาไม่ได้ นางเองก็เผชิญหน้ากับหลี่เย่ได้อย่างเปิดเผย