พออี๋เฟยได้ยินถาวจวินหลันพูด ก็มีท่าทางลังเล
ถาวจวินหลันหลุบตาลง ยิ้มบางๆ ก่อนพูดเนิบช้าว่า “พระชายาองค์รัชทายาทมีชื่อตำแหน่งถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นแม่ใหญ่ หากจดเอาไว้ใต้ชื่อของพระชายาองค์รัชทายาทย่อมเป็นเรื่องดี และตอนนี้มีเพียงอาอู่คนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องกลัวเด็กคนไหนมาแย่งตำแหน่ง อี๋เฟยเหนียงเหนียงก็เห็นท่าทีของพระชายาองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้แล้วนี่เพคะ”
อี๋เฟยเม้มปาก ต่อให้พระชายาองค์รัชทายาทเลี้ยงเด็กคนนั้น ก็เพียงเพื่อรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ให้มั่นคงเท่านั้นเอง ถ้าจะบอกว่ามีใจรักเอ็นดู…ก็ไม่เห็นว่าจะมีจริง
“ข้างกายพระชายายังมีลูกสาวอีกสองสามคน ย่อมไม่อาจแบ่งเวลามาดูแลเด็กคนนั้นได้” เห็นว่าอี๋เฟยเริ่มคล้อยตามแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดออกมาช้าๆ “หวังเหลียงตี้เองก็เหมาะสม ฐานะเป็นถึงชายารอง แต่ว่า…”
“สุดท้ายแล้วนางก็ไม่เคยเลี้ยงมาก่อน อีกทั้งไม่ต้องพูดถึงดูแลได้หรือไม่ เพียงแค่พูดว่าหากให้นางเลี้ยงดูจริง เกรงว่าพระชาองค์รัชทายาทคงจะรู้สึกไม่ดีกว่าเดิม” ไม่รอให้ถาวจวินหลันพูดจบ อี๋เฟยก็พูดขัด “อีกทั้ง ในเมื่อเป็นหญิงสาวจากตระกูลหวังทั้งหมด นิสัยก็คงไม่ได้แตกต่างกันนัก” แน่นอนว่าต้องไม่ค่อยใส่ใจเด็กเท่าไร
ดูท่าทางว่าความคิดของอี๋เฟยกับนางจะเหมือนกัน ถาวจวินหลันจึงหัวเราะน้อยๆ “ใช่เพคะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีเพียงสองคนนี้เท่านั้น แม้ว่าจะไม่เหมาะสมก็ไม่มีทางแล้วเพคะ”
อี๋เฟยออกแรงเม้มปาก แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
พอเห็นท่าทางคิดมากของอี๋เฟย ถาวจวินหลันก็ขอตัวทูลลาออกจากวังหลวง
พอออกมาจากประตูวังหลวงแล้ว ถาวจวินหลันก็เห็นว่าปี้เจียวกับชุนฮุ่ยมายืนแนบกายตนเองแน่น ไม่ยอมออกห่างไปแม้แต่ก้าวเดียว ใบหน้าก็ดูระแวดระวังตลอด เหมือนว่าวินาทีต่อไปจะมีคนเข้ามาลอบฆ่าอย่างนั้น
นางเห็นก็อดหัวเราะไม่ได้ “ไฉนเลยจะต้องกลัวถึงขนาดนั้นเล่า? แม้ว่าอยากจะลงมือ แต่นางก็จะไม่เลือกลงมือตอนนี้ อย่างไรพวกเราก็ยังไม่ส่งอาอู่กลับไป อีกทั้งบนถนนเส้นนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นหลายครั้งแล้ว หากจะลงมืออีกก็คงไม่เลือกตอนนี้อย่างแน่นอน”
ปี้เจียวส่ายหน้า “นี่ก็ไม่แน่เจ้าค่ะ วันนี้ชายารองวันนี้ทำให้ฮองเฮากริ้วโกรธมาก จำต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ? แต่เดิมนั้นก็มีความโกรธแค้นกันอยู่แล้ว ในตอนนี้เกรงว่าความโกรธแค้นจะทวีคูณนะเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันเข้าใจสิ่งที่ปี้เจียวพูด แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เมื่อครู่ตอนที่ทำลงไปก็ไม่ได้กังวลเรื่องเหล่านี้ มาพูดตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์
“ช่างเถิด ต่อจากนี้ระวังให้มากหน่อยก็พอแล้ว กลับจวนเถิด” ถาวจวินหลันปัดป่ายมือ ไม่คิดจะพูดเรื่องเหล่านี้อีก
เมื่อกลับมาถึงจวนตวนชินอ๋อง ถาวจวินหลันก็ตรงไปยังเรือนชิวอี๋
เด็กที่เจียงอวี้เหลียนอุ้มอยู่นั้นย่อมต้องเปลี่ยนเป็นเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ในความเป็นจริงนั้น เซิ่นเอ๋อร์ก็ไม่ได้พบเจอความลำบากอะไร เพียงแค่ดูนิ่งเงียบ และต่อต้านเจียงอวี้เหลียนเล็กน้อย มองแม่นมของตนเองนิ่งอย่างไม่คลาดสายตา
เพียงแค่เรื่องนี้ก็รู้ได้ว่า สำหรับเซิ่นเอ๋อร์แล้ว คนที่สนิทสนมที่สุดไม่ใช่มารดา แต่เป็นแม่นม
แม่นมคนนี้ยังเป็นคนที่ขโมยเซิ่นเอ๋อร์ไป ในตอนนี้นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น ถาวจวินหลันจึงแอบเหลือบดูเล็กน้อยไม่ได้
อีกทั้งนางเองยังสังเกตเห็นว่าแม่นมของอาอู่ก็ยังอยู่ จึงเอ่ยปากถามว่า “อาอู่เล่า?”
แม่นมมีสีหน้าลำบากใจ “ชายารองเจียงไม่ยอมคืนอาอู่ให้บ่าวเจ้าค่ะ และไม่อนุญาตให้บ่าวป้อนนม อาอู่หิวมาเป็นวันๆ แล้วเจ้าค่ะ”
“เจียงอวี้เหลียน!” ถาวจวินหลันเริ่มโมโห มองดูเจียงอวี้เหลียนพร้อมเค้นเสียงถาม “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? อาอู่เพิ่งจะอายุเท่าไรกัน? ปล่อยให้หิวเป็นวันๆ ได้อย่างนั้นหรือ? เป็นคนอย่างไรถึงใจร้ายเช่นนี้?”
“เซิ่นเอ๋อร์ลำบาก เด็กคนนั้นก็สมควรลำบากไปด้วย” เจียงอวี้เหลียนยิ้มชั่วร้าย ไม่ได้เกรงกลัวถาวจวินหลันแม้แต่น้อย พูดว่า “เจ้าใส่ใจเด็กคนนั้น เจ้าก็จะได้ลิ้มรสความรู้สึกของข้า ทั้งๆ ที่ควรช่วยเซิ่นเอ๋อร์กลับมาได้ตั้งนานแล้ว แต่เจ้าก็ยังต้องรอจนถึงตอนที่จนมุมแล้วค่อยลงมือ เจ้าลองว่ามาสิ เจ้าคิดอะไรกันแน่”
เจียงอวี้เหลียนคิดแค่ว่าปล่อยเด็กหิว ก็ไม่เห็นต้องขุ่นเคืองใจขนาดนั้น เท่านี้ยังชดเชยความลำบากที่เซิ่นเอ๋อร์ต้องเจอไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถาวจวินหลันแทบจะหลุดหัวเราะเยาะ เคยเห็นคนไร้เหตุผล แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะไร้เหตุผลเช่นนี้ เคยเห็นคนไม่รู้ความ แต่ก็ไม่เคยเห็นที่ไม่รู้ความเช่นนี้ อะไรเรียกว่ามีตาแต่หามีแววไม่ วันนี้นางนับว่ารู้แล้ว
“รีบคืนอาอู่มาให้ข้า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” ถาวจวินหลันไม่ยอมพูดอะไรกับเจียงอวี้เหลียนอีก เพียงแค่พูดเสียงเย็นชาว่า “จากนั้นเจ้าก็รีบเก็บของ ย้ายเข้าไปอยู่ที่วังหย่งโซ่วกับไทเฮาเสีย ภายในจวนไม่ปลอดภัย หากคำนึงถึงเซิ่นเอ๋อร์ เจ้าก็ควรจะไปซะ”
“ข้าย้ายไปได้ แต่เจ้าต้องเอาของมาแลกกับ” เจียงอวี้เหลียนเลิกคิ้วเล็กน้อยแฝงความสะใจและจงใจเอาไว้
ถาวจวินหลันหรี่ตาลงเล็กน้อย มือที่ถือเตาผิงเล็กเอาไว้ก็กำเข้าหากันแน่นอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนนี้วันนี้ นางถือว่าได้เห็นความน่ารังเกียจที่แท้จริงของเจียงอวี้เหลียนแล้ว พูดตามจริง นางอยากสำรอกออกมาเพราะความน่ารังเกียจด้วยซ้ำไป
“เจ้าอยากได้อะไร?” ถาวจวินหลันถามเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เพราะว่าคำนึงถึงอาอู่จริง แต่เป็นเพราะสงสัย นางอยากรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนอยากได้อะไรจากนาง
“เจ้าจะต้องจดเซิ่นเอ๋อร์ไว้ใต้ชื่อของชายาเอก เลี้ยงในฐานะลูกชายคนโตของภรรยาเอก” ตอนที่เจียงอวี้เหลียนพูดนั้น ริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
ถาวจวินหลันมองเจียงอวี้เหลียนนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยิ้มและพูดว่า “ได้ เรื่องนี้ง่าย วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังหลวงไปพร้อมเจ้า แล้วพูดเรื่องนี้กับไทเฮาด้วยตนเอง”
ถาวจวินหลันตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ทำให้เจียงอวี้เหลียนไม่อยากเชื่อเท่าไรนัก แม้กระทั่งอดมองพิจารณาถาวจวินหลันไม่ได้
ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าเจียงอวี้เหลียนไม่เชื่อเพราะคิดว่าตนเองหลอกนาง ดังนั้นนางจึงพูดอีกว่า “ข้าตอบรับเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ย่อมไม่อาจคืนคำได้ แม้ว่าข้าจะไม่ถือว่าเป็นคนที่คำพูดดั่งทองคำ แต่อย่างน้อยก็ยังถือว่าพูดได้ ทำได้ อย่างน้อยข้าถาวจวินหลันไม่ทำตัวน่ารังเกียจโกหกเจ้าเรื่องเล็กน้อยพวกนี้แน่”
เมื่อพูดเช่นนี้เจียงอวี้เหลียนก็วางใจทันที จึงพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี หลังจากเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ข้าจะคืนเด็กคนนั้นให้เจ้า”
ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น “ไม่จำเป็น ข้าอดทนรอถึงตอนนั้นไม่ได้ ให้คนเข้ามา ทุบประตู ใครกล้าต่อต้านก็ให้ถอดชุดแล้วไปคุกเข่าบนพื้น คุกเข่าสามชั่วยามแล้วค่อยส่งไปใช้แรงงานที่บ้านพัก! ถ้าใครกล้าทำร้ายเด็กแม้แต่เล็กน้อย ข้าจะเอาชีวิตมาชดใช้ในทันใด!”
ถาวจวินหลันพูดเย็นชาอย่างไร้ที่เปรียบ คำพูดหนักแน่นมั่นคง ทำให้ไม่มีใครกล้ามองนางในทันใด รู้สึกว่าทรงอำนาจจนไม่กล้าแตะต้อง
เจียงอวี้เหลียนตะลึงงันไปฉับพลัน แต่นางก็ตั้งสติกลับมาอย่างรวดเร็ว คิดจะเอ่ยปากให้คนไม่ต้องสนใจคำพูดนี้ของถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ปรายตามองเจียงอวี้เหลียนนิ่ง ก่อนพูดช้าๆ ว่า “หากชายารองเจียงกล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ข้าไม่มีทางยอมไว้หน้าชายารองเจียงอีกแน่นอน”
สีหน้าของเจียงอวี้เหลียนซีดขาวโดยพลัน นางเข้าใจคำเตือนของถาวจวินหลันออก หากนางกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก เช่นนั้นจุดจบของนางจะต้องไม่น่ามองอย่างแน่นอน จะพูดว่าเสียหน้าไปหมดแล้วก็ไม่เกินไปนัก
แม้กระทั่งไม่แน่ว่าถาวจวินหลันอาจจะใช้วิธีเดียวกับที่จัดการบ่าวเหล่านั้นก็ได้
เจียงอวี้เหลียนขลาดกลัว ย่อมไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น หมุนตัวเดินออกไป และแม่นมที่ดูแลอาอู่ก็รีบเข้าไปอุ้มอาอู่ออกมาไว้ในอ้อมกอด และเดินตามออกมา
จนถึงตอนนี้เรื่องนี้ถึงได้ถือว่าปิดฉากลง แต่กลับเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ต่อจากนี้คิดว่าจะต้องยิ่งหนักหนาแน่นอน
อย่างเช่นหลังจากประสบพบเรื่องเหล่านี้แล้ว ฮองเฮาไม่มีทางปล่อยถาวจวินหลันไปอย่างแน่นอน จะต้องยิ่งอยากกำจัดให้พ้นทางโดยเร็ว แม้แต่อี๋เฟยเองก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
เพราะว่าพวกนางต่างรู้ดีว่าถาวจวินหลันรู้เบื้องหลังของเรื่องนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีเพียงแค่วิธีฆ่าปิดปากเท่านั้นถึงทำให้พวกนางสบายใจ
ถาวจวินหลันกลับไปยังเรือนเฉินเซียง จากนั้นก็นั่งลงคิดถึงเรื่องต่อจากนี้ไปโดยไม่พูดไม่จา พูดตามจริงแล้วเรื่องราววุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้ว ในใจของนางไม่มีความสงบหลงเหลือแม้แต่น้อย รู้สึกว่าตนเองเหมือนเดินอยู่บนหน้าผาสูงชัน หากเหม่อลอยสักก้าวก็มีโอกาสที่ร่างกายจะป่นปี้แหลกเป็นจุณ
นางคิดถึงหลี่เย่ คิดถึงมาหอย่างไม่มีที่เปรียบ หากหลี่เย่ยังอยู่ นางเองก็สามารถอิงแอบอยู่ในอกของหลี่เย่ ให้เขาปกป้องตนเองได้ ถ้าไม่พร้อมอย่างไร ทั้งสองก็ยังพึ่งพากันได้ คงจะรู้สึกปลอดภัยและสงบนิ่งมากกว่าเดิม
หากหลี่เย่กลับมาได้ก็คงจะดี ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา เอาแต่รำพึงรำพัน ไม่รู้ว่าหลี่เย่อยู่ข้างนอกจะคิดถึงนางบ้างหรือไม่? คิดว่าคงจะมีบ้างกระมัง?
ทางด้านอาอู่พอได้กินนมแล้วก็สงบลงในทันใด ซวนเอ๋อร์และหมิงจูนั้นถูกแม่นมอุ้มเข้ามา เหมือนจะรู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติไปเล็กน้อย ซวนเอ๋อร์ก็ไม่กล้าซนอีก เพียงแค่เหลือบมองถาวจวินหลันบ่อยครั้ง
“ทำไมเป็นเช่นนี้เจ้าคะ? ทำให้เด็กตกใจหมด” ชิงกูกูมาพร้อมกับซวนเอ๋อร์ เห็นท่าทีเช่นนี้ของถาวจวินหลันก็พูดเตือน ถาวจวินหลันในตอนนี้ยิ่งทรงอำนาจและเด็กเดี่ยวมากขึ้น ชิงกูกูไม่ได้ออกความคิดเสนอแนะอะไรให้ถาวจวินหลันเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว เพียงแค่ตั้งใจดูแลซวนเอ๋อร์ แต่วันนี้ชิงกูกูคิดว่าตนเองจะต้องพูดออกมาให้ได้
ถาวจวินหลันเงยหน้ามองชิงกูกู สีหน้าดูเหน็ดเหนื่อยออกมาอย่างเห็นได้ชัด “กูกูอยู่พูดคุยกับข้าเถิด”
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็พากันหลบไป มีเพียงชิงกูกูเท่านั้นที่ยังอยู่
ชิงกูกูตบต้นขาตนเอง ขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าอยากว่าท่าน แต่ทำไมท่านถึงได้กลายเป็นเช่นนี้เล่า? ท่าทีแบบแต่ก่อนนี้เลยมิใช่หรือ? หรือว่าเรื่องเท่านี้จะทำร้ายท่านได้อย่างนั้นหรือ?”
“แต่ก่อนตอนที่เป็นนางกำนัลข้าคิดว่าเหนื่อยแล้ว ทุกวันนั้นเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ในตอนนี้เป็นชายารอง เป็นคนที่คำพูดมีน้ำหนักในจวนตวนชินอ๋อง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเหนื่อยมากกว่าเดิม แต่ก่อนนี้เพียงแค่เหนื่อยกาย แต่ในตอนนี้กลับเหนื่อยใจ” ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น คลึงจมูกของตนเองเบาๆ “ในตอนนี้ใจของข้าอยากที่จะโยนเรื่องเหล่านั้นออกไป ไม่ต้องสนใจอะไรเลย”
ชิงกูกูฟังความเหนื่อยล้าที่แฝงอยู่ในคำพูดของถาวจวินหลันออก รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ท่านทำเรื่องของท่าน จะไปสนใจว่าคนอื่นคิดอะไรทำไม คนแบบไหนก็มองเรื่องราวเช่นนั้น ท่านทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ทำเพราะคนอื่น จุดประสงค์คืออะไรในใจของท่านรู้ดีไม่ใช่หรือ?”