บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 565 ยอมแพ้

ถาวจวินหลันย่อมไม่ได้พบองค์รัชทายาท เพียงไปทำความเคารพฮองเฮาเท่านั้น หลังจากนั้นก็พูดคุยกับพระชายาองค์รัชทายาทและหวังเหลียงตี้อีกเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่พูดคุยทักทายและตามมารยาทไม่กี่คำเท่านั้น

 

 

อย่างเช่นภายในวังหลวงไม่มียาอะไรบ้างหรือ? แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงพูดกับพระชายาองค์รัชทายาทอย่างจริงจัง “หากขาดยาอะไร ก็ให้บอกหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะให้คนไปหามาให้”

 

 

ทางด้านพระชายาองค์รัชทายาทรู้ว่านางแค่พูดตามมารยาทเท่านั้น แต่นางก็ทำได้แค่อมยิ้มกล่าวขอบคุณเท่านั้น

 

 

โดยรวมน่าเบื่อเป็นอย่างมาก

 

 

ถาวจวินหลันจับสังเกตได้ว่าตอนที่พระชายาองค์รัชทายาทพูดดูนิ่งและเย็นชาไปแล้ว ราวกับตุ๊กตาที่ขยับได้ แต่ไร้จิตวิญาณอยู่ในนั้น หรือจะพูดว่าคนอยู่ตรงนี้ แต่ไม่รู้ว่าใจล่องลอยไปที่ใดแล้ว

 

 

ส่วนหวังเหลียงตี้กลับนั่งนิ่งเหม่อลอย พูดคุยอยู่นานกว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมา เห็นแล้วชวนให้ตึงเครียดยิ่งนัก

 

 

เห็นได้ชัดว่าเรื่ององค์รัชทายาทใกล้ทนต่อไม่ไหวแล้วคงนำพาความเปลี่ยนแปลงมาให้พวกนางอย่างยิ่ง

 

 

ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร ถ้าบอกว่าเจ็บปวดเศร้าสร้อยไปด้วย บางทีนางอาจจะต้องอาศัยการแสดงถึงจะทำแบบนั้นได้ แต่ในใจนั้นไม่มีทางรู้สึกเช่นนั้น แม้ว่าจะทำแล้วก็เป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น

 

 

แน่นอนว่าหากจะบอกว่าดีใจ นางเองก็ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น ทำเช่นนั้นก็ดูจะซ้ำเติมมากเกินไป นางยอมรับว่าแอบสบายใจและยินดีเล็กน้อย

 

 

แต่ความรู้สึกยินดีเช่นนี้กลับมีความรู้สึกผิดแฝงไว้ด้วยเล็กน้อย เหมือนกับว่าเก็บกระเป๋าเงินได้ แล้วพบว่าข้างในมีเงินจำนวนมาก แวบแรกย่อมต้องรู้สึกดีใจ แต่กลับลังเลว่าจะคืนให้เจ้าของดีหรือไม่ และคิดไปว่าเจ้าของจะร้อนใจหรือไม่ จากนั้นย่อมต้องรู้สึกผิดขึ้นมาเอง

 

 

ถาวจวินหลันรู้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทกับหวังเหลียงตี้ไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุย ดังนั้นย่อมหาหยวนฉงหวาเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกสนใจ และยิ่งไม่มีคนสงสัยอะไร

 

 

ถาวจวินหลันพูดทักทายอยู่สองสามคำ จากนั้นก็ขอตัวไปดูไทเฮา

 

 

หยวนฉงหวากลับฉวยโอกาสพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปส่งชายารองถาว”

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเดินตามถาวจวินหลันออกมา

 

 

ทั้งสองคนเดินติดกันออกมาจากในห้อง พลางเดินออกไปทางประตูตำหนัก ตอนที่เดินผ่านตำหนักหน้า ถาวจวินหลันก็ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคน ถาทว่าว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? องค์รัชทายาทได้รับปากเจ้าหรือไม่?”

 

 

หยวนฉงหวาส่ายหน้า “องค์รัชทายาทคิดแต่จะจดเด็กคนนั้นไว้ใต้ชื่อพระชายาองค์รัชทายาท”

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าแอบไปพูดท่าทีของพระชายาที่มีกับเด็กคนนั้นให้องค์รัชทายาทฟังบ้าง แล้วก็เตือนองค์รัชทายาท รอจนเขาสิ้นไปแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทกับฮองเฮาจะรักษาฐานะให้เด็กคนนี้ได้หรือไม่ หากไม่ได้ ใครจะขึ้นแทน และความสัมพันธ์ระหว่างพระชายาองค์รัชทายาทกับองค์รัชทายาทคนใหม่เป็นอย่างไร ถ้าหากมอบให้พระชายาองค์รัชทายาทเลี้ยงจริง ฝ่ายตรงข้ามจะระแวงหรือไม่ นี่กลับจะยิ่งทำร้ายเด็ก”

 

 

หยวนฉงหวามองถาวจวินหลันนิ่ง จากนั้นก็พูดช้าๆ “ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าเป็นคนอ่อนแอ แต่พอมาตอนนี้ข้ากลับได้รู้ถึงฝีมือที่แท้จริงของเจ้าแล้ว เจ้าแข็งแกร่งมากกว่าข้าจริงๆ”

 

 

พูดถึงความฉลาด นางสู้ถาวจวินหลันไม่ได้ พูดถึงความอดทน นางก็สู้ถาวจวินหลันไม่ได้ พูดถึงความโชคดีก็เช่นเดียวกัน นางเองก็ไม่อาจสู้ถาวจวินหลันได้ ดังนั้นนางมีอะไรที่ยังไม่ยอมแพ้อีก?

 

 

หากบอกว่าก่อนหน้านี้หยวนฉงหวาไม่คิดยอมแพ้ถาวจวินหลัน เช่นนั้นหยวนฉงหวาในตอนนี้กลับยอมแพ้อย่างราบคาบ อย่างน้อยนางเองก็ไม่เคยคิดว่าจะใช้วิธีเช่นนี้พูดกล่อมองค์รัชทายาท

 

 

หยวนฉงหวามั่นใจมากว่าวิธีนี้จะต้องได้ผล นี่เป็นสายเลือดเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทจะต้องจัดการเส้นทางในอนาคตของเด็กอย่างเหมาะสมแน่นอน องค์รัชทายาทไม่มีทางให้ให้เด็กคนนั้นตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเด็กคนนั้นไม่อาจให้พระชายาองค์รัชทายาทเลี้ยงได้ และยิ่งไม่อาจให้หวังเหลียงตี้เลี้ยง ไม่มีทางอื่น เพราะหลังจากเขาตายไปไม่ว่าจะเป็นใครที่มารับตำแหน่งองค์รัชทายาทแทนเขา ก็ไม่มีทางปล่อยตระกูลหวังไปแน่ ตระกูลหวัง…ไม่มีทางยืนยาวอย่างแน่นอน

 

 

หยวนฉงหวาทั้งสับสน ทั้งยินดี และยังโดดเดี่ยวเล็กน้อย

 

 

“เด็กคนนั้นอย่างมากที่สุดอีกสองวันก็น่าจะได้รับการยอมรับ เจ้ารีบวางแผนเสียเถิด” ถาวจวินหลันทิ้งคำเอ่ยเตือนสุดท้ายเอาไว้ จากนั้นก็อมยิ้มขอตัวเดินออกไป

 

 

วันนี้เป็นวันที่อากาศดีอย่างหาได้ยากในหน้าหนาว ไม่เพียงแค่มีแสงอาทิตย์ แม้แต่สายลมก็มีเพียงก็ยังบางเบา ถือว่าเป็นวันเวลาที่ชวนให้คนรู้สึกสบายอย่างแท้จริง

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นลางดี ว่าปีนี้ฝนฟ้าจะตกถูกต้องตามฤดูกาล

 

 

ส่วนเรื่ององค์รัชทายาทนั้นไทเฮาดูสนใจมากผิดปกติ เมื่อเห็นถาวจวินหลัน รู้ว่านางเพิ่งมาจากทางองค์รัชทายาท ไทเฮาจึงรีบถามถึงอาการขององค์รัชทายาท

 

 

ถาวจวินหลันกลัวไทเฮาจะเป็นกังวล จึงพูดไม่เต็มปากเต็มคำ “หม่อมฉันไม่ได้พบองค์รัชทายาทเพคะ อย่างไรก็เป็นชายหญิง แต่เห็นท่าทีของพระชายาองค์รัชทายาทกับหวังเหลียงตี้ไม่ได้แย่นัก ดังนั้นจึงคิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าไรเพคะ ไทเฮาอย่ากังวลเกินไปเลยเพคะ”

 

 

แม้จะบอกว่าเมื่อวานนี้ไทเฮารู้ความจริงแล้ว แต่เรื่องเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วคนก็ยังคงคิดในแง่ดีอยู่บ้าง เหมือนกับไทเฮาในตอนนี้ที่คิดว่าอาจจะได้ยินข่าวดีอะไรจากปากของถาวจวินหลันบ้าง แต่น่าเสียดายแม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาให้ไทเฮาฟังได้ ทำได้เพียงพยายามพูดอย่างเรียบนิ่งและอ้อมค้อมมากที่สุด

 

 

ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ จากนั้นก็ส่ายหน้าหัวเราะขมขื่น “ทำไมเจ้าต้องมาปลอบหญิงชราอย่างข้าด้วยเล่า? พระชายาองค์รัชทายาทคงจะโศกเศร้าเสียใจเสมือนสูญสิ้นทุกสิ่ง นางมีเพียงแค่ลูกสาวข้างกาย ไม่มีลูกชาย หากไม่มีองค์รัชทายาท ต่อจากนี้ไปของนางก็ไม่รู้ว่าจะลำบากมากเท่าไร แม้แต่ฮองเฮาก็คงจะโกรธแค้นนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดานางสนมเหล่านั้น องค์รัชทายาทเองก็น่าสงสาร แม้แต่สายเลือดเพียงคนเดียวก็ไม่ได้เหลือเอาไว้ บรรดาเด็กสาวทั้งหลายนั่น เกรงว่าถ้าเขาตายไปก็คงจะไม่มีคนถือกระถางส่งวิญญาณให้”

 

 

ไทเฮาพูดถูก นี่ถึงจะเป็นสถานการณ์ที่แท้จริงของพระชายาองค์รัชทายาท คำพูดอะไรที่บอกว่ายังดีอยู่นั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก ด้วยเป็นสตรี หากสามีตายไป แล้วตนเองไม่มีลูกชาย เช่นนั้นก็เทียบได้กับฟ้าถล่มลงมา

 

 

ความรู้สึกเช่นนั้นจะดีได้สักเท่าไรกัน?

 

 

เห็นไทเฮารู้สึกไม่ดีเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้พูดเรื่องของอาอู่ “ที่จริงแล้วองค์รัชทายาทเองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีบุตรชายเพคะ องค์รัชทายาทเคยมีอนุภรรยาอยู่ด้านนอก ให้กำเนิดลูกชายมาคนหนึ่ง ตอนนี้อายุสี่เดือนกว่าแล้วเพคะ”

 

 

ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจทันที จากนั้นก็รู้สึกดีใจ แต่ต่อให้รู้สึกดีใจ ก็ไม่ได้นานเท่าไรนัก อย่างไรพอคิดถึงอาการขององค์รัชทายาท ใครจะยังดีใจได้อีก?

 

 

สุดท้ายไทเฮาก็พูดทอดถอนใจ “เป็นชีวิตทั้งนั้น ชีวิตทั้งนั้น!”

 

 

ถาวจวินหลันคิดในใจ จะไม่ใช่ชีวิตได้อย่างไร? องค์รัชทายาทเองอาจจะไม่เคยคิดว่าการออกจากเมืองหลวงครั้งหนึ่งแม้แต่ชีวิตก็พาลสิ้นไปด้วยกระมัง? และยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาเองเป็นถึงองค์รัชทายาทแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจยิ้มจนถึงวินาทีสุดท้ายได้

 

 

ที่จริงแล้วตอนนี้องค์รัชทายาทตายไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่ อย่างน้อยสำหรับหลี่เย่แล้วก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างไรพี่น้องแย่งชิงกัน ทหารกับข้าศึกพบหน้าก็ไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว อีกทั้งหลังจากปลดองค์รัชทายาทลง ที่จริงจะจัดการกับองค์รัชทายาทอย่างไรก็ไม่เหมาะสม จะขังอยู่ในจวนไปตลอดชีวิตไม่ให้ออกมา ที่จริงแล้วก็มีหายนะแอบแฝงอยู่บ้าง

 

 

ตายไป ก็ถือว่าจบสิ้นต่อกัน

 

 

พอออกมาจากวังของไทเฮา ถาวจวินหลันเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูวังหลวงก็เห็นว่าหลี่เย่รอตนเองอยู่แล้ว ซวนเอ๋อร์เห็นนางก็รีบดิ้นจะพุ่งเข้ามาหา พูดตามจริงซวนเอ๋อร์แอบกลัวหลี่เย่อยู่บ้าง อาจด้วยเวลาที่อยู่ด้วยกันน้อยเกินไป ดังนั้นจึงไม่สนิทสนมเหมือนกับนาง วันนี้ต้องอยู่กับหลี่เย่เป็นเวลานานถือว่าถึงขีดจำกัดของซวนเอ๋อร์แล้ว

 

 

ถาวจวินหลันเห็นซวนเอ๋อร์ ความหมองมัวภายในใจก็หายไปในฉับพลัน ที่เข้ามาทดแทนกันมีเพียงความอบอุ่นและยินดีเท่านั้น นางก้าวขึ้นไปกอดซวนเอ๋อร์เอาไว้ พลางหัวเราะและหอมแก้มซวนเอ๋อร์ “ซวนเอ๋อร์เรียบร้อยหรือไม่?”

 

 

ซวนเอ๋อร์ยิ้มกว้าง พยักหน้าแรง “เรียบร้อย!” น้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม ท่าทีเช่นนั้นช่างน่าขบขันเสียเหลือเกิน

 

 

หลี่เย่ยืนมองอยู่ข้างๆ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ รอจนแม่ลูกทั้งสองแสดงความคิดถึงจนพอแล้ว เขาถึงได้พูดเตือน “เอาเถิด พวกเรากลับกันเถิด ตกดึกจะต้องจุดโคมไฟภูเขา ซวนเอ๋อร์ยังอยากดูหรือไม่?”

 

 

ซวนเอ๋อร์ย่อมต้องอยากดู อีกทั้งยังอยากดูมากด้วย

 

 

โคมไฟภูเขาที่จริงแล้วเป็นไฟน้ำแข็งชนิดหนึ่ง บวกกับเชือกสีสันสวยงามและไฟสีสันต่างๆ มากมายรวมเข้าด้วยกัน จะสวยก็ถือว่าสวย แต่ทั้งเสียเวลาและเสียแรง ดังนั้นคนปกติจะไม่ทำไฟชนิดนี้

 

 

แต่วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งของทุกปี บริเวณพื้นที่กว้างของศาลหลักเมืองจะเตรียมจัดโคมไฟภูเขาเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อรอจุดในกลางคืนของวันที่หนึ่ง

 

 

อย่างแรงเพื่อขอพร ขอความสุข อย่างที่สองก็เพื่อเฉลิมฉลอง เวลาผ่านไปนานเข้านี่ก็กลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง วันที่หนึ่งของทุกปีประชาชนต้องพากันออกมาดูโคมไฟภูเขา จนกลายเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว

 

 

ตามจริงแล้ว จวนตวนชินอ๋องก็ทำโคมไฟภูเขาเล็กๆ เพื่อชื่นชมเองได้เช่นเดียวกัน แต่ถาวจวินหลันคิดว่าเสียเวลามากเกินไป อีกทั้งภายในจวนก็ไม่ได้มีมากนัก ที่สำคัญที่สุดก็คือหลี่เย่ไม่อยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้คนทำเตรียมเอาไว้ ถ้าคิดอยากดู ก็ยังจะต้องไปที่ศาลหลักเมือง

 

 

ถาวจวินหลันไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้นัก “ซวนเอ๋อร์ยังเด็กเกินไป คนมากมายเช่นนั้นหากเบียดกันจะทำอย่างไรเล่าเพคะ? อีกทั้งยังดึกและหนาวอีกด้วย”

 

 

ที่สำคัญนางเกรงว่าจะพบเจอโจรลอบสังหาร พูดตามจริงแล้วพอได้พบโจรลอบสังหารมาหลายครั้ง ก็ทำให้นางระแวงมากขึ้น ตอนนี้นางออกจากจวนสักครั้งหนึ่งก็มักจะกังวลว่าจะพบเจอโจลอบสังหารหรือไม่ แม้นบอกว่าเห็นผักเห็นหญ้าเป็นทหารไปหมดก็ไม่ผิด

 

 

หลี่เย่หัวเราะและพูดว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าพาเขาไปดูบนศาลหลักเมือง ที่นั้นมุมดีและอบอุ่น คนคุ้มกันก็มีมากพอ ไม่ต้องเป็นกังวลไป”

 

 

ถาวจวินหลันถึงได้สบายใจ แต่เมื่อคิดว่าฮ่องเต้ก็อยู่ จึงถอนหายใจ “ซวนเอ๋อร์ยังไม่รู้จักหนักเบา หากไปชนฮ่องเต้เข้า ทำให้คนอื่นอารมณ์ไม่ดีก็จะแย่เอานะเพคะ ถึงเวลานั้นท่านจะต้องดูเขาให้ดี”

 

 

“ปีนี้เสด็จพ่อไม่ได้ไปทอดพระเนตร แต่ส่งข้าไปเป็นตัวแทน” หลี่เย่กลับพูดเช่นนี้

 

 

ถาวจวินหลันตกใจ จากนั้นก็มองไปยังหลี่เย่ทีหนึ่ง เห็นว่าเขามีสีหน้าเรียบเฉย ถึงได้ค่อยๆ สงบลง นี่ไม่ใช่การบูชาสวรรค์ คิดว่าคงไม่ได้สำคัญนัก จึงให้หลี่เย่ไปเป็นตัวแทน

 

 

“ข้าได้ยินขันทีเป่าฉวนพูดว่าเสด็จพ่อกำลังใช้โอสถอยู่อย่างนั้นหรือ?” หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว หลี่เย่ก็เอ่ยปากถาม

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องนี้ไทเฮาพูดให้ข้าฟังเพคะ ข้าบอกให้หลิวเอินไปสืบเรื่องนี้แล้ว แต่ยังสืบเบื้องลึกเบื้องหลังของนักพรตกู่คนนั้นไม่ได้เลยเพคะ”

 

 

หลี่เย่ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร เพียงแค่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจว่าหลี่เย่ถอนหายใจทำไม เรื่องโอสถนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน ลวงตามาตั้งแต่แรก หากมีประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่เห็นฮ่องเต้องค์ก่อนๆ กลับคืนเป็นหนุ่มหรือมีอายุยืนยาวเพราะยานี้เล่า? เรียกว่าไม่เกิดผลดีด้วยจะดีกว่า

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset