ปกติแล้วองค์รัชทายาทเป็นถึงว่าที่กษัตริย์ของแคว้น พิธีฝังพระศพย่อมต้องยิ่งใหญ่ แต่ฮ่องเต้กลับพูดเพียงคำเดียวเท่านั้น “ประชาชนทุกข์ยากลำบาก จงจัดทุกอย่างให้เรียบง่าย”
ดังนั้นพิธีฝังพระศพขององค์รัชทายาทจึงเรียบง่ายมาก นอกจากฝังที่สุสานตะวันออกแล้ว องค์รัชทายาทก็แทบจะไม่ได้รับการปฏิบัติสมฐานะว่าที่กษัตริย์เลย แม้แต่**บพระศพก็ยังเร่งรีบประกอบขึ้นมา จึงไม่ประณีตอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีไม้อยู่ในคลังเก็บของ เกรงว่าแม้แต่ไม้ก็คงจะหามาไม่ทันแน่นอน
วันที่ส่ง**บพระศพองค์รัชทายาทออกจากวังหลวงเข้าสู่สุสานตะวันออก ก็เริ่มมีฝนตกเม็ดตั้งแต่เช้า เสมือนส่งองค์รัชทายาทให้ถึงฝั่งเป็นครั้งสุดท้าย
ในที่สุดฮองเฮาก็ยอมออกมาร่วมพิธีในวันนี้ แต่เมื่อเห็น**บพระศพขององค์รัชทายาทก็ร้องไห้คร่ำครวญแทบขาดใจ และทนรับความเจ็บปวดนี้แทบไม่ไหวแล้ว
อารมณ์ของฮองเฮาย่อมส่งผลถึงคนอื่น พระชายาองค์รัชทายาทและหวังเหลียงตี้ก็ส่งเสียงร้องไห้ตาม แต่หยวนฉงหวากลับอุ้มอาอู่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ใช่แล้ว สุดท้ายอาอู่ก็ได้อยู่กับหยวนฉงหวา นี่เป็นความตั้งใจขององค์รัชทายาท พระชายาองค์รัชทายาทต้องเลี้ยงบุตรสาวของตนเอง ก็ถือว่ายุ่งจนไม่อาจปลีกตัวได้แล้ว และหวังเหลียงตี้ก็ยังอายุน้อย เลี้ยงเด็กไม่เป็น แต่หยวนฉงหวาไม่เหมือนกัน นางเคยตั้งครรภ์มาก่อน เกือบจะได้เป็นแม่คนแล้ว เด็กเพียงคนเดียวย่อมต้องยินยอมทุ่มเทความรักอย่างมากเป็นแน่
ที่จริงแล้วเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่ให้คนนอกฟังเท่านั้น เหตุผลที่แท้จริงก็เป็นเพราะคำพูดในวันนั้นของหยวนฉงหวา องค์รัชทายาทกำลังวางแผนเพื่ออนาคตของอาอู่ จึงกำจัดความสัมพันธ์ของอาอู่กับตระกูลหวังออกจากกันให้ชัดเจน
หากอาอู่เป็นลูกชายของภรรยาเอกก็คงไม่เป็นไร บางทีอาจแย่งชิงตำแหน่งว่าที่กษัตริย์ได้ แต่มารดาผู้ให้กำเนิดของอาอู่นั้นแค่พูดออกมายังทำไม่ได้ ด้วยมีฐานะแบบนั้นย่อมไม่อาจขึ้นเป็นว่าที่กษัตริย์ได้อีก ในเมื่อไม่ได้ตำแหน่งนั้นก็ควรต้องถ่อมตัวเสียหน่อย มีเพียงวิธีนี้ถึงทำให้ว่าที่กษัตริย์คนใหม่วางใจได้
เรื่องนี้นับเป็นครั้งแรกที่องค์รัชทายาทได้ทุ่มเทคิดแผนการทั้งหมดขึ้นมาเอง ก่อนหน้านี้เขาให้ฮองเฮาตัดสินใจในทุกเรื่อง เพียงแค่บอกเขาก็ถือว่าได้ปรึกษาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ที่จริงแล้วเขาไม่เคยตรึกตรองอย่างจริงจังมาก่อนเลย ด้วยคิดเอาว่าฮองเฮาจะต้องจัดการแทนเขาได้แน่
แต่ครั้งนี้องค์รัชทายาทกลับได้รู้ความจริงข้อหนึ่ง ว่าฮองเฮาคงไม่อาจทำเรื่องนี้ให้ดีได้ เพราะว่าฮองเฮาไม่มีทางคิดเรื่องราวต่างๆ ในมุมมองของคนอื่น และยิ่งไม่อาจวางมือจากตำแหน่งนั้นได้
แน่นอนว่าฮองเฮาไม่อาจยอมรับการตัดสินใจนี้ได้ แต่องค์รัชทายาทพูดเรื่องนี้ต่อหน้าฮ่องเต้ และฮ่องเต้ก็ตอบตกลงรับคำ ดังนั้นฮองเฮาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ แม้ว่านางไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงมองหยวนฉงหวาอุ้มอาอู่ออกไป
ในเมื่อฮองเฮาไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นนั้นพระชายาองค์รัชทายาทและหวังเหลียงตี้ก็ทำได้แค่นิ่งเงียบ แม้ว่าจะไม่พอใจมากเท่าไร แต่ก็ทำได้แค่ข่มใจไว้เท่านั้น
พระชายาองค์รัชทายาทรู้สึกไม่ดีเป็นที่ยิ่ง ตนเองเป็นถึงภรรยาเอก ไม่ว่าอย่างไรองค์รัชทายาทก็ควรต้องเห็นแก่หน้านางเป็นคนแรก แต่ดูสิว่าองค์รัชทายาททำอะไรลงไป? แม่ใหญ่อย่างนางถึงจะมีคุณสมบัติเลี้ยงเด็กคนนั้นมากที่สุดไม่ใช่หรือ? แต่ตอนนี้เล่า? อนุคนหนึ่งกลับข้ามหัวนางไปแล้ว!
นี่จะให้นางเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? เคยคิดถึงนางบ้างหรือไม่?
ดังนั้นหากจะบอกว่าเสียใจ เกรงว่าพระชายาองค์รัชทายาทคงจะเสียใจเรื่องตนเองมากกว่า ไม่ใช่เรื่ององค์รัชทายาท
ถาวจวินหลันมองเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยสายตาเย็นชาและเศร้าสลด เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นไปตามที่นางคาดการณ์เอาไว้ แต่พอเห็นเรื่องเหล่านี้กับตา นางกลับไม่ได้ดีใจเลยสักนิด
บางทีอาจด้วยความใจอ่อนที่ครอบงำจิตใจของนาง
แต่เสี้ยววินาทีที่**บพระศพขององค์รัชทายาทถูกนำออกมาจากวังหลวง ถาวจวินหลันกลับสบายใจไปเฮือกหนึ่ง เรื่องมาถึงตอนนี้ถือว่าทุกอย่างจบลงแล้ว อย่างน้อยเรื่องปลดองค์ชายรัชทายาทก็เป็นไปตามนี้ แน่นอนว่ายังมีเรื่องว่าที่กษัตริย์คนใหม่จะเป็นใครอีก
นางรู้แจ้งแก่ใจและมั่นใจ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่มีใครข้ามหน้าหลี่เย่ไปได้ องค์ชายรัชทายาทคนใหม่ นอกเสียจากไม่แต่งตั้งแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นหลี่เย่แน่นอน
หากแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาท มีเพียงเรื่องเดียวที่นางต้องปวดหัว นั่นคือใครจะได้ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท?
คิดว่าไทเฮาคงไม่ยอมให้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาทคนใหม่แน่นอน แม้ว่านางจะไม่ได้มั่นใจมาก แต่ก็พอรู้สึกได้บ้าง
ไทเฮาเองก็ไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้ว ทำไมไทเฮาจะต้องกดดันไม่ให้หลี่เย่แต่งชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่อยู่ตลอด? ก็เพียงต้องการบอกนางเท่านั้น ถ้าไม่ยกนางขึ้นมา หลี่เย่ก็คงไม่เห็นด้วย ส่วนทางตระกูลถาวก็คงไม่ยินยอม อีกทั้งหลี่เย่ยังต้องการความช่วยเหลือของนาง
ดังนั้นไทเฮาจึงกดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ถือว่าเป็นการปลอบประโลมที่ไม่แสดงออก แต่เรื่องนี้ก็ยังอธิบายได้ว่าไทเฮาไม่คิดจะแต่งตั้งนางเป็นชายาเอกคนใหม่ มิเช่นนั้นจะยื้อมาจนถึงตอนนี้หรือ?
แต่ยังดีที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่สุด อย่างไรองค์รัชทายาทก็เพิ่งสวรรคตไป การแต่งตั้งองค์รัชทายาทองค์ใหม่ก็ต้องรออีกระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องประมาณครึ่งปีหรือว่าปีหนึ่ง ถึงจะสามารถยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดใหม่อีกครั้ง
ต่อให้ต้องรีบแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทขึ้นมาใหม่เพราะพระวรกายอ่อนแอของฮ่องเต้ แต่อย่างน้อยก็ต้องให้ผ่านสามเดือนแรกไปก่อน
เรื่องที่เร่งด่วนมากที่สุดตอนนี้ เห็นจะเป็นเรื่องทางด้านตระกูลถาว
ถาวจวินหลันยังไม่ลืมเรื่องที่ฮองเฮาพูดกับนางครั้งที่แล้ว ตอนนั้นฮองเฮาล่อลวงนางอย่างไร นางยังจำได้แม่นยำ เห็นได้ชัดว่าฮองเฮามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้
นางยังสงสัยอีกว่า ฮองเฮาเป็นตัวการเบื้องหลังเรื่องนี้
นางจะต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจนอย่างเร็วที่สุด คืนความบริสุทธิ์ให้กับตระกูลถาว เพื่อเพิ่มไพ่ต่อให้กับตนเองด้วย หากคิดจะยืนดูความสำเร็จข้างกายหลี่เย่ นางก็ไม่อาจแบกชื่อเสียงลูกสาวของขุนนางนักโทษไปตลอดได้
ถาวจวินหลันถอนหายใจ ปวดหัวเล็กน้อย เรื่องนี้คิดจะทำให้ชัดเจนไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรก่อนหน้านี้ตระกูลเฉินเคยช่วยสืบ ก็ยังไม่เห็นว่าจะสืบได้เรื่องอะไร
อีกทั้งนางเองก็ไม่มั่นใจว่าฮองเฮาฆ่าปิดปากหรือไม่ แต่ดูจากคำพูดครั้งที่แล้ว เกรงว่าฮองเฮาคงจะรู้อยู่แล้วว่านางสงสัยกระมัง? ฮองเฮาทั้งฉลาดทั้งเก่ง นางไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะนิ่งดูดายได้
หลังจากส่งองค์รัชทายาทไปยังสุสานตะวันออกแล้ว ฮองเฮากลับถึงตำหนักก็ออกคำสั่ง นอกจากพระชายาองค์รัชทายาทและเหลียงตี้ทั้งสองคนแล้ว ก็ประทานเหล้าพิษหรือผ้าขาวหนึ่งผืนให้สตรีที่ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน และเคยปรนนิบัติองค์รัชทายาท พอสิ้นลมหายใจแล้วก็ให้ส่งไปร่วมฝังในสุสานตะวันออก
เรื่องร่วมฝังไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร แต่ปกติแล้วจะดำเนินการเงียบๆ น้อยครั้งที่จะทำอย่างเอิกเกริกครึกโครมเหมือนฮองเฮา
ดังนั้นจึงมีคนฟ้องร้องวิธีการโหดเ**้ยมของฮองเฮา ว่าโหดร้ายและไร้เมตตาเกินไป อีกทั้งยังข้ามเส้นด้วย
พูดตามจริงแล้วสตรีขององค์รัชทายาทมีมากเกินไป รวมกันแล้วยังมากกว่าพระสนมที่ฝังร่วมกับฮ่องเต้องค์ก่อนนัก
แต่ฮองเฮาไม่สนใจ ยังคงจัดการเรื่องนี้ตามที่นางคิดเอาไว้ และน่าแปลกใจที่ฮ่องเต้แย้งเรื่องพิธีฝังพระศพ แต่กลับไม่พูดอะไรกับเรื่องนี้เลย
ถาวจวินหลันรู้สึกสงสัย จึงเอ่ยปากถามหลี่เย่ จากนั้นสิ่งที่ออกมาจากปากของหลี่เย่นางถึงได้รู้ความจริงเรื่องหนึ่ง ฮ่องเต้ฟังความคิดเห็นของนักพรตกู่ ถึงได้ไม่ถามเรื่องนี้อีก
หลังจากถาวจวินหลันได้ยินเรื่องนี้ ก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที “ฮ่องเต้ดูเชื่อใจนักพรตกู่เกินไปเสียแล้ว” เรื่องเช่นนี้ยังฟังความคิดเห็นของนักพรตเพียงคนเดียว พูดให้ไม่น่าฟัง ฮ่องเต้คงเลอะเลือนไปแล้ว
หลี่เย่เองก็มีสีหน้าเป็นกังวล “นักพรตกู่คนนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก” ถ้าไม่ใช่แบบนี้ นักพรตกู่คงไม่จำเป็นต้องช่วยฮองเฮาและองค์รัชทายาทพูด
“เสด็จพ่อคิดจะให้สมยานามพี่ใหญ่ว่า ‘ฮุ่ยเต๋อ’ น้ำเสียงของหลี่เย่แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด “ฮุ่ยมาจากฉลาดเฉลียว ส่วนเต๋อมาจากคุณธรรม”
ถาวจวินหลันอ้าปากค้างอย่างตื่นตกใจ ไฉนเลยองค์รัชทายาทจะใช้สองคำนี้ได้? องค์รัชทายาทไม่เคยทำคุณประโยชน์ให้แคว้นมาก่อน แล้วยังให้ท้ายขุนนางทุจริตอีกด้วย สำหรับราษฎรนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากให้ประชาชนมาวิพากษ์วิจารณ์ องค์รัชทายาทก็ยังไม่อาจใช้สองคำนี้มาอธิบายได้
“ไม่อย่างนั้นให้คนต่อต้านดีหรือไม่เพคะ” ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนี่งถึงถามเสียงเบา
แต่ยังลังเล อย่างแรกเพราะองค์รัชทายาทสวรรคตแล้ว ไม่ควรค่าที่จะแย่งชิงเรื่องเหล่านี้อีก อย่างที่สองเพราะว่าถ้าทำเช่นนี้จริง เกรงว่าทำให้คนรู้สึกหลี่เย่ตระหนี่จนเกินไป
หลี่เย่ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหัว “ไม่จำเป็น คนตายก็เหมือนไฟมอดดับ ไม่ว่าจะตั้งฉายาอะไรก็เหมือนกัน ก็เป็นแค่ชื่อเสียงเท่านั้น ฮองเฮาทำเช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็เพื่อให้ต่อจากนี้อีกร้อยปีพันปีองค์รัชทายาทไม่ได้มีชื่อเสียงเสียหายมาก จนถูกด่าประณามเท่านั้นเอง ในเมื่อกเกิดมาเป็นพี่น้องกัน เรื่องเท่านี้ข้าคงไม่ถึงขั้นยกให้เขาไม่ได้ อีกอย่างฮองเฮาทำเรื่องมากมายก็เพื่อเรื่องนี้ พวกเราเข้าไปขัดก็คงไม่น่าดูนัก”
ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกลงตามนี้
ผ่านไปอีกสองวันฮ่องเต้ก็ออกราชโองการตั้งสมยานามให้องค์รัชทายาทว่า ‘ฮุ่ยเต๋อ’ อย่างเป็นทางการ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมื่อคนพูดถึงองค์รัชทายาทอับโชคที่โชคคนนี้ก็จะเรียกว่า องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ
องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อมีโชคชะตายากลำบาก ออกจากเมืองหลวงครั้งแรกในชีวิตก็พบเข้ากับการประท้วง และยังได้รับบาดเจ็บ แม้แต่ชีวิตตนเองก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้
ที่สำคัญพระอาการของฮ่องเต้ไม่ค่อยสู้ดีแล้ว แทนที่องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อจะได้สืบทอดตำแหน่ง แต่น่าเสียดาย…
องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสวรรคตไปแล้ว เรื่องที่เขาทำตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีใครพูดถึงอีก ชื่อเสียงย่อมดีขึ้นมาก แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องยกให้กับความใจกว้างของถาวจวินหลันและหลี่เย่ด้วย มิเช่นนั้นแล้วเรื่องที่องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อทำทั้งหมดคงถูกเปิดเผยไปแล้ว ชื่อเสียงขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อก็จะสูญสิ้นไม่มีเหลือ
ความหมายของหลี่เย่คือ คนก็ตายไปแล้ว ยังจะต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหล่านั้นอีกทำไม? ไม่จำเป็นต้องไปขุดขึ้นมาอีกไม่ใช่หรือไร?
เพิ่งจะตั้งสมยานามให้สองวัน ฮ่องเต้ก็อาการกำเริบอีก…ฉับพลันเขาก็ไอออกมาเป็นเลือด อีกทั้งอาการป่วยก็หนักขึ้น แม้แต่ลุกขึ้นจากเตียงก็ยังทำไม่ได้
ด้านนอกพากันพูดว่าฮ่องเต้สูญเสียลูกชายคนโตไปกะทันหัน จึงไม่อาจทนรับความเจ็บปวดนี้ได้ มีน้อยคนนักที่รู้ความจริง ว่าฮ่องเต้เสียใจเพราะองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อก็ส่วนหนึ่ง แต่อาการไอออกมาเป็นเลือดนั้นกลับเป็นเพราะโอสถพิษ
น่าเสียดายที่คนอื่นรู้ดีแก่ใจ แต่ฮ่องเต้กลับไม่รู้ตัว พออีกฝ่ายเกลี้ยกล่อมกลับยิ่งเชื่อถือเรื่องโอสถของนักพรตกู่มากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งบอกให้นักพรตกู่ปรนนิบัติทั้งวันทั้งคืน และยังสวดมนต์ ถือศีล เดินเข้าสู่ทางธรรมตามนักพรตกู่อีกด้วย
ถาวจวินหลันรู้ความจริงก็คิดว่าฮ่องเต้ต้องสติฟั่นเฟือนไปเป็นแน่