ถาวจวินหลันถูกเตือนเช่นนี้ ก็นึกถึงจุดประสงค์ที่ตนเองมาได้ทันที นางไม่ได้มาแค่เพียงบอกข่าวดี
พอมองเฉินฮูหยินแวบหนึ่ง ถาวจวินหลันก็ลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็คิดจะอ่อนข้อให้เสียหน่อย ไม่ให้ตระกูลเฉินรู้สึกลำบากใจ หลังจากตัดสินใจแล้ว นางก็หันไปมองสะใภ้ใหญ่ สีหน้าเย็นชาพูดว่า “ข้ากำลังอยากถามหาสะใภ้ใหญ่อยู่พอดีเลย คิดไม่ถึงว่าสะใภ้ใหญ่จะมาเอง ทำไมหรือ จะมายอมรับผิดหรือไร?”
เฉินฮูหยินเห็นถาวจวินหลันมองมาที่นาง ที่จริงก็พอคาดเดาได้อยู่แล้วว่าถาวจวินหลันจะทำอะไร แต่เดิมคิดจะห้ามเอาไว้ แต่พอคิดแล้วก็เก็บท่าทีลงไป ภรรยาของลูกคนโตควรรับรู้โลกความจริงได้แล้ว ให้นางได้เสียเปรียบสักที ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่อาจใหญ่โตไปกว่านี้ได้ ตระกูลเฉินไม่เสียหน้าจนเกินไปก็พอแล้ว
ดังนั้นเฉินฮูหยินย่อมวางแผนอยู่เงียบๆ ในใจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็กำชับห้องครัวให้ทำอะไรมาให้ถาวซินหลันทาน
สะใภ้รองครุ่นคิดอยู่ในใจว่าควรจะไปทำอะไรให้ลูกชายกินดี ทั้งสองคนเริ่มละเลยบทสนทนาของสะใภ้ใหญ่และถาวจวินหลันโดยไม่ได้นัดหมาย
คำพูดของถาวจวินหลันทำให้สะใภ้ใหญ่โมโหจนแทบหงายหลัง สะใภ้ใหญ่เชิดหน้ามองถาวจวินหลันอย่างดูแคลน พูดเสียงเย็น “ข้าคิดว่าตระกูลถาวมาเพราะจะรับผิด ดูท่าทางข้าจะประเมินพวกเจ้าสูงไป”
คิดไม่ถึงว่าตระกูลถาวไม่เพียงไม่รับผิด แล้วยังมีท่าทีเช่นนี้ เหมือนมาเพื่อหาเรื่องเสียอย่างนั้น สะใภ้ใหญ่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ตระกูลถาวสั่งสอนมาอย่างไรกันแน่?
ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดของสะใภ้ใหญ่ก็หัวเราะน้อยๆ เป็นคนก็ควรจะต้องถ่อมตัวเสียหน่อย ถือตัวเองเป็นใหญ่เช่นนี้จะไปอยู่กับใครได้? มิน่าเล่าสะใภ้ใหญ่ถึงทำให้คนไม่ชอบใจได้ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะไม่ชอบคนอย่างนี้เหมือนกัน
“ยอมรับผิด? ขอถามว่าพวกเราทำผิดอะไรอย่างนั้นหรือ? ผิดที่ซินหลันไม่ได้ตบหน้าสะใภ้ใหญ่ตอนเจ้าสาปแช่งน้องเขยข้าอย่างนั้นหรือ? หรือว่าตอนที่เจ้าดูถูกตระกูลถาวแล้วไม่ได้ตบอย่างแรงอีกสักทีสองที?” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น ไม่คิดจะไว้หน้าใครอีกแล้ว “ได้ยินว่าสะใภ้ใหญ่มาจากตระกูลสูงส่งมิใช่หรือ? ข้าคิดว่าน่าจะได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้เล่า? ดูท่าทางข่าวลือคงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ”
สะใภ้ใหญ่โมโหจนนิ่งไป ถลึงตามองถาวจวินหลัน คิดไม่ถึงเลยว่าชายารองชินอ๋องอย่างถาวจวินหลันจะกล้าพูดเช่นนี้ นี่ไม่ได้ไร้เหตุผลหรืออย่างไร? นี่ไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่หรืออย่างไร?
แต่ยังไม่ทันที่สะใภ้ใหญ่จะพูดอะไร ถาวจวินหลันก็เอ่ยปากขึ้นก่อน “แต่เดิมคิดว่าเห็นแก่ที่สองตระกูลดองกันเพราะการแต่งงาน ข้าจะไม่ทำเช่นนี้ แต่สะใภ้ใหญ่ทำเกินไป ข้าจึงต้องออกหน้าพูดบ้าง แต่ท่านป้าเฉินอย่าได้ถือสาหาความเลยนะเจ้าคะ”
เฉินฮูหยินกระแอม “เป็นความผิดของลูกสะใภ้ข้า เจ้าพูดเช่นนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล”
เมื่อเฉินฮูหยินพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน นางมองสะใภ้ใหญ่นิ่ง ก่อนพูดเสียงเย็น “ขอถามสะใภ้ใหญ่เสียหน่อย ซินหลันทำอะไรไม่ดีหรือ ถึงทำให้เจ้าโกรธแค้นนางขนาดนี้? และน้องสาวของข้าไปขวางสายตาเจ้าอย่างไรหรือ เจ้าถึงได้พูดจาไม่น่าฟัง? ตระกูลถาวของข้าเคยทำผิดต่อเจ้าหรืออย่างไร เจ้าถึงต้องมาดูถูกดูแคลนตระกูลข้า? ข้าไม่เห็นรู้ว่าฮูหยินที่มีการศึกษาจะมาดูถูกครอบครัวของน้องสะใภ้ตนเองได้ตามใจชอบ”
สะใภ้ใหญ่สะอึกไปจนพูดไม่ออก แต่ถาวจวินหลันไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูด หยุดเพียงครู่เดียวก็พูดต่อว่า “ตระกูลถาวของข้าล่มสลายลง แต่ตระกูลถาวของข้าในตอนนี้ก็ยังมีขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ตระกูลถาวของข้าไม่เคยเสนอหน้า ใช้เส้นสายความสัมพันธ์ขอความช่วยเหลือมาก่อน ตระกูลถาวของข้ายังสู่ขอองค์หญิงมาเป็นลูกสะใภ้! สะใภ้ใหญ่มีสิทธิอะไรมาว่าตระกูลถาวของข้าอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันพูดไปยิ้มไป “พูดไปแล้วสะใภ้ใหญ่ก็สมที่มาจากตระกูลใหญ่ แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต ตอนนี้เจ้าเป็นลูกสะใภ้ตระกูลเฉิน ยกเรื่องครอบครัวเดิมมาพูดอยู่ทั้งวันหมายความว่าอย่างไรกัน? อีกอย่างตระกูลของสะใภ้ใหญ่นับขึ้นไปสองรุ่น เหมือนว่าเป็นแค่ผู้คุมเมืองและพ่อค้าเท่านั้นเอง? ถ้าข้าจำไม่ผิด ถ้าไม่ใช่เพราะในตระกูลมีบรรพบุรุษที่ทำมาหากินเก่ง เกรงว่าเงินที่จะเอาไปเตรียมสอบคงจะไม่มีกระมัง? แม้แต่บิดาของสะใภ้ใหญ่ ตอนเด็กๆ ก็คงเคยลำบากมาก่อน ตระกูลเช่นนี้ พอเอามาเทียบกับตระกูลขุนนางแล้วยังถือว่าเป็นอะไรกัน? ตระกูลของสะใภ้ใหญ่และตระกูลถาวของข้ามีอะไรที่ต้องเปรียบอีก? เพียงแค่พอฟัดพอเหวี่ยงกันเท่านั้นเอง”
พอถาวจวินหลันได้พูดขึ้นมาจริงๆ แล้วกลับทำให้ทุกคนอึ้งตะลึงตาค้าง นี่คือชายารองถาวที่ลือกันว่าอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนกับองค์กวนอิมหรืออย่างไร? ทำไมถึงได้ต่างกับคำเล่าขานเช่นนี้? คำพูดที่เสียดแทงไม่เกรงใจมากเท่าไรกัน? ทำให้คนสะอึกตายไปเลย!
มีเพียงเฉินฮูหยินที่รู้สึกเหมือนมองเห็นถาวจวินหลันครั้งที่ยังไม่เกิดเรื่องกับตระกูลถาว ถาวจวินหลันในตอนนั้นดูแล้วเรียบร้อย แต่พอได้โมโหจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างไปจากถาวซินหลันนักเลย
คนตระกูลถาวไม่มีใครเป็นลูกแกะจริง ต่อให้มองดูเหมือนลูกแกะ แต่ในเนื้อแท้ก็ไม่ได้เป็นเหมือนภาพลักษณ์ภายนอก
สายน้ำขุนเขาแปรเปลี่ยนได้ สันดานดั้งเดิมยากกลับกลาย การขัดเกลาหลายปีมานี้ แม้จะบอกว่าเปลี่ยนแปลงเรื่องบางอย่าง แต่นิสัยเดิมของถาวจวินหลันไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงแค่ซ่อนเอาไว้อย่างลึกล้ำ
สุดท้ายแล้วสะใภ้ใหญ่ก็ได้สติเสียที จึงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ตระกูลของข้าไม่มีขุนนางนักโทษ ตระกูลของข้าไม่เคยเกาะชายกระโปรงผู้หญิงเพื่อความก้าวหน้า”
ที่พูดนั้นหมายถึงเรื่องถาวจื้ออู้ถูกบั่นหัว และเรื่องสู่ขอองค์หญิงของถาวจิ้งผิง และยังมีถาวจวินหลันที่เป็นชายารองของหลี่เย่ ให้ถาวซินหลันแต่งงานเข้าตระกูลเฉิน
ถาวจวินหลันคิดอยู่แล้วว่าสะใภ้ใหญ่จะพูดอย่างนี้ จึงยิ้มน้อยๆ “อย่างนั้นหรือ? สะใภ้ใหญ่มั่นใจหรือว่าตระกูลของเจ้าไม่เคยมีขุนนางนักโทษ? อีกอย่างน้องชายคนที่สี่ของเจ้าก็ไปสู่ขอหลานสาวของติ้งกั๋วกงมิใช่หรือ?”
จวนติ้งกั๋วกงนั้นเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก้ มีแม่ทัพใหญ่มาหลายคน มีหน้ามีตาด้วยรับใช้เบื้องหน้าฮ่องเต้ เคยได้ป้ายซื่อสัตย์ทั้งตระกูลมาป้ายหนึ่ง ดูจากครอบครัวสะใภ้ใหญ่แล้ว คิดจะสู่ขอหลานสาวของภรรยาเอกก็นับว่าหวังเกาะเช่นเดียวกัน
ที่จริงแล้วมีไม่กี่คนที่รู้เรื่อง แต่เพราะเป็นความจริง ดังนั้นสีหน้าของสะใภ้ใหญ่จึงกลายเป็นสีแดงก่ำทันที อีกทั้งนางเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าครอบครัวของนางเป็นขุนนางโดยบริสุทธิ์จริงหรือไม่
ถาวจวินหลันยิ้มอย่างมั่นในใจ อีกทั้งเรื่องแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแม้แต่น้อย จนทำให้คนคิดว่าประโยคที่พูดก่อนหน้านี้เพียงพูดไปเรื่อยเท่านั้น
แต่ความจริงแล้วประโยคข้างหน้านั้นนางพูดเรื่อยเปื่อย เรื่องในราชสำนักนอกจากสิ่งที่เกี่ยวกับหลี่เย่แล้ว นางก็ไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจ แต่มีประโยคหนึ่งที่พูดเอาไว้ได้ดี ขอเป็นแค่ตระกูลใหญ่ เป็นขุนนางมาเยอะ ถ้าจะพูดว่าบริสุทธิ์ใสสะอาด รับรองว่าไม่มีใครกล้ารับประกันอย่างแน่นอน
เรื่องสู่ขอกลับเป็นเรื่องพูดคุยระหว่างสตรี นางเป็นชายารองตวนชินอ๋อง อยากจะรู้เรื่องเหล่านี้ย่อมง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ ต่อให้นางไม่อยากรู้ ก็จะต้องมีคนเอาเรื่องน่าขันนี้มาพูดกับนางแน่นอน
ท่าทีเชิดวางตัวสูงส่งของสะใภ้ใหญ่นั้นทำให้ถาวจวินหลันไม่ชินตา อีกทั้งเพื่อทำให้ถาวซินหลันไม่ต้องวุ่นวายในอนาคต ดังนั้นตอนที่นางลงมือย่อมไม่เกรงใจแม้แต่น้อย หากเหยียบสะใภ้ใหญ่เอาไว้ใต้ตมได้ นางก็ยอมทำทุกอย่าง
คราวนี้สะใภ้ใหญ่ก็ไม่อาจลุกขึ้นมาเย่อหยิ่งอีกได้
“หากลบหลู่ตระกูลถาวอีก คุณธรรมของตระกูลถาวของพวกเรานั้นก็มี มาอภิปรายกันให้แน่ชัดก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ จ้องไปยังสะใภ้ใหญ่นิ่ง
สะใภ้ใหญ่เม้มปากไม่กล้าพูดอะไรอีก แม้ว่านางจะอยากโต้กลับ แต่เพราะเห็นแก่ท่านพ่อ พี่น้องคนในตระกูล อีกทั้งฐานะชายารองตวนชินอ๋องของถาวจวินหลัน แล้วยังได้รับความโปรดปราน ถ้าจะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับครอบครัวตน ก็ถือว่าไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องยากอย่างแน่นอน
แต่พอคิดถึงคำพูดของน้องสะใภ้ที่พูดกับตน สะใภ้ใหญ่ก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา อย่างไรความไม่เป็นธรรมที่ได้รับในวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะเรียกกลับมา เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ดังนั้นสะใภ้ใหญ่ถึงได้พูดกล่อมตนเองให้ยอมแพ้อย่างง่ายดาย ไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับถาวจวินหลันอีก
แน่นอนว่าถาวจวินหลันเห็นว่าดีแล้วก็จบเรื่อง อย่างไรที่นี่ก็เป็นพื้นที่ของตระกูลเฉิน อีกทั้งต่อจากนี้ถาวซินหลันยังต้องใช้ชีวิตที่นี่ต่อไป พอเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยอมแล้วก็ต้องหยุด
แต่ก็ยังเป็นไปอย่างที่ถาวจวินหลันพอใจ
พออธิบายเรื่องที่ตกใจเพราะถาวซินหลันอาเจียนออกมา จนลืมเรื่องคนที่ตระกูลเฉินส่งมาตามให้เฉินฮูหยินฟังอย่างละเอียดแล้ว ถาวจวินหลันก็คิดจะขอตัวกลับจวน
ด้วยเพราะยังไม่พ้นช่วงเวลาไว้ทุกข์สามเดือนไป ดังนั้นเฉินฮูหยินจึงไม่ได้รั้งถาวจวินหลันเอาไว้
ระหว่างทางที่ถาวจวินหลันกลับจวน นางก็ยังแวะเยี่ยมองค์หญิงเก้าก่อน แล้วบอกเรื่องถาวซินหลันตั้งครรภ์กับองค์หญิงเก้า
องค์หญิงเก้าทั้งดีใจและตกใจ “จริงหรือ?! ดีจริงๆ!” จากนั้นก็พูดอีกว่า “เช่นนั้นข้าจะให้คนเอาของไปแสดงความยินดีเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันขัดจังหวะองค์หญิงเก้าที่ตื่นเต้น หัวเราะพูดว่า “ไม่ต้องรีบหรอก พูดไปแล้ว อายุครรภ์ของนางก็ยังน้อยกว่าเจ้าเล็กน้อย ตอนนี้เฉินฟู่ไม่อยู่ในเมืองหลวง ต่อจากนี้เจ้าจะต้องช่วยดูนางให้มาก อย่าทำให้นางเป็นกังวล พวกเจ้าต่างก็เป็นหญิงมีครรภ์ พอนางผ่านสามเดือนไปได้ก็ไปมาหาสู่กันได้แล้ว”
หญิงตั้งครรภ์สองคนอยู่ด้วยกันก็มีเรื่องพูดคุยกันไม่ใช่หรือ?
“ข้าจะไปจุดธูปบอกท่านพ่อท่านแม่ สายเลือดตระกูลถาวของพวกเรากลับมารุ่งเรืองอีกแล้ว” ตอนที่ถาวจวินหลันพูดยังรำพึงรำพันเล็กน้อย หากท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ ได้เห็นภาพนี้ไม่รู้ว่าจะดีใจเพียงใด?
องค์หญิงเก้าพยักหน้า “ควรจุดธูปบอกเจ้าค่ะ ไม่เพียงแค่ควรจุดธูป แล้วยังควรไปบอกเองที่หลุมศพอีกด้วย วันพรุ่งนี้ข้าจะบอกจิ้งผิง ให้เขาไปด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันกำชับองค์หญิงเก้าอีกหลายเรื่อง ถึงได้จากไปด้วยความสบายใจ
เพราะข่าวดีนี้ทำให้ถาวจวินหลันอารมณ์ดีไปหลายวัน
แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ด้วยเพราะวันนี้ฮองเฮาเรียกนางเข้าวังกะทันหัน
ตั้งแต่องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสวรรคตไป ฮองเฮาก็แทบไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าจะเรียกนางเข้าเฝ้า
แม้จะไม่รู้ว่าฮองเฮาทำเพื่ออะไร แต่สัญชาตญาณรั้นบอกนางว่าไม่น่าใช่เรื่องดี ดังนั้นอารมณ์ดิ่งลงเล็กน้อย
แต่ในเมื่อฮองเฮาเรียกพบนาง นางย่อมต้องไป ดังนั้นหลังจากถอนหายใจ ถาวจวินหลันก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าวังหลวงไป ตลอดทางก็ค่อยๆ ทำใจให้สงบได้ แม้จะบอกว่ายังกระวนกระวาย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร