หลี่เย่ฟังเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบก็เลิกคิ้วมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง จากนั้นก็ส่งยิ้มให้ฮองเฮา “เรื่องนี้ฮองเฮาเหนียงเหนียงทราบได้อย่างพ่ะย่ะค่ะ? ใช่เฉินฮูหยินหรือใต้เท้าเฉินมาร้องเรียนด้วยตนเองหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮองเฮาขมวดคิ้ว “แม้นไม่ใช่คนตระกูลเฉินมาบอกข้า แต่สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินก็ถูกข่มเหงจริง ควรต้องให้ความเป็นธรรมกับนาง”
ในเมื่อไม่ใช่ตระกูลเฉินมาร้องเอาความ ถ้าเช่นนั้นก็จัดการได้ง่าย หลี่เย่อมยิ้มเล็กน้อย พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ว่าใต้เท้าเฉินและเฉินฮูหยินไม่ได้ติดขัดอะไร เช่นนั้นก็ไม่นับว่าชายารองของจวนกระหม่อมทำเรื่องเสียหาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะพูดเรื่องรับผิดชอบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
หลี่เย่พูดเสียงเรียบ น้ำเสียงใสติดแหบพร่าเล็กน้อย พูดง่ายๆ สบายๆ แต่แฝงไว้ด้วยการปกป้องเต็มที่
เห็นได้ชัดว่าหลี่เย่ไม่คิดว่าถาวจวินหลันทำผิด หรือจะบอกว่าต่อให้ถาวจวินหลันทำผิด เขาก็จะต้องปกป้องอยู่ดี เพราะว่าต่อจากนั้นหลี่เย่ถามหักหน้าฮองเฮาไปว่า “หากฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ไม่สู้แบ่งเวลาไปดูแลฮ่องเต้ให้มาก จัดการวังหลวงให้ดี แล้วสนใจเรื่องอื่นให้น้อยลงดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ เกือบจะหลุดหัวเราะ หลี่เย่พูดเช่นนี้โหดร้ายเกินไป เท่ากับพูดว่าฮองเฮาชอบเจ้ากี้เจ้าการยุ่งเรื่องคนอื่น
แต่ฮองเฮาก็เป็นเช่นนั้นจริง
“ดี ไม่ต้องพูดกันแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าคงไม่ฟังคำพูดของข้ากันแล้วกระมัง?” ฮองเฮาดูเริ่มโกรธเกรี้ยว นวดหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว จากนั้นก็พูดสลด น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความสำนึกเสียใจ
พูดตามหลักการแล้ว เมื่อได้ยินฮองเฮาพูดเช่นนี้ พวกเขาควรจะแสดงท่าทีปลอบประโลมฮองเฮา ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนางก็ยังเป็นผู้ใหญ่
แต่หลี่เย่ไม่มีท่าทีจะทำอย่างนั้น ถาวจวินหลันย่อมไม่ประนีประนอมโดยง่ายดาย
กลับเป็นพระชายาจวงอ๋องและพระชายาองค์รัชทายาทที่นิ่งมองหลี่เย่ และเอ่ยปลอบฮองเฮาอยู่สองสามคำ ส่วนใหญ่แล้วก็พูดว่าพวกนางยังคงเชื่อฟัง แน่นอนว่า ความหมายที่แฝงอยู่นั้นคือการกล่าวโทษจวนตวนชินอ๋องอีกครั้ง
หลี่เย่อมยิ้มมองฮองเฮา เพียงแค่พูดว่า “แม้ว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงยังโศกเศร้า แต่ก็ต้องพักผ่อนให้มากพ่ะย่ะค่ะ” ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องยุ่งอีก
สีหน้าฮองเฮาเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่หลี่เย่พูด จึงพูดว่า “พี่ใหญ่ของเจ้าจากไปแล้ว ข้าเห็นพวกเจ้าเป็นเหมือนลูกชายแท้ๆ ของข้า ที่ข้าพูดเรื่องเหล่านี้ก็ด้วยหวังดีต่อเจ้าเท่านั้นเอง ชายารองถาวไม่รู้กฎเกณฑ์เช่นนี้ ข้าคิดว่าหาพระชายาตวนชินอ๋องที่เหมาะสมให้เร็วที่สุดเถิด เช่นนี้พี่ชายของเจ้าเห็น ต่อให้อยู่ใต้ผืนดินก็สบายใจได้”
หากองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อได้เห็นตวนชินอ๋องดีขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าคงจะโกรธแค้นเสียมากกว่า เห็นชัดว่าฮองเฮาพูดเรื่องเท็จ
ถาวจวินหลันมองฮองเฮา ไม่รอให้หลี่เย่เอ่ยปากก็พูดเตือนว่า “องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อเพิ่งสวรรคต แคว้นไว้อาลัยสามเดือน ฮองเฮาคงยังไม่ลืมเรื่องนี้ใช่หรือไม่เพคะ? เพราะเป็นพี่น้อง ภายในระยะเวลาหนึ่งปีท่านอ๋องไม่อาจจัดงานรื่นเริงได้ อีกอย่าง พระองค์ก็เอาแต่พูดว่าหม่อมฉันไม่มีมารยาท แต่หม่อมฉันกลับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหม่อมฉันไม่มีมรายาทอย่างไรกันแน่ หรือพวกเราควรเชิญไทเฮากับฮ่องเต้มาตัดสินดีเพคะ?”
ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าฮองเฮาตั้งใจหาเรื่อง ไม่ว่าใครจะมาตัดสิน ก็มีผลลัพธ์เดียว แม้ว่านางจะทำเกินไปอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินเป็นคนหาเรื่อง อีกทั้งเฉินฮูหยินที่อยู่ในสถานการณ์ ก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
แต่เรื่องนี้นางก็ไม่คิดจะรับผิดแล้ว
ส่วนเรื่องไม่เชื่อฟังคำผู้ใหญ่ หากเชื่อฟังแล้วจะต้องดูหมินลดเกียรติตัวเอง นางยอมไม่ฟังดีกว่า
“เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น เลือกไปก่อนช้าๆ หลังจากสามเดือนไปค่อยว่ากัน หลังจากปีหนึ่งค่อยตบแต่งก็ไม่เสียหาย” ฮองเฮายิ้ม ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดแม้แต่น้อย แต่ใบหน้ากลับดูเป็นมิตร
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของฮองเฮา
อีกทั้งฮองเฮาพูดอีกว่า “ช่วงนี้ร่างกายข้าไม่ดีนัก พวกเจ้าอยู่ที่จวนอ๋อง ก็ให้ผลัดกันเข้ามาดูแลปรนนิบัติข้า โดยเฉพาะชายารองถาว ข้าจะได้อบรมสั่งสอนมารยาทเจ้า เป็นป้าหลานกันแล้วข้าย่อมต้องหวังให้เจ้าได้ดี”
ถาวจวินหลันคิดว่าฮองเฮาตั้งใจหาข้ออ้างมาทรมานตนเอง และเพื่อแยกนางออกมา ตอนที่กำลังจะพูดปฏิเสธ ก็ได้ยินหลี่เย่พูดว่า “ถาวซื่อจะต้องดูแลจวน ไม่สะดวกเข้ามา เอาเช่นนี้ก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะเป็นชายารองเช่นเดียวกัน ก็ให้เจียงซื่อมาอยู่แทน อีกอย่างกระหม่อมคิดว่ามารยาทของถาวซื่อก็ดีมาก ไม่จำเป็นต้องเรียนอะไรอีก ในเมื่อจะต้องดูแลจวน ก็ควรต้องใช้อำนาจบ้าง อ่อนโยนเกินไปก็ถือว่าตามใจบ่าวรับใช้ไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่พูดเรื่องนี้ได้ดูทรงอำนาจและเป็นธรรมชาติ เห็นฮองเฮาไม่พอใจ เขาก็พูดช้าๆ ว่า “อย่างไรท่านพี่ก็ยังทิ้งอาอู่เอาไว้ ฮองเฮาก็ควรต้องดูแลอาอู่ให้ดีถึงจะถูก อีกอย่างอาอู่กับเจ้าเก้าก็อายุไล่เลี่ยกัน คิดว่าจะต้องเล่นด้วยกันได้เป็นแน่ ถือว่าเป็นเรื่องดีมากพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา หลี่เย่กล้ายกเรื่ององค์ชายเก้าและอาอู่มาพูดอย่างเปิดเผย แล้วยังจงใจยกเรื่องอายุใกล้เคียงของพวกเขาสองคนขึ้นมา
ฮองเฮาได้ยินย่อมใจไม่ดี จากนั้นนางก็คิดได้ว่า ถาวจวินหลันรู้ชาติกำเนิดของอาอู่ หลี่เย่ก็ต้องรู้เหมือนกันมิใช่หรือ? แม้ว่าในใจของฮองเฮาจะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่มีทางดิ้นหลุด องค์รัชทายาทก็สวรรคตไปแล้ว ต่อให้ความจริงถูกเปิดเผยก็แค่สู้กันจนหายนะไปทั้งสองฝ่ายเท่านั้นเอง แต่นางก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี
หากต้องลิ้มรสไพ่ตายของอีกฝ่ายก็คงไม่ดี ดังนั้นฮองเฮาจึงทำได้แค่กัดฟันยอมถอยให้
หลี่เย่หัวเราะอย่างเป็นมิตร “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมไม่รบกวนฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถาวซื่อ พวกเรากลับกันเถิด”
ถาวจวินหลันรีบลุกขึ้นทูลลาฮองเฮา
หลี่เย่เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาพูดว่า “ถาวซื่อมีธุระยุ่งทุกวัน หากฮองเฮาเหนียงเหนียงมีธุระอะไร ก็ให้ส่งคนมาบอกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ คนในจวนของกระหม่อม กระหม่อมจะอบรมเอง” ไม่ต้องให้คนอื่นมาคอยชี้แนะ และยื่นมือเข้ามายุ่ง
ฮองเฮาโกรธขึ้งจนแทบจะหงายไป แต่ก็จนปัญญา
พระชายาองค์รัชทายาทมองแผ่นหลังของหลี่เย่อย่างแฝงไปด้วยความนัย พลางมองไปยังฮองเฮา
พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องแสร้งทำเป็นไม่อยู่ตรงนี้ ในใจนั้นกลับหวาดกลัว นี่ยังเป็นตวนชินอ๋องที่อารมณ์ดีอยู่ตลอดหรืออย่างไร? ทำไมถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้? คำพูดเหล่านั้นดูวางอำนาจมากเพียงใด? เหิมเกริมมากเพียงใด?
ฮองเฮาให้พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องถอยออกไปก่อน แต่ยังรั้งพระชายาองค์รัชทายาทเอาไว้ จากนั้นก็พูดอย่างโหดเ**้ยม “เก็บถาวซื่อไว้ไม่ได้ ต้องหาโอกาสกำจัดนาง”
พระชายาองค์รัชทายาทส่ายหน้า ถอนหายใจ “เกรงว่าโอกาสคงไม่ได้หาง่ายเพคะ พวกเราใช้หมากในจวนตวนชินอ๋องเกือบหมดแล้ว ที่เหลือล้วนไม่อาจใช้ได้เลยแม้แต่น้อย และเรือนของนางยังเหมือนกับกรงเหล็ก ไม่อาจให้คนมุดหาช่องแทรกเข้าไปได้เลยเพคะ”
“มีเงินรางวัลอย่างหนัก ย่อมต้องมีคนกล้าแน่นอน” ฮองเฮานวดหว่างคิ้ว แววตายิ่งมืดมัวลง “เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการ กำจัดนางให้เร็วที่สุด หลังจากกำจัดนางแล้ว ก็จัดการหยวนฉงหวาได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็เอาเด็กคนนั้นไปเลี้ยง”
คนต่ำต้อยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างหยวนฉงหวา จะมาเลี้ยงหลานของนางได้อย่างไร?