เห็นชัดว่าไทเฮากำลังอารมณ์ดี หลังจากถาวซินหลันทำความเคารพแล้วก็ยิ้มพลางก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าไทเฮา หยิบส้มมาลูกหนึ่งปอกเปลือกให้ไทเฮา พูดยิ้มๆ ว่า “ไทเฮาต้องเสวยพระกายาหารเช่นนี้ทุกวันนะเพคะ ต่อไปจะได้ตั้งชื่อให้ลูกหม่อมฉัน”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะจนเกิดเป็นริ้วรอยบนใบหน้า “ดีๆๆ ถึงเวลานั้นเจ้าก็คลอดเด็กตัวอ้วนๆ ข้าจะตั้งชื่อให้เอง ข้ายังเตรียมหยกดำชั้นดีเอาไว้อีกชิ้น ต่อไปจะเอาไว้ทำจี้อายุยืนให้ลูกของเจ้า”
หยุดไปครู่หนึ่งไทเฮาก็แสดงท่าทีให้ถาวซินหลันห่างออกไปอีกหน่อย “เจ้าอย่าเข้ามาใกล้เกินไป ระวังกลิ่นยาบนตัวของข้าจะไปติดเจ้าให้ ตอนนี้เป็นช่วงที่อาเจียนง่ายที่สุด อีกทั้งดมกลิ่นยาเข้าไปก็ไม่ดี”
ถาวซินหลันโบกมือ “ไม่เป็นไรเพคะ อยู่ที่บ้านหม่อมฉันก็เริ่มทานอาหารบำรุงแล้ว อีกอย่างร่างกายของพระองค์จะมีกลิ่นยาได้อย่างไรเพคะ?
มองดูไทเฮาพูดจากับถาวซินหลันอย่างรักใคร่กลมเกลียว ถาวจวินหลันก็เงียบอย่างรู้กาลเทศะ นางคิดว่าหากนางพูดออกมา ไทเฮาคงเริ่มอารมณ์ไม่ดี
นางกับไทเฮานั้นอาจจะมีดวงชะตาไม่ค่อยต้องกันเท่าไรนัก จึงสนิทสนมกันไม่ได้เสียที
แต่คิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะถามถึงซวนเอ๋อร์เองก่อน “ซวนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”
ถาวจวินหลันยิ้มพลางเล่าเรื่องที่หลี่เย่หยอกล้อซวนเอ๋อร์ แล้วยังเล่าเรื่องที่ซวนเอ๋อร์ร้องไห้เสียงดังด้วย “ท่านอ๋องก็นิสัยไม่ดีจริงๆ เพคะ เพื่อขนมเหนียวคำเดียวก็หยอกจนซวนเอ๋อร์ร้องไห้ลั่น นิสัยเป็นเด็กนัก ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่เคยเห็นท่านอ๋องทำตัวเช่นนี้มาก่อนเลยเพคะ”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “เขาเป็นเด็กเจ้าเล่ห์มานานแล้ว ข้าจำได้ว่าตอนเขาเด็กๆ ก็ชอบทำเช่นนี้ มีครั้งหนึ่งเคยแกล้งเด็กสาวที่เข้าวังมาร่วมงานฉลองจนร้องไห้หาแม่ นิสัยเสียอย่างเจ้าว่า ไว้ข้าจะไปพูดกับเขา ซวนเอ๋อร์เป็นเด็กดีขนาดนั้น”
“เซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้ทำให้พระองค์เหนื่อยใช่หรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันถือเอาโอกาสนี้ยิ้มถามไทเฮาเกี่ยวกับสถานการณ์ของเซิ่นเอ๋อร์
ไทเฮาส่ายหัว “เด็กคนนั้นเลี้ยงง่ายนัก ไม่ร้องไห้โวยวาย เพียงแค่กลัวคนแปลกหน้าเท่านั้น ปกติแล้วอยู่ติดกับแม่นม น้อยนักที่จะมาอยู่เบื้องหน้าข้า”
ได้ยินเช่นนั้นถาวจวินหลันก็ถอนหายใจ “เพราะเซิ่นเอ๋อร์ตกใจกลัวเกินไปเพคะ แม้จะบอกว่ายังเด็กจำอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังจำความรู้สึกหวาดกลัวได้ หวังว่าต่อจากนี้คงจะค่อยๆ ดีขึ้นเพคะ”
“เจียงซื่อมาเยี่ยมบ้างบางครั้ง ข้าก็ไม่ได้ให้คนห้าม แต่ก็ให้คนจับตาดูเอาไว้ ไม่ได้ให้นางอยู่กับเซิ่นเอ๋อร์ตามลำพัง” ไทเฮาพูดอธิบายเล็กน้อย
ถาวจวินหลันย่อมเข้าใจว่าไทเฮาอยากให้นางเปิดใจกว้าง อย่าเอาเรื่องนี้มาคิดมาก และอย่าห้ามเจียงอวี้เหลียน อย่างไรก็ไม่ควรไปแยกแม่ลูก
แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่ได้หงุดหงิดกับเรื่องนี้ ขอเพียงเจียงอวี้เหลียนอยู่อย่างสงบ นางก็ไม่มีทางไปเอาเรื่องอะไรแน่นอน
พอพูดคุยกันระยะหนึ่งแล้ว ถาวจวินหลันก็เปิดประเด็นเรื่องนักพรตกู่ที่คุยกันครั้งที่แล้ว “นักพรตกู่มีศิษย์พี่อีกคนหนึ่งเพคะ เป็นบุคคลสูงส่งละทางโลกอย่างแท้จริง เก็บตัวอยู่ในเขาลึกมาโดยตลอด ฝึกวิชา สวดมนต์อย่างเคร่งครัด กว่าจะหาเขาพบและเชิญมา หม่อมฉันต้องทุ่มเทแรงไปมาก ไทเฮาต้องการพบนักพรตท่านนี้หรือไม่เพคะ?”
ไทเฮานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เป็นบุคคลสูงส่งละทางโลกจริงหรือ?”
“เป็นเช่นนั้นจริงเพคะ เขาไม่ได้ปรุงยาอายุวัฒนะ แต่มักจะทำยารักษาโรคต่างๆ ให้ชาวบ้านที่มาแสดงความเคารพ ชื่อเสียงดีทีเดียว หม่อมฉันก็เคยพบอยู่ครั้งหนึ่ง ดูแล้วต่างกันจริงๆ เพคะ” แม้ว่านักพรตกู่พอมีความเป็นเซียนอยู่บ้าง แต่กลับแสดงตัวอย่างชัดเจน ในขณะที่ศิษย์พี่ของเขาใส่เพียงเสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป แล้วยังมีรอยปะชุนอยู่สองสามที่อีกด้วย แต่ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเคารพและสงบใจอย่างบอกไม่ถูก ความสบายเป็นกันเองเช่นนี้กลับยิ่งเหมือนเซียนมากกว่า
ไทเฮาพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าเคยเจอแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ ข้าเชื่อสายตาของเจ้า จัดการให้ที่พักเขาก่อน รอจนถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว ข้าจะให้เจ้าส่งเข้าวังมา”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ที่หาศิษย์พี่ของนักพรตกู่ก็ด้วยมีจุดประสงค์มารับมือกับนักพรตกู่
ฮ่องเต้หยุดใช้ยาอายุวัฒนะไปนานแล้ว ร่างกายก็ดีขึ้นเล็กน้อย หากยังทานต่อไป คงเกิดผลที่คาดไม่ถึง อย่างไรไทเฮาก็ไม่อาจปล่อยให้ฮ่องเต้หลงวิชายาอายุวัฒนะได้อีก
ทำให้ฮ่องเต้ทำผิดแล้วรู้จักแก้ไขปรับตัวเป็นวิธีที่ดีที่สุด อย่างแรกแยกนักพรตกู่ออกมาจากข้างกายฮ่องเต้ อย่างที่สองเพื่อให้ฮ่องเต้เข้าใจว่ายาอายุวัฒนะเป็นเพียงเรื่องลวงตาเท่านั้น คิดว่ามีเพียงแค่คนที่บำเพ็ญเพียรมาถึงจะนำพาออกมาจากเขาวงกตได้
เพื่อฮ่องเต้ไทเฮานั้นขบคิดทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้ แต่ถาวจวินหลันกลับสงสัยว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วจะเกิดผลหรือไม่ ฮ่องเต้งมงสยวิชายาอายุวัฒนะถึงขั้นนั้นแล้ว คิดจะให้คิดได้คงไม่ง่ายนัก
แต่คำพูดนี้ย่อมไม่เหมาะที่จะพูดต่อหน้าไทเฮา ดังนั้นนางจึงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก เพียงแค่แสดงท่าทีให้ถาวซินหลันอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนไทเฮา ส่วนนางออกไปหาเซิ่นเอ๋อร์
แม้ว่านางจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ แต่ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของหลี่เย่ ในเมื่อนางเป็นภรรยาของหลี่เย่ ย่อมต้องดูแลแทนเขาบ้าง
เซิ่นเอ๋อร์ดูดีทีเดียว คนรับใช้ก็ดูดีกว่าที่เจียงอวี้เหลียนเคยเลือกมามากนัก แต่เหมือนที่ไทเฮาพูด เขายังกลัวคนแปลกหน้าอยู่บ้าง
ดูเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ถาวจวินหลันก็นึกถึงอาอู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้อาอู่จะเป็นเช่นไรบ้าง คิดดูแล้ว หยวนฉงหวาน่าจะดูแลอาอู่เป็นอย่างดีกระมัง?
ต่อให้หยวนฉงหวาไม่ใส่ใจ ฮองเฮากับพระชายาองค์รัชทายาทก็คงไม่มีทางละเลยอาอู่
หลังออกมาจากวังของไทเฮาแล้ว สองพี่น้องเพิ่งจะออกมาจากประตูใหญ่วังหย่งโซ่วก็ถูกนางกำนัลคนหนึ่งขวางทางเอาไว้ “อี๋เฟยเหนียงเหนียงอยากพบชายารองถาวเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าชารองถาวสะดวกหรือไม่?”
ท่าทีของนางกำนัลดูเกรงใจ ใบหน้าก็ดูคุ้นตา เป็นคนที่รับใช้ปรนนิบัติข้างกายอี๋เฟยจริง อีกทั้งยังเป็นคนที่ได้รับความเชื่อใจอย่างมาก มิเช่นนั้นแล้วถาวจวินหลันคงไม่มีทางจำหน้านางได้เลือนรางกระมัง?
ถาวจวินหลันยังไม่พูดอะไร กลับเป็นถาวซินหลันที่ขมวดคิ้วถามก่อน “พวกเรายังต้องรีบออกจากวังหลวง เกรงว่าจะไม่สะดวก ไม่ทราบว่าอี๋เฟยเหนียงเหนียงตามหาพี่สาวของข้าด้วยเรื่องอะไรหรือ? หากสะดวกฝากเจ้าไปบอกได้หรือไม่?”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายที่ถาวซินหลันปฏิเสธออกมาอย่างแข็งขัน ถาวซินหลันกลัวว่าอีกฝ่ายจะวางแผนเอาไว้ อีกทั้งตอนนี้มีเรื่องวุ่นวายไม่จบสิ้น ระหว่างอี๋เฟยและฮองเฮามีความสัมพันธ์สลับซับซ้อน และฮองเฮาก็ยังเบื่อหน่ายและรังเกียจนาง ดังนั้นก็เป็นไปได้หากอี๋เฟยกับฮองเฮาจะร่วมมือกันกำจัดนาง
แต่ถาวจวินหลันกลับคิดว่าอี๋เฟยคงไม่โง่ถึงขั้นนี้ อย่างไรก็ยังมีคนมากมายมองดูอยู่ นางถูกอี๋เฟยเชิญไป หากนางเป็นอะไรไป อี๋เหยจะกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ยังไม่อาจล้างความผิดได้
ดังนั้นถาวจวินหลันจึงส่ายหน้าให้ถาวซินหลัน จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ทราบว่าตอนนี้อี๋เฟยอยู่ที่ใด?”
นางกำนัลชี้ไปที่ทิศหนึ่ง ตรงนั้นพอมองเห็นร่างของผู้หญิงสองสามคน คนที่ใส่เสื้อสีเขียวอ่อนตรงกลางน่าจะเป็นอี๋เฟย
ถาวจวินหลันพยักหน้า พูดกับถาวซินหลัน “เจ้ารอข้าก่อน ข้าจะรีบกลับมา”
ถาวซินหลันไม่ค่อยพอใจอยู่แล้ว แต่ก็จนปัญญาเพราะถาวจวินหลันเอ่ยปากพูดเองแล้ว นางก็ทำได้แค่พยักหน้ารับคำเท่านั้น แต่ก็ยังถามอย่างเป็นห่วงว่า “ข้าจะรอท่านอยู่ตรงนี้ ท่านรีบไปรีบกลับ พูดรวบรัดกระชับได้ใจความ มิเช่นนั้นข้าจะไปตามหาท่าน”
นางกำนัลคนนั้นย่อมรู้ว่าถาวซินหลันกำลังพูดข่มขู่ จึงอธิบายอย่างเคารพนอบน้อม “เฉินฮูหยินได้โปรดวางใจเจ้าค่ะ เหนียงเหนียงของพวกเราเพียงแค่อยากพูดคุยกับชายารองถาวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้จะทำอะไรเจ้าค่ะ”
ถาวซินหลันส่งเสียงฮึดฮัด ไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางกำนัลคนนั้นได้ยิน
ถาวจวินหลันถลึงตามองถาวซินหลันทีหนึ่ง จากนั้นก็ตามนางกำนัลคนนั้นไป ระหว่างทางนางก็อดคิดไม่ได้ว่า อี๋เฟยตามหานางเปิดเผยเช่นนี้ แท้จริงแล้วอยากพูดอะไรกันแน่?
คิดไปคิดมานางก็คิดไม่ออกว่านางกับอี๋เฟยยังมีเรื่องอะไรต้องคุยกันอีก พวกนางเหมือนไม่ใช่คนที่เดินร่วมทางกันมาตั้งแต่แรกมิใช่หรือ? นอกจากไม่ใช่คนเดินร่วมทาง ยังเหมือนศัตรูด้วยซ้ำ
อี๋เฟยกับฮองเฮาถึงจะถือว่าเป็นคนร่วมทางเดินกัน
นางสงสัยมาตลอดทางตราบจนพบอี๋เฟย
อี๋เฟยใส่เสื้อผ้าสีเรียบทั้งตัว แม้แต่การแต่งหน้าก็บางเบาเพียงชั้นเดียวเท่านั้น แลดูมีความน่าสงสาร ถาวจวินหลันแทบจะคิดในทันทีว่า หรืออี๋เฟยกำลังใส่ไว้ทุกข์ให้องค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? ไม่กลัวว่าคนอื่นเห็นแล้วจะเอาไปติฉินนินทาหรืออย่างไร?
“ชายารองถาว” เรื่องน่าเหลือเชื่อได้เกิดขึ้นแล้ว อี๋เฟยหันมาค้อมตัวทำความเคารพนางก่อน
จากขั้นตำแหน่งของอี๋เฟยแล้ว นางไม่ควรหันมาทำความเคารพถาวจวินหลัน ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าขั้นตำแหน่งของทั้งสองคนนั้นเท่ากัน แต่อี๋เฟยถือเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นถาวจวินหลันควรต้องทำความเคารพนางถึงจะถูก
ถาวจวินหลันตะลึงไปเล็กน้อย จึงหลบไปด้านข้างทันที เพื่อเลี่ยงการทำความเคารพของอี๋เฟย ปากก็พูดว่า “อี๋เฟยเหนียงเหนียงกำลังทำอะไรเพคะ? หม่อมฉันมึนงงไปหมดแล้วเพคะ”
ที่บอกว่าเรื่องกลับตาลปัตรล้วนเป็นภูตผี การกระทำเช่นนี้ของอี๋เฟยก็กลับตาลปัตรจนถึงขั้นสุด จะไม่ให้รู้สึกอึดอัดได้อย่างไร?
พอเห็นถาวจวินหลันหลีกเลี่ยง อี๋เฟยก็หัวเราะขมขื่น “ชายารองถาวรับการทำความเคารพของข้าได้เป็นแน่”
พูดจบอี๋เฟยก็ทำความเคารพถาวจวินหลันอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ถาวจวินหลันไม่ทันหลบ แล้วก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นอีก
ทางด้านอี๋เฟยกลับแสดงท่าทีให้บรรดานางกำนัลถอยออกไปทั้งหมด “ข้ามีเรื่องส่วนตัวจะต้องพูดคุยกับชายารองถาว พวกเจ้าหลบไปก่อน” หยุดไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของอี๋เฟยก็โหดเ**้ยมขึ้น “เรื่องวันนี้ใครกล้าหลุดไปสักคำ ข้าจะทำให้พวกเจ้าตายทั้งเป็น!”
น้ำเสียงเ**้ยมโหดของอี๋เฟยย่อมได้ผล บรรดานางกำนัลถอยกรูดไปทันที อีกทั้งยังเงียบเป็นเป่าสาก
ถาวจวินหลันเหลือบมองหงหลัวที่ยืนอยู่ด้านหลังของตนทีหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ดูจาสถานการณ์ปกติแล้ว นางได้ยินคำพูดของอี๋เฟยตอนนี้ ก็ควรจะต้องพูดให้หงหลัวถอยไปด้วยเช่นกัน แต่พอคำนึงถึงเรื่องจุดยืนต่างกันแล้ว เห็นได้ว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นจะต้องทำตามสถานการณ์ปกติ
อีกทั้งหงหลัวเป็นคนสนิทของนาง ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ถอยออกไป
อี๋เฟยมองหงหลัวทีหนึ่ง แต่เห็นว่าถาวจวินหลันยังไม่เอ่ยปากพูด นางก็ไม่อาจบอกให้หงหลัวถอยออกไปได้ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ อี๋เฟยถึงได้เอ่ยปากก่อน “สิ่งที่ข้าจะบอกชายารองถาววันนี้ ขออย่าได้นำไปเล่าต่อ”
“ข้าไม่ใช่พวกปากไม่มีหูรูด” ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย พยายามทำให้ตนเองดูเป็นมิตรและจริงใจเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วนางไม่ได้รับปากเงื่อนไขใดๆ ของอี๋เฟย นางแค่พูดว่านางไม่ใช่คนปากมาก แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่บอกใคร
นี่ถือว่าความเจ้าเล่ห์อย่างหนึ่งกระมัง
ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอี๋เฟยสังเกตเห็นจุดนี้หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้พูดเปิดโปงความเจ้าเล่ห์นี้ของนาง เพียงแค่พูดช้าๆ ว่า “แม่แท้ๆ ของอาอู่เป็นใคร ไม่ทราบว่าชายารองถาวทราบเรื่องนี้หรือไม่?”
อี๋เฟยถามเช่นนี้ถือว่าเป็นการหยั่งเชิง เห็นได้ชัดว่าตัวอี๋เฟยยังไม่มั่นใจว่าถาวจวินหลันรู้เรื่องชาติกำเนิดของอาอู่หรือไม่
และเมื่อเป็นเช่นนี้ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันที คำพูดที่อี๋เฟยต้องการพูดวันนี้ เกรงว่าคงมีความเกี่ยวข้องกับอาอู่?