อี๋เฟยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ข้าบอกสถานที่ที่ตระกูลหวังใช้ฝึกฝนโจรลอบสังหารได้ แล้วยังเรื่องคดีทุจริตครั้งนี้ที่ตระกูลหวังมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ถ้าไม่เช่นนั้นองค์รัชทายาทจะปกป้องไปทำไม?” ถ้าไม่ปกป้อง ทำไมองค์รัชทายาทถึงไม่กล้ากลับเมืองหลวง จนถึงขนาด…
ตอนที่อี๋เฟยพูดนั้นตนเองก็เริ่มไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วในใจของตนเองรู้สึกเช่นไร ไม่รู้ว่ารู้สึกผิดมากกว่า หรือว่าพอใจมากกว่ากัน?
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องหลังที่อี๋เฟยพูด นางกลับสนใจเรื่องแรกมากกว่า “ท่านรู้เรื่องที่ตระกูลหวังฝึกโจรลอบสังหารอย่างนั้นหรือเพคะ?”
อี๋เฟยพยักหน้า หัวเราะขมขื่นเล็กน้อย “องค์รัชทายาทเคยพูดกับข้า อีกทั้งยังมอบทหารพลีชีพไว้คุ้มครองข้างกายข้าคนหนึ่ง”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า องค์รัชทายาทใส่ใจอี๋เฟยอย่างแท้จริง แต่เรื่องนี้กลับน่าขันเป็นที่ยิ่ง พระชายาองค์รัชทายาทถือเป็นอะไร? หวังเหลียงตี้ถือเป็นอะไร?
อี๋เฟยเหมือนมองทะลุความคิดของถาวจวินหลัน จึงพูดเสียงเบาว่า “ชายารองถาวและตวนชินอ๋องนั้นมีความรู้สึกต่อกัน คิดว่าชายารองถาวคงจะเข้าใจความรู้สึกระหว่างข้าและองค์รัชทายาท”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็ชะงักไป ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก ความจริงย่อมไม่อาจพูดออกไปตรงๆ ได้ นางทำได้แค่พูดในใจว่า นางไม่เข้าใจและไม่รู้เรื่อง ต่อให้ต่างฝ่ายต่างชอบพอกันอย่างไร แต่ไม่รักษามารยาทได้ด้วยหรือ? กฎเกณฑ์ยังต้องมีหรือไม่? ยังมีคุณธรรมหรือไม่? หากคำว่าชอบเพียงคำเดียวสามารถปกปิดความผิดทั้งหมด ถ้าเช่นนั้นต่อจากนี้ทุกคนก็ใช้คำว่าชอบมาหักล้างความรู้สึกผิดของตนอย่างนั้นหรือ จากนั้นก็ทำตัวกำเริบเสิบสานตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใดหรือ?
เรื่องนี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็เลือกเพิกเฉย
“อีกอย่าง ข้ายังช่วยเจ้าจับตาดูแผนการของฮ่องเต้ และแจ้งข่าวภายในวังหลวงให้เจ้าได้” อาจเป็นเพราะอี๋เฟยกลัวว่าถาวจวินหลันยังรู้สึกไม่พอ จึงได้เพิ่มเรื่องนี้เข้ามาอีก จากนั้นก็พูดว่า “ทางด้านจวงผิน เกรงว่าชายารองถาวคงฝากความหวังไว้ไม่ได้แล้ว ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
“ทำไมจวงผินถึงได้รับความชื่นชอบจากฮ่องเต้ คิดว่าชายารองถาวคงจะรู้ดีกว่าข้า” อี๋เฟยเย้ยหยันเล็กน้อย “ฮ่องเต้เห็นนางเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นเท่านั้น นางกำนัลข้างกายจวงผินแอบส่งข่าวออกมา เวลาฮ่องเต้อยู่กับจวงผิน มักจะเรียกแต่ชื่อกู้กุ้ยเฟย”
ได้ยินเรื่องนี้แล้วก็น่าปวดใจ ถาวจวินหลันไอเบาๆ ทีหนึ่งเพื่อปกปิดอารมณ์ของตนเอง
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงชีวิตของจวงผิน…
“ยิ่งเป็นเช่นนี้คิดว่าจวงผินคงยิ่งเกลียดเจ้ากระมัง” อี๋เฟยหัวเราะไปทางถาวจวินหลัน “เพราะแต่เดิมนางไม่ต้องมารับโทษและความทรมานเหล่านี้ หากนางเข้าไปยังจวนตวนชินอ๋อง คิดว่านางคงได้ตำแหน่งพระชายาของหลี่เย่ อีกทั้งไม่ว่าจะดูจากหน้าของไทเฮา หรือว่าความสัมพันธ์เครือญาติ ตวนชินอ๋องคงไม่มีทางปฏิบัติกับนางแย่จนเกินไป เจ้าว่าหากจวงผินคิดเรื่องเหล่านี้ จะแค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหรือไม่เล่า?”
ถาวจวินหลันยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “นี่เกี่ยวกับหม่อมฉันอย่างไร?”
อี๋เฟยถามกลับอย่างตกใจ “หรือว่าชายารองถาวไม่ได้…”
ถาวจวินหลันรู้ว่าอี๋เฟยเข้าใจผิด แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับอี๋เฟย นางจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “ในเมื่ออี๋เฟยคิดจะร่วมมือกับหม่อมฉันจากใจจริง คิดว่าคงต้องทำให้หม่อมฉันเชื่อใจได้ก่อน”
อี๋เฟยกัดริมฝีปาก “ต้องทำอย่างไรชายารองถาวถึงจะเชื่อข้าเล่า?”
“สถานที่ที่ตระกูลหวังฝึกฝนโจรลอบสังหาร” ถาวจวินหลันขอผลประโยชน์ชิ้นใหญ่โดยไม่เกรงใจ “หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หม่อมฉันก็รับปากคำขอของอี๋เฟยเหนียงเหนียงได้เพคะ”
เงียบไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดติดตลกออกมาอย่างตั้งใจ “ไม่อย่างนั้น วางยาฮองเฮา เงื่อนไขนี้เป็นอย่างไรเพคะ? หากท่านทำได้ คิดว่าไม่ต้องพูดถึงหม่อมฉัน จะให้ท่านอ๋องมารับประกันกับท่านก็ย่อมได้”
ใบหน้าของอี๋เฟยเปลี่ยนไปทันที จากนั้นปฏิเสอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ได้ ข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้!”
“ทำไมเล่า? เพราะว่าท่านและฮองเฮายืนอยู่ฝั่งเดียวกันใช่หรือไม่?” ถาวจวินหลันยิ้มพลางถามกลับด้วยเสียงแหลมสูงขึ้นเล็กน้อย
อี๋เฟยส่ายหัว น้ำเสียงขมขื่น “ไม่ ไม่ใช่เพราะเหตุนี้ พวกเจ้าจะลงมือกับฮองเฮาอย่างไรข้าไม่สนใจ แต่ข้าไม่อาจลงมือกับฮองเฮาได้ อย่างไรนางก็เป็น…”
เสียงของอี๋เฟยค่อยๆ เบาลง จนแทบจะไม่ได้ยินเสียง “อย่างไรนั่นก็เป็นมารดาของเขา ข้าจะลงมือได้อย่างไร? หากเขารู้คงจะเกลียดข้าเป็นแน่”
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเหตุผลนี้ ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปาก ลอบถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
สุดท้ายแล้วอี๋เฟยก็ได้สติกลับมาก่อน พูดที่อยู่เสียงเบา จากนั้นก็พูดว่า “นี่ถือเป็นความจริงใจที่สุดของข้าแล้ว หวังว่าชายารองถาวคงจะแสดงความจริงใจออกมาเช่นกัน”
“ในเมื่ออี๋เฟยเหนียงเหนียงกล้าเอ่ยเรื่องนี้กับหม่อมฉัน คิดว่าคงจะวางใจหม่อมฉันแล้ว” ถาวจวินหลันหัวเราะเล็กน้อย “หม่อมฉันคงไม่ละเลยความเชื่อใจของเหนียงเหนียงเป็นแน่เพคะ”
พูดมาถึงขั้นนี้ ย่อมไม่ควรค่าแก่การพูดเรื่อยเปื่อยอีก หลังจากถาวจวินหลันจำที่อยู่ขึ้นใจ จึงขอตัวกลับไป
นางย่อมไม่รู้ว่าหลังจากนางไปแล้ว อี๋เฟยยังพูดคุยกับนางกำนัลที่ไปเชิญนางมาอีกครู่หนึ่ง
“เหนียงเหนียง ท่านเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ หากชายารองถาวโกหกพวกเราจะทำอย่างไรเพคะ? หากชาติกำเนิดของคุณชายน้อยถูกเปิดเผย เขาคงมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยคุณชายน้อยไว้เป็นแน่”
อี๋เฟยหัวเราะขมขื่น “นอกจากวิธีนี้แล้ว พวกเรายังมีวิธีอื่นอีกหรือ? แค่เรื่องที่นางรู้ชาติกำเนิดของอาอู่ ข้าก็ทำได้แค่ประจบนางแล้ว” หยุดไปครู่หนึ่ง อี๋เฟยก็ถอนหายใจ “อีกทั้งตวนชินอ๋องก็โชคค้ำฟ้า แต่เดิมก็เหมาะจะได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทมากที่สุด”
“แต่หากฮองเฮาเหนียงเหนียงทราบ…”
“รู้แล้วจะทำไม? อย่างมากนางก็เอาชีวิตข้าไปเร็วขึ้นเท่านั้นเอง” อี๋เฟยยิ้มเย็น ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
แล้วถาวจวินหลันก็กลับมาพบถาวซินหลัน ถาวซินหลันอดกล่าวโทษไม่ได้ “ทำไมถึงไปนานขนาดนี้เล่า? อี๋เฟยหาท่านมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ? ไม่ได้ทำอะไรกระมัง?”
ถาวซินหลันเป็นห่วงนางจริงๆ
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “อี๋เฟยเพียงแค่อยากทำการค้ากับข้าเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ถาวซินหลันมองพี่สาวของตนเองอย่างสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรอีก
หลังจากถาวจวินหลันกลับจวนตวนชินอ๋อง ก็เขียนที่อยู่ที่อี๋เฟยให้มาลงกระดาษ แล้วจัดคนเอาไปส่งให้หลี่เย่ตรวจสอบดูว่าที่อยู่นี้มีปัญหาหรือไม่
นางไม่ได้บอกว่านั่นคือที่ตั้งของสถานที่ฝึกโจรลอบสังหารของตระกูลหวัง จุดประสงค์แค่เพียงพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือไม่
นางคิดว่าอี๋เฟยไม่เหมือนกำลังโกหก คิดถึงคำพูดทิ้งท้ายของอี๋เฟย นางก็ถอนหายใจ ส่ายหน้าพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าอี๋เฟยจะเป็นคนชอบเกียรติชอบธรรม” แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะชอบเกียรติชอบธรรมอย่างไร นั่นก็ถือว่าเป็นชะตาบาปอยู่ดี
ในขณะเดียวกันก็ต้องพูดว่าองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสวรรคตถูกเวลานัก มิเช่นนั้นแล้วหากเป็นเช่นนั้นต่อไป นางคงเอาเรื่องอี๋เฟยและองค์รัชทายาทไปรายงานฮ่องเต้สักวัน ถึงเวลานั้นไม่ว่าใครก็มีจุดจบเลวร้ายทั้งนั้น แต่พอองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสวรรคตไปแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องนำเรื่องนี้ไปบอกฮ่องเต้ และฝังเรื่องนี้ไปกับกาลเวลาได้ อย่างน้อยก็รักษาชื่อเสียงของคนหลายคนไว้ได้
ที่อยู่ที่อี๋เฟยให้มานั้นยังไม่ทันสืบพบอะไร ทางวังหลวงก็ส่งข่าวออกมาว่านักพรตกู่ตายแล้ว
หากเรื่องจบเท่านี้ก็แล้วไป แต่ที่แย่กว่านั้น คนที่มาส่งข่าวบอกว่าไทเฮากับฮ่องเต้วิวาทกัน ฮ่องเต้สำรอกเป็นเลือด ส่วนไทเฮาก็ล้มบาดเจ็บ
พอได้ยินข่าวนี้ ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็รีบตรงเข้าวังหลวงทันที
ตลอดทางถาวจวินหลันใจไม่ดี แม้แต่หลี่เย่เองก็ชาไปทั้งร่าง ท่าทางเป็นมิตรพลันหายไป นางแอบดึงมือเขาเอาไว้เบาๆ แต่กลับพบว่าฝ่ามือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เห็นได้ชัดว่าหลี่เย่เองก็เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้น่ากังวลจริงๆ ไทเฮาต้องนอนนิ่ง ขยับไปไหนไม่สะดวกอยู่แล้ว แต่ล้มได้อย่างไรกันแน่? ล้มรุนแรงหรือไม่? แล้วยังมีฮ่องเต้ แท้จริงแล้วเรื่องเป็นเช่นไรกันแน่
ทั้งสองคนทะเลาะกันได้อย่างไร ถาวจวินหลันคาดเดาเล็กน้อย คิดว่าคงเป็นเพราะไทเฮาลงมือแล้วกระมัง? ไทเฮาเคยพูดไว้ว่าจะต้องจัดการนักพรตกู่สักวัน
แต่ทำไมไทเฮาถึงได้ลงมือกะทันหัน? เรื่องนี้น่าสงสัยยิ่งนัก หรือว่าเกี่ยวข้องกับนางด้วยอย่างนั้นหรือ? ใช่แล้ว เพราะนางเข้าวังไปบอกไทเฮาว่าพบศิษย์พี่ของนักพรตกู่ อีกทั้งยังเป็นผู้ถือศีลที่แท้จริง จะต้องเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้เปลี่ยนใจได้เป็นแน่
นางพูดได้แค่ว่าไทเฮาคงโกรธแค้นนักพรตกู่จริง
เพื่อให้หลี่เย่คลายกังวล ถาวจวินหลันจึงกระซิบพูดการคาดเดาของตนเอง “คิดว่าไทเฮาคงจัดการนักพรตกู่เพคะ ฮ่องเต้จึงกริ้ว แล้วมีปากเสียงกัน ถึงเวลานั้นบรรยากาศคงไม่ค่อยดี ท่านเองก็ปลอบให้มากหน่อยเพคะ”
ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาหรือฮ่องเต้ ต่างก็ต้องการคนปลอบประโลมทั้งนั้น
คิดดูแล้วไทเฮาน่าจะเสียใจมาก ส่วนฮ่องเต้ก็คงกริ้วมากกระมัง?
พอคิดถึงสถานการณ์ในวังหลวง ถาวจวินหลันก็รู้สึกปวดหัว
พอเข้าวังหลวงมาแล้วถึงรู้ว่าทั้งฮ่องเต้และไทเฮาต่างก็พักรักษาตัวอยู่ที่วังหย่งโซ่ว และร่างของนักพรตกู่ก็ยังคงอยู่ที่วังหย่งโซ่ว วันนี้ไทเฮาบอกว่าอยากจะพูดคุยทางธรรมกับนักพรตกู่ ดังนั้นถึงได้เชิญทั้งฮ่องเต้และนักพรตกู่เข้ามา
หลังจากนักพรตกู่ดื่มชาไปแล้ว ยังไม่ทันออกจากประตูใหญ่วังหย่งโซ่ว ก็ตายเสียแล้ว
ฮ่องเต้กริ้วสั่งตรวจสอบในทันใด ในใจนั้นคิดแค่ว่ามีคนตั้งใจวางแผนทำร้าย คิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะสารภาพเอง
ฮ่องเต้ยิ่งโมโหมากขึ้น จึงพูดคำที่ไม่น่าฟังมากมาย หนักมาจนไทเฮาลุกขึ้นมาดุด่าฮ่องเต้ ผลที่ออกมาคือฮ่องเต้สำรอกเป็นเลือด ทำให้ไทเฮาตกใจจนอยากลุกขึ้นมาดู แต่กลับล้มกลิ้งลงมาจากบนเตียง หน้าผากกระแทกเข้ากับที่วางเท้า แล้วก็สลบไปทันที
วังหย่งโซ่วโกลาหลโดยพลัน ไม่ต้องพูดถึงว่าจนถึงตอนนี้ไทเฮายังไม่ได้สติ แม้แต่ฮ่องเต้ที่ยังโกรธเกรี้ยวก็ไม่สามารทำให้วังหย่งโซ่วสงบลงได้แล้ว
ถาวจวินหลันและหลี่เย่เห็นเรื่องเป็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้าล่าช้ารีบขอเข้าเฝ้าทันที
ยังดีที่ฮ่องเต้ไม่ห้ามพวกเขาเข้าไป อย่างน้อยก็ยังให้เข้าพบ
พวกเขาเพิ่งเข้าไปในห้อง ถาวจวินหลันก็มองเห็นฮ่องเต้ที่มีท่าทีมืดมนนั้งอยู่บนเก้าอี้ ใช้มือนวดหน้าผากตนเองไม่หยุด และไทเฮานั้นกลับนอนอยู่บนตั่งนิ่มที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ดวงตาทั้งสองข้างหลับสนิท