ไทเฮาเสียใจจนไม่แม้แต่จะมองฮ่องเต้
ฮ่องเต้มือไม้อ่อนจนทำอะไรไม่ถูก และไม่สนใจหน้าตาอีกต่อไป รีบพูดว่า “ไทเฮา!”
ไทเฮายังคงไม่สนใจ
จางหมัวหมัวยังคงไม่กล้าไปเอาเหล้าพิษมาจริง เพียงแค่มองฮ่องเต้ทีหนึ่งรีบพูดกล่อมว่า “ไทเฮาระงับโทสะเถิดเพคะ ฮ่องเต้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ วิชามารทำให้มัวเมา พระองค์จะโทษฮ่องเต้เพราะเรื่องนี้ได้อย่างไรเพคะ? อีกอย่างเมื่อครู่นี้ก็ด้วยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ไฉนเลยจะเอามาคิดจริงจังได้เพคะ?”
ไทเฮายังคงไม่ขยับ
ฮ่องเต้กลับยอมอ่อนข้อลง “ไทเฮา เมื่อครู่นี้ลูกพูดออกไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ พระองค์อย่ากริ้วไปเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่เองก็ช่วยพูดกล่อม “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ พระองค์กำลังทำอะไร? ซวนเอ๋อร์ยังเล็ก ยังรอให้พระองค์สั่งสอนอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์เองก็อย่าพูดด้วยควาโมโหออกไป หากอยู่ในวังหลวงแล้วไม่มีความสุข หลานไปอยู่กับพระองค์ที่เรือนอื่นเพื่อพักผ่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ทีหนึ่ง คิดว่าหลี่เย่จงใจเรื่องนี้
ฮ่องเต้ไม่สนใจหลี่เย่แล้ว เพียงแค่ถลึงตามองหลี่เย่ทีหนึ่งแล้วก็พูดปลอบประโลมไทเฮาต่อไป
ถาวจวินหลันไม่พูดอะไร อย่างแรกเพราะคิดว่าไม่มีที่ให้ตนเองได้เข้าไปแทรก อย่างที่สองเพราะเรี่ยวแรงยังไม่กลับมา ถ้าไม่ใช่เพราะไทเฮาฟื้นมาได้ทันเวลา เกรงว่าตอนนี้นางคงดื่มเหล้าพิษไปแล้ว นางกลัวจริงๆ
แม้จะบอกว่าชีวิตทุกคนล้วนต้องตาย แต่ตอนที่ถึงเวลาตายจริงๆ แล้วนั้น จะไม่กลัวได้อย่างไร? อีกทั้งนางเองก็ยังเสียดายที่ความหวังยังไม่บรรลุ
ยังดีที่นางยังมีโชคอยู่บ้าง แต่นางคิดไม่ถึงว่ายาพิษนั้นจะเป็นของไทเฮาเอง ไม่ได้นำมาจากภายนอกวังหลวง พอเป็นเช่นนี้การที่นางเสนอตัวรับผิดเอง ก็แลดูโง่เง่าอยู่เล็กน้อย ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกหวาดกลัว คิดว่าตนเองบุ่มบ่ามจนเกินไป เรื่องราวยังไม่ชัดเจน ก็กล้าจะรับผิดมั่วซั่ว
หากมีอีกครั้งหนึ่ง นางคงไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว
พอเริ่มรวบรวมเรี่ยวแรงกลับมาแล้ว ถาวจวินหลันไม่ได้ก้าวขึ้นไป เพียงแค่ค่อยๆ ถอยออกไป ให้คนไปตามหมอหลวงมา ไทเฮาเพิ่งฟื้น ไม่รู้ว่าอาการเป็นเช่นไร ย่อมต้องให้หมอหลวงมาดูเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งไทเฮาอารมณ์พลุ่งพล่านเช่นนี้ ก็ส่งผลไม่ดีต่อร่างกายเหมือนกัน
ส่วนความคิดของฮ่องเต้ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ไปคำนึงคิด เพียงแค่รู้สึกโชคดี ยังดีที่ยังมีไทเฮาคอยดึงฮ่องเต้เอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วเรื่องนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนด้วยซ้ำไป
ถาวจวินหลันย่อมไม่กล้าเข้าไปอีก อย่างไรฮ่องเต้ก็ดูงุ่มง่ามร้อนใจ หลี่เย่เห็นแล้วก็เห็นไป แต่นางไม่เหมือนกัน อีกอย่างหากฮ่องเต้เห็นนางแล้วคิดถึงเรื่องเหล้าพิษขึ้นมาได้ เช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
เพราะยืนอยู่ข้างนอกนางก็เห็นจวงผินรีบเดินเข้ามา คิดว่าจวงผินได้รับข่าวไม่นาน ถึงได้เร่งรีบเดินทางมา เสื้อผ้าดูยับเล็กน้อย ชาดก็ไม่ได้ทา ใบหน้าขาวซีดมองดูแล้วอดเจ็บปวดสงสารไม่ได้
เห็นถาวจวินหลันเฝ้าอยู่นอกประตู จวงผินก็รีบก้าวเข้ามาถามว่า “ได้ยินว่าไทเฮาประชวรอย่างนั้นหรือ? อาการเป็นอย่างไรบ้าง? ฮ่องเต้ก็อยู่เช่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ?”
จวงผินถามเช่นนี้ก็ไม่แปลก อย่างไรธงของฮ่องเต้ก็ยังปักแสดงอยู่ด้านนอก มองปราดเดียวก็รู้อย่างชัดเจน
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ฮ่องเต้กำลังพูดคุยกับไทเฮาอยู่ข้างในเพคะ แต่จวงผินรออีกครู่หนึ่งแล้วค่อยขอเข้าเฝ้าจะดีกว่าเพคะ” ไม่ต้องพูดถึงว่าข้างในนั้นยังมีร่างไร้วิญญาณของนักพรตกู่อยู่ด้วย เข้าไปตอนนี้ก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก
จวงผินตะลึงไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็เชื่อฟังถาวจวินหลัน
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็เดินออกมา เดินออกมาอย่างเถรตรง ไม่ว่อกแว่ก ตอนที่เดินผ่านถาวจวินหลัน ก็หยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย แม้จะไม่ได้หยุดฝีเท้าลงเสียทีเดียว แต่ก็ทำให้ถาวจวินหลันตกใจไม่น้อย แผ่นหลังเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาจนแทบจะชื้นไปทั้งเสื้อผ้า
หลังจากประสบเรื่องเหล่านี้มา นางก็กลัวฮ่องเต้เป็นที่ยิ่ง
จวงผินกลับรีบก้าวขึ้นมา พูดเสียงอ่อนโยนว่า “หม่อมฉันทำความเคารพฮ่องเต้เพคะ”
ฮ่องเต้หยุดฝีเท้าลง “จวงผินเจ้าตามข้ามา”
ในเวลานี้อย่าเพิ่งให้จวงผินเข้าไปจะดีกว่า มิเช่นนั้นจวงผินเห็นบรรยากาศข้างใจแล้วจะไม่สงสัยได้อย่างไร? ต่อจากนี้ไปเขาจะมีหน้าพบจวงผินได้อีกอย่างไร?
จวงผินได้ยินเช่นนั้นก็ลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็ยังตามไป
ส่วนถาวจวินหลันกลับเข้าไปในห้อง เห็นร่างของนักพรตกู่ นางเองก็ไม่กล้ามองมาก เพียงแค่สั่งเสียงเบา “ใช้เสื่อหญ้าคลุมแล้วย้ายออกไปจัดการเถิด”
ไทเฮายังคงนอนอยู่ แต่กลับลืมตาขึ้นมากำลังดุว่าหลี่เย่เสียงแผ่ว “เจ้าเองก็เลอะเลือน ทำไมถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับเสด็จพ่อของเจ้าอย่างนั้น? หากเขาโมโหเจ้าจริง ความพยายามทั้งหลายของเจ้าไม่ใช่ว่าเสียแรงเปล่าหรืออย่างไร?”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไป และยิ่งเพิ่มน้ำหนักในฝีเท้า ตั้งใจให้คนข้างในได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเอง
ไทเฮาไม่พูดอะไรต่อไปอย่างที่คิดเอาไว้
หลี่เย่เบนหน้ามองทีหนึ่ง ถามเสียงต่ำว่า “เสด็จพ่อไปแล้วหรือ?”
“เพคะ จวงผินก็มาเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้เสด็จไปพร้อมฮ่องเต้แล้วเพคะ” ถาวจวินหลันตอบคำ พลางมองไปยังไทเฮา “หม่อมฉันให้นางกำนัลเชิญหมอหลวงมาแล้วเพคะ ส่วนร่างของนักพรตกู่ หม่อมฉันคงเอาไปจัดการเองเพคะ ไทเฮาต้องการสั่งอะไรอีกหรือไม่?”
“เอาไปให้หมากิน” ไทเฮาพูดเสียงเย็น ใบหน้าแสดงความรังเกียจอย่างปิดไม่มิด
ถาวจวินหลันแทบไม่เชื่อหูของตนเอง จึงส่งเสียงถามอีกครั้ง
ไทเฮาพูดซ้ำอีกครั้ง “เอาไปให้หมากิน!”
หลี่เย่รับคำ พูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ เอาไปให้หมากิน เสด็จย่าอย่าร้อนใจไปเลย”
ถาวจวินหลันถึงได้เข้าใจว่าไทเฮารังเกียจนักพรตกู่เข้ากระดูกดำจริงๆ แม้ว่านักพรตกู่จะตายไปแล้ว ไทเฮาก็ยังคงไม่ยอมปล่อยนักพรตกู่ไป
แต่พอลองมองจากมุมของไทเฮาแล้ว ไทเฮารังเกียจนักพรตกู่ถึงเพียงนี้ก็มีเหตุผล ฮ่องเต้ถึงขั้นที่ทะเลาะเบาะแว้งกับไทเฮา จนถึงขั้นทำลายความสัมพันธ์แม่ลูก ก็เพียงเพราะปกป้องนักพรตกู่คนเดียว
แม้จะบอกว่าวันนี้ฮ่องเต้ยอมถอยให้แล้ว แต่สุดท้ายเกรงว่าคงเหลือบาดแผลอยู่ในใจฮ่องเต้กระมัง? แม้แต่ไทเฮาเองพอคิดถึงเรื่องในวันนี้ แล้วจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร?
ไทเฮาถอนหายใจ ฉับพลันก็พูดว่า “ข้าปวดหัว ถาวซื่อมาช่วยนวดศีรษะให้ข้าหน่อย”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น ก็รีบรับคำพลางก้าวขึ้นไปบริเวณเบื้องหน้าตั่ง แล้วเริ่มนวดขมับให้ไทเฮา เพราะว่าบนหน้าผากมีบาดแผล ดังนั้นจึงต้องระวังเป็นพิเศษ
“เจ้าสมเป็นลูกของถาวจื้ออู้จริง” ไทเฮาพูดเสียงเบา คล้ายพึมพำกับตนเอง “หากวันนี้ถาวจื้ออู้ยังมีชีวิต จะต้องเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้แน่”
ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะพึมพำเรื่องนี้ จึงหยุดมือไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดอย่างเลื่อนลอยว่า “เป็นไปได้เพคะ แต่อย่างไรแล้วท่านพ่อของหม่อมฉันก็ไม่อยู่แล้ว เขายังทำได้หรือไม่ จะมีใครรู้เล่าเพคะ”
“น้องชายของเจ้าเป็นคนดี” ไทเฮาพูดต่อ “คิดว่าคงจะกอบกู้ตระกูลถาวของเจ้าได้ แล้วซินหลันก็ยังเป็นเด็กดี แม้แต่เจ้าเองก็ไม่ได้แย่ ตระกูลถาวของพวกเจ้า จะไม่ฟื้นคืนกลับมาได้อย่างไร?”
ไทเฮาพูดรับรอง แต่ถาวจวินหลันกลับเพ่งความสนใจไว้ที่คำว่า ‘เจ้าเองก็ไม่แย่’ ของไทเฮา ทันใดนั้นก็โล่งใจ พูดว่า “ไทเฮาคำพูดมีค่าดั่งทองคำ คิดว่าคงไม่ผิดไปแน่เพคะ”
“หลังจากนี้อย่าบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก” ไทเฮาหลับตาลง กำชับอีกครั้ง
ถาวจวินหลันรีบรับคำ คิดดูแล้วตนเองก็ยังหวาดหวั่น
ไทเฮาไม่ได้พูดอะไรต่อไป แต่เป็นหลี่เย่ที่พูดออกมา “นี่ก็สายแล้ว ไทเฮาให้ถาวซื่อกลับไปดูแลลูกทั้งสองคนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ วันนี้รีบเข้าวังหลวงมา ไม่รู้ว่าในจวนจะเป็นอย่างไรบ้าง”
ไทเฮาได้ยินก็อนุญาต
ดังนั้นหลี่เย่จึงก้าวขึ้นไปนวดขมับให้ไทเฮาแทนถาวจวินหลัน ถาวจวินหลันพูดกำชับเสียงเบา “เบาๆ นะเพคะ หลีกเลี่ยงบาดแผล อย่าให้ไทเฮาต้องใช้อารมณ์อีก จะต้องรักษาตัวเงียบๆ นะเพคะ”
ในเมื่อไทเฮารั้งหลี่เย่เอาไว้ คิดว่ามีเรื่องที่ต้องคุยกับหลี่เย่เป็นแน่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดว่าจะรอหลี่เย่ เพียงแค่กลับจวนไปก่อนเท่านั้น
แน่นอนว่าหลังจากนางกลับไปแล้ว นางย่อมไม่รู้เรื่องที่ไทเฮาและหลี่เย่พูดคุยกัน
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากนางออกไป ไทเฮาก็พูดกับหลี่เย่ว่า “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าวันนี้ทำผิดมหันต์?”
หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดช้าๆ “กระหม่อมไม่ควรทะเลาะกับเสด็จพ่อ และไม่ควรวู่วามทำตามอารมณ์พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเสียใจหรือไม่?” ไทเฮาถามอีกครั้ง
ทว่าหลี่เย่กลับส่ายหน้า “ไม่เสียใจพ่ะย่ะค่ะ ที่จริงแล้วหลังจากผ่านเรื่องวันนี้ไปทำให้กระหม่อมได้เข้าใจความคิดของเสด็จพ่อก็ดีพ่ะย่ะค่ะ” เขาจะได้ไม่ต้องหวังอะไรอีก
น้ำเสียงของหลี่เย่ดูผิดหวัง ไทเฮาฟังก็รู้ได้ทันที
“เสด็จพ่อของเจ้าเข้าทางมารไปแล้ว” ไทเฮาถอนหายใจ “ความอมตะ นี่เป็นแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด หากเป็นคนอื่น ก็คงเชื่อไปแล้ว แม้แต่ตอนนี้มีคนมาบอกว่าข้าเป็นอมตะได้ ข้าเองก็คงคล้อยตามเช่นเดียวกัน”
อีกอย่างฮ่องเต้เพิ่งจะขึ้นว่าราชการได้ไม่กี่ปี ย่อมทำใจปล่อยมือไม่ได้ ก็เหมือนกับคนที่เพิ่งได้กินของอร่อย อาหารเพิ่งเข้าปาก เพิ่งรู้รส แล้วจะทำใจปล่อยวางได้อย่างไร?
หลี่เย่นิ่งเงียบไม่พูดจา
ไทเฮาเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “วันนี้เจ้ายังทำผิดอีกเรื่อง”
หลี่เย่นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจความหมายของไทเฮา แต่ถ้าจะให้เขายอมรับว่าทำผิดเรื่องนี้ เขาไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงนิ่งเงียบไม่พูดจา
ไทเฮาเห็นเช่นนั้นก็ลืมตาขึ้นทันที ไม่ให้หลี่เย่นวดศีรษะให้อีก พูดแค่ว่า “อะไรหนัก? อะไรเบา? ถ้าแม้แต่เรื่องนี้เจ้าเองยังไม่รู้ แล้วหลังจากนี้จะเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร? จะจัดการเรื่องในราชสำนักได้อย่างไร? แค่ผู้หญิงคนเดียวยังทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ จุดอ่อนของเจ้าชัดเจนเกินไป นี่ไม่ใช่ว่ายื่นไพ่ตายของตนเองให้คนอื่นหรืออย่างไร?”
หยุดไปครู่หนึ่งไทเฮาก็ถอนหายใจ พลางพูดต่อไปว่า “เจ้าคิดว่าทำไมวันนี้เสด็จพ่อของเจ้าถึงได้สั่งโบยตีถาวซื่อให้ตาย แล้วทำไมยังยกตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทมาให้เจ้าเลือก? แค่เพราะทรงกริ้ว แล้วอยากให้เจ้าไม่สบายใจไปด้วยกันเท่านั้นเอง เจ้าให้ความสำคัญถาวซื่อ ขอแค่เกิดเรื่องไม่ดีกับถาวซื่อ เจ้าเองก็พลอยลำบากไปด้วย คนอื่นจะลงมือกับเจ้าไม่ใช่ว่าง่ายดายหรืออย่างไร?”
หลี่เย่ใจกระตุก “ความหมายของเสด็จย่าคือเสด็จพ่อตั้งใจจัดการกระหม่อม ไม่ใช่ถาวซื่อหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“จะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร?” ไทเฮาถอนหายใจ “วันนี้เสด็จพ่อของเจ้ากำลังเตือนเจ้า ไม่อย่างนั้นทำไมเขาจะต้องพูดคำพูดนั้นตรงๆ ด้วยเล่า? เพราะอยากเตือนเจ้าเท่านั้นเอง เขายังไม่ตาย เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเบ่งอำนาจ!”
ด้านชา นอกจากความด้านชาแล้วก็คือเฉยชา หลี่เย่นิ่งเงียบไปนาน สุดท้ายแล้วนอกจากเสียงถอนหายใจ ก็พูดอะไรไม่ออกอีก
ที่สุดแล้วฮ่องเต้ก็ยังหวาดระแวงเขา เส้นทางที่องค์ชายรัชทายาทเคยเดิน ในตอนนี้เขาก็ต้องเดิน องค์ชายรัชทายาทล้มเหลวบนเส้นทางนี้ แล้วเขาเล่า?
ฉับพลันหลี่เย่ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและห่อเ**่ยวใจ
“แม้ว่าถาวซื่อเป็นคนดี แต่เจ้าก็ต้องจำเอาไว้ว่าอะไรสำคัญที่สุด” ไทเฮาพูดเตือนอีกครั้ง จากนั้นก็สะบัดมือไปมา “หากมีครั้งต่อไป เจ้ายังเป็นเช่นนี้ ถาวซื่อก็คงเหลือเพียงความตายอย่างเดียวแล้ว เจ้าลองกลับไปตรึกตรองเอาเองเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว”