หลี่เย่กลับมาพร้อมสีหน้าดำคล้ำ
ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจว่าทำไม แต่ก็ยังก้าวเข้าไปถามลองเชิง “ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือเพคะ? ไทเฮาดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
หลี่มองนางนิ่งๆ ไม่สนใจ
ถาวจวินหลันใจกระตุก ฉุกคิดได้ว่าไม่ดีแล้ว เกรงว่าครั้งนี้คงจะง้อไม่ได้อีก
“ห้องครัวทำแป้งทอดพันชั้นเอาไว้ ท่านอ๋องอยากลองชิมหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันถามอย่างกระตือรือร้น ไม่ได้คิดโมโหที่หลี่เย่ไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งทำดีมากขึ้น
บ่าวสองสามคนยืนมองอยู่ข้างๆ ลอบสบสายตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็พากันถอยออกไปอย่างรู้งาน ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ท่านอ๋องคงจะโมโหชายารองจริง จะต้องรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตบแต่งกันมา! เรื่องนี้ย่อมต้องมอบให้ชายารองจัดการด้วยตัวเอง พวกนางเป็นแค่บ่าวตัวเล็กๆ รีบหลบออกไปให้เร็วจะดีกว่า มิเช่นนั้นถูกพาลหาเรื่องไปด้วยจะทำเช่นไร?
ถาวจวินหลันย่อมไม่ได้ใส่ใจการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของบ่าวเหล่านี้ ตอนนี้นางเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่หลี่เย่ เพราะต่อให้นางทำดีกับเขาต่อไป หลี่เย่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา เพียงแค่นั่งหน้านิ่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องเขม็งมองนางอย่างขึงขัง
หลี่เย่มองจนนางเริ่มขนลุก จึงพูดไปว่า ”ท่านอ๋องมองข้าทำไมเพคะ? หรือว่าหน้าข้ามีอะไรติดอยู่อย่างนั้นหรือ?” พูดไปพลางก็รีบยื่นจอกชาที่ตนเองรินให้หลี่เย่อย่างประจบเอาใจ
หลี่เย่ยกจอกชาขึ้นมาจิบ คล้ายเริ่มสงบสติอารมณ์ลงแล้ว ถึงได้เอ่ยถามว่า “เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?”
ถาวจวินหลันรับผิดอย่างว่าง่าย “รู้ผิดแล้วเพคะ”
“ผิดตรงไหน?” หลี่เย่ถามต่อ หากคนที่ไม่รู้เรื่องเห็นเข้า จะต้องคิดว่าเขากำลังสั่งสอนซวนเอ๋อร์อยู่แน่ ท่าทางเข้มงวดจริงจังจนน่าตกใจมิใช่หรืออย่างไร?
อีกทั้งปกติแล้วเขาอ่อนโยน ทว่าตอนนี้กลับหน้านิ่งก็ให้คนอกสั่นขวัญแขวน ไม่ว่าใครเห็นแบบนี้ก็ต้องหวาดระแวงกันทั้งนั้น โดยเฉพาะถาวจวินหลันยังเป็นต้นเหตุที่เขาหงุดหงิดด้วยแล้ว
ถาวจวินหลันตรึกตรองอย่างดี ก่อนพูดออกมาว่า “ไม่ควรบุ่มบ่ามรับผิดเอาเอง จนพาตนเองไปอยู่ในอันตรายเพคะ”
“แล้วยังมีอะไรอีก?” สีหน้าของหลี่เย่เริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
ถาวจวินหลันหน้าลำบากใจ “ไม่ควรเถียงและขัดคำฮ่องเต้ จนฮ่องเต้กริ้วโกรธ และยิ่งไม่ควรคิดเอาเองว่าฮ่องเต้จะยกโทษให้หม่อมฉันเพคะ”
หลี่เย่ดูดีขึ้นอีกเล็กน้อย “ยังมีอะไรอีก?”
ถาวจวินหลันกลับคิดไม่ออก หน้าดำคร่ำเคร่งแอบมองหลี่เย่ คิดว่าเขาจะให้คำใบ้อะไรตนหรือไม่
สีหน้าของหลี่เย่ดำคล้ำขึ้นมาในทันใด ยกนิ้วขึ้นเคาะพนักเก้าอี้ แล้วถึงได้พูดออกมาช้าๆ “เจ้ารู้อยู่แล้วว่าตัวเจ้านั้นสำคัญกับข้ามากเพียงใด แต่กลับไม่เห็นความสำคัญของตนเอง ทำให้ข้าเป็นกังวล หวาดกลัว เจ้าบอกทีว่าเจ้าเอาข้าไปไว้ที่ไหน?”
เผชิญหน้ากับการไล่ถามเช่นนี้ของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็ยิ้มแห้งออกมา แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้นางรู้สึกใจฝ่อมากกว่าเดิม
แต่หลี่เย่ไล่ถามนางเช่นนี้ นางกลับเกิดความรู้สึกยินดีและอ่อนหวานขึ้นมาอย่างพูดไม่ถูก หากไม่ใส่ใจ ทำไมหลี่เย่ถึงได้เป็นเช่นนี้? แต่ในทางกลับกัน นางเองก็อยากที่จะควบคุมความรู้สึกผิด ใช่แล้วเรื่องในวันนี้นางเองไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของหลี่เย่เลยแม้แต่น้อย
มองหลี่เย่อย่างลุแก่โทษ นางก็อธิบายอย่างละเอียด “ตอนนั้นข้าเข้าใจผิดเพคะ คิดว่าเรื่องนี้ซินหลันเป็นคนทำ เพราะฮ่องเต้ทรงบันดาลโทสะ ซินหลันก็ยังตั้งครรภ์อยู่ย่อมต้องรับไม่ไหวอย่างแน่นอน แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้ามีท่านและซวนเอ๋อร์คอยหนุนหลัง ใครจะรู้ว่า หลังจากนั้นข้าก็ตกใจมาก ต่อจากนี้ไปไม่กล้าบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกแล้วเพคะ”
เห็นถาวจวินหลันรับผิดอย่างจริงใจเช่นนี้ หลี่เย่ก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย “คราวนี้เพราะไทเฮาฟื้นขึ้นมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นเกรงว่าข้าเองคงจะปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้ เจ้าตัดใจจากข้าได้ก็แล้วไป แต่ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูนั้นยังเด็ก”
“ไม่ว่าจะเป็นท่านหรือว่าซวนเอ๋อร์ หมิงจู ข้าก็ตัดใจไม่ได้ทั้งนั้นเพคะ” ถาวจวินหลันรีบพูดออกมา จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปคล้องแขนหลี่เย่เอาไว้ “ท่านอย่าโกรธเลยเพคะ ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
หลี่เย่มองไปถาวจวินหลันทีหนึ่ง พูดช้าๆ ว่า “โทษตายสามารถละได้ แต่โทษเป็นนั้นยากจะหลบ ครั้งนี้จะต้องลงโทษเจ้า มิอย่างนั้นเจ้าคงไม่จำ”
ถาวจวินหลันอึ้งไป รีบถามทันที “ลงโทษอย่างไรเพคะ?”
“เจ้าเขยิบเข้ามา” หลี่เย่เอียงตามองถาวจวินหลันทีหนึ่งด้วยสีหน้าจริงจัง
ถาวจวินหลันไม่สงสัยเขา ก้าวขึ้นไปข้างหน้า
หลี่เย่ออกแรงดึงมือของถาวจวินหลัน จนนางถลาเข้าไปในอ้อมอกของเขา
ถาวจวินหลันส่งเสียงร้องตกใจ ยังไม่ทันเรียกสติกลับมา ก็ได้ยินเสียงตีดังกังวาลทีหนึ่ง นี่เป็นเสียงที่หลี่เย่ออกแรงตีลงบริเวณหนึ่งของร่างกายนาง
ถาวจวินหลันพลันหน้าร้อนผ่าว รู้สึกเขินอายเป็นที่ยิ่ง นางรีบใช้ทั้งมือและเท้าออกแรงยันตัวเองขึ้น อีกทั้งยังตะกุยตะกายออกห่างจากหลี่เย่ ก่อนถลึงตามองพลางเค้นถาม “ท่านทำอะไรเพคะ?”
“ลงโทษ” หลี่เย่พูดอย่างมีเหตุมีผลและนิ่งสงบ แล้วยังมองไปทางถาวจวินหลัน “ทำไม ไม่ยอมรับผิดอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันหน้าแดง ถลึงตามองหลี่เย่ ตัดสินใจไม่สนใจเขา เพียงแค่เรียกบ่าวรับใช้มาเตรียมโต๊ะ
แน่นอนว่าต่อจากนั้นถาวจวินหลันก็ไม่สนใจหลี่เย่อีก แม้ว่าบางบริเวณในร่างกายรู้สึกแสบร้อนและเจ็บปวด หลี่เย่ลงฝ่ามือไปบนส่วนนั้นยังไม่ยั้ง แม้จะบอกว่าไม่ได้เจ็บมาก แต่บริเวณที่ตีนางกลับ…ทำให้จำไปอีกนาน
นางไม่ไปหาเรื่องหลี่เย่ แต่หลี่เย่กลับมองนางอยู่บ่อยครั้ง แล้วยังพูดว่า “ต่อจากนี้หากกล้าทำผิดอีก จะไม่ใช่แค่การตีครั้งเดียวเป็นแน่”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งอับอาย แทบจะต้องหาที่มุดหลบเข้าไป หลี่เย่สั่งสอนนางเหมือนทำกับซวนเอ๋อร์ไปเสียแล้ว
ตกดึกถาวจวินหลันก็ถามหลี่เย่ขึ้นมาว่า “ที่จริงไทเฮาฟื้นนานแล้วใช่หรือไม่เพคะ?”
“อืม คิดว่าไทเฮาคงอยากดูว่าเสด็จพ่อจะกลับตัวกลับใจได้หรือไม่ แต่ผลที่ออกมากลับ…” หลี่เย่ถอนหายใจ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไทเฮาผิดหวังเป็นที่ยิ่ง”
“เป็นใครก็ต้องผิดหวังทั้งนั้นเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน “คนเป็นแม่พบเจอเรื่องเช่นนี้คงเจ็บปวดใจและผิดหวังทั้งนั้น ลุ่มหลงไปทางมารยังไม่เท่าไร แต่มีปากเสียงกับมารดาของตนเองเพียงเพราะนักพรตคนหนึ่ง…”
ด้วยเพราะเป็นลูกชาย ทำเช่นนี้ถือว่าอกตัญญู ทั้งยังเนรคุณยิ่งนัก ในฐานะฮ่องเต้ ทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นฮ่องเต้ไม่ดี ส่วนไทเฮา… “ไทเฮาเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าคิดทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้วเพคะ”
หลี่เย่ถอนหายใจ “ไทเฮามีเมตตามาตลอด แม้ว่าจะโหดเ**้ยมในบางเวลา แต่ก็ไม่เคยลงมือตามใจชอบมาก่อน ครั้งนี้ก็เพราะนักพรตกู่ละเมิดข้อห้ามก่อน”
หากนักพรตกู่ถ่อมตัวบ้าง ไทเฮาก็คงไม่ถึงขั้นต้องใช้วิธีรุนแรงเช่นนี้
“ระยะนี้นักพรตกู่ไม่ได้ทำยาอายุวัฒนะให้ฮ่องเต้เสวยแล้วมิใช่หรือเพคะ?” ถาวจวินหลันได้ยินว่านักพรตกู่ละเมิดข้อห้าม ก็เริ่มใจไม่ดีเล็กน้อย
หลี่เย่หยักหน้า อธิบายเสียงเบา “ไม่ได้ให้ยาอายุวัฒนะฮ่องเต้เสวยแล้วก็จริง แต่ยังอยากให้ฮ่องเต้แต่งตั้งเขาเป็นราชครู ให้สร้างหอชมเดือน จะได้ให้พวกเขาสะดวกปรึกษาฝึกซ้อมวิชา”
“ราชครูหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันถามอย่างตกใจ ขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่แปลกที่ไทเฮาจะหวาดระแวงเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ต่อไป นักพรตกู่คงจะเรียกฟ้าเรียกฝนได้ตามใจชอบแล้ว”
“ไม่เพียงเท่านั้น ของล้ำค่ามากมายในคลังสมบัติก็ถูกนักพรตกู่เอาไปด้วยเหตุผลเพื่อทำยาอายุวัฒนะ ทุกวันใช้ทรัพย์ไปไม่น้อย เสด็จพ่อเองก็ไม่เคยห้าม” หลี่เย่พูดเรียบๆ “หากนำเงินเหล่านั้นมาใช้กับกองทัพ ก็มากพอสำหรับคนพันคน นี่เป็นเพียงการใช้จ่ายแค่วันใดวันหนึ่งเท่านั้นเอง”
ถาวจวินหลันเข้าใจถึงเหตุผลที่ไทเฮารังเกียจนักพรตกู่เช่นนี้ในทันใด นักพรตกู่สมควรตายจริงๆ
“ศิษย์พี่ของนักพรตกู่ยังจะต้องส่งเข้าวังหลวงเพื่อพบฮ่องเต้อีกหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่ไม่พอใจเช่นเดียวกัน จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ของนักพรตกู่จะเข้าตาฮ่องเต้หรือไม่”
หลี่เย่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไรก็เพียงแค่พาเข้าวังมาให้เสด็จพ่อเห็นว่าศิษย์พี่ของนักพรตกู่นั้นเป็นคนประเภทไหนเท่านั้นเอง จะเข้าตาหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร ทางที่ดีที่สุดหลังจากเรื่องสำเร็จก็ให้เขาออกจากวังหลวงไปจะดีกว่า”
ฮ่องเต้ในตอนนี้ลุ่มหลงไปกับความอมตะ หากใครมาล่อลวงเขาก็อาจจะติดกับได้ทุกเมื่อ ดังนั้นบรรดานักพรต นักบวชอย่าให้อยู่ในวังหลวงนานดีกว่า
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมาย พยักหน้าเอ่ยเสริม “ใช่เพคะ”
“ข้าอยากจะออกจากเรื่องดูแลราชการ” จู่ๆ หลี่่เย่ก็พูดเช่นนี้ออกมา
ถาวจวินหลันนิ่งไป ขมวดคิ้วในทันใด “แต่ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่…” ยังไม่ทันพูดจบ นางก็คิดได้ว่าทำไมจู่ๆ หลี่เย่ถึงได้พูดเรื่องออกจากหน้าที่ว่าราชการขึ้นมา
บางทีคงเป็นคำพูดเหล่านั้นของฮ่องเต้กระมัง
“เลี่ยงข่าวลือเท่านั้นเอง อีกทั้งตอนนี้ร่างกายของเสด็จพ่อก็ไม่เลว เอาอำนาจคืนไปก็ถือเป็นเรื่องดี” แม้จะบอกว่าวันนี้กระอักเลือดไปรอบหนึ่ง แต่เขาได้ไปถามหมอหลวงเป็นการส่วนตัว ไม่ได้รุนแรงอะไร แต่เป็นการกระอักก้อนเลือดออกมา ดีสำหรับร่างกาย
ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ตอนนี้เป็นเวลาที่มีเรื่องมากมาย สามารถเลี่ยงได้ก็เลี่ยง องค์รัชทายาทตอนแรกเร่งรีบจะยึดเอาอำนาจมาครอง ดังนั้นถึงได้ถูกหวาดระแวงเช่นนั้น ตอนนี้เขาย่อมไม่อาจเดินทางเดิมได้
“หากท่านคิดดีแล้วก็ทำเถิดเพคะ แต่ฮ่องเต้จะคิดว่าท่านเอาแต่ใจหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วพูดขึ้นมา ในใจนั้นเป็นกังวลเล็กน้อย ความสัมพันธ์พ่อลูกของเขาไม่ได้ดีมากนัก คิดว่าฮ่องเต้ก็คงจะตะขิดตะขวงใจเช่นเดียวกัน
ในเวลานี้ หลี่เย่พลันพูดว่าอยากจะพักผ่อน ยากรับประกันว่าฮ่องเต้จะไม่เกิดความตะขิดตะขวงใจกับหลี่เย่ ว่าจงใจใช้เอาแต่ใจ ใช้อารมณ์
“หรือว่าข้าไม่ควรเอาแต่ใจหรืออย่างไร?” หลี่เย่แค่นหัวเราะ “เขาจะฆ่าภรรยาของข้าอยู่แล้ว ข้าจะไปประจบเอาใจ จะถือเป็นอะไรกัน? เรื่องเช่นนี้ ข้าไม่อาจทำได้”
ท่าทีเช่นนี้ของหลี่เย่กลับทำให้ถาวจวินหลันไม่อาจพูดกล่อมต่อไปได้ ไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ แม้แต่ในใจของนางเองก็คิดเช่นเดียวกัน นางก็พูดว่า “อย่างนั้นหลังจากนี้ข้าจะเข้าวังให้น้อยลงเพคะ”
ไม่อย่างนั้นถ้าพบฮ่องเต้อีกก็คงทำตัวไม่ถูก ฮ่องเต้คงไม่อยากเห็นหน้านางเช่นเดียวกัน
“อืม เข้าวังให้น้อยลงเถิด” หลี่เย่พยักหน้า จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ข้าเองก็ไม่ได้อยู่จวนมาหลายวัน ตอนนี้จะได้มีโอกาสอยู่กับลูกๆ ให้มากขึ้นแล้ว”
ถาวจวินหลันยิ้มพลางรับคำ “เพคะ” แต่ในใจนั้นก็ยังคงคิดมากอยู่ดี