เมื่อเข้าใจจุดนี้ ถาวจวินหลันย่อมไม่ร้อนใจ ให้บ่าวไปตั้งโต๊ะ นางทานช้าๆ แล้วถึงได้ทำงานฝีมือที่ยังทำไม่เสร็จต่อไป ผ้าอุ่นท้องผืนนี้เหลือฝีเข็มอีกไม่เยอะ ตอนนี้เหลือเพียงดอกบัวตูมดอกเดียวที่ยังไม่ได้ปักลงไป
นางเพิ่งปักดอกบัวดอกนั้นเสร็จ และกำลังจะเก็บเข็ม หลี่เย่ก็กลับมาพอดี
หลังจากหลี่เย่เข้ามาแล้วก็สังเกตเห็นผ้าอุ่นท้องในมือของนาง ก็หัวเราะน้อยๆ “นี่ทำให้หมิงจูหรือ? เจ้าช่างขยันยิ่งนัก ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่งานฝีมือของเจ้ากลับไม่ได้ตกชั้นแม้แต่น้อย ยังประณีตไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”
ทั้งที่เป็นงานปักที่เห็นทั่วไป แต่ของถาวจวินหลันกลับชวนให้คนเห็นรู้สึกสบายตา อีกทั้งท่าทีก้มหน้าก้มตาตั้งใจปักลายของถาวจวินหลันก็หวนให้คิดถึงสมัยก่อน
ตอนนั้นเรียกได้ว่าวันเวลาสงบสุขกระมัง? ทั้งมีเรื่องวุ่นวายใจไม่เยอะ วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบราวกับสายน้ำไหล ช่วงเวลานั้นผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้ว
ฉับพลันนั้นเขาก็หุบยิ้ม โอบไหล่และพูดกระซิบกระซาบกับนาง
ถาวจวินหลันแสดงท่าทีให้หลี่เย่หยิบกรรไกรมาช่วยนางเก็บด้าย จากนั้นก็คลี่ผ้าอุ่นท้องออกให้หลี่เย่ดูพลางหัวเราะ “ต้องบอกว่ายังพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ แต่ห่างหายจากงานนี้ไปนานหลายปีแล้ว ทำช้าไปเยอะ แค่ผ้าอุ่นท้องผืนเดียวก็ยังต้องใช้เวลาไปมากเลยเพคะ”
หลี่เย่ได้ยินก็อดสงสารไม่ได้ “ให้บ่าวทำก็ได้ เด็กๆ โตเร็วเสียยิ่งกว่าอะไร ใส่ได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น”
“ข้าทราบดีเพคะ เพียงลองทำผืนนี้ดูเท่านั้น จากนี้ข้าคงไม่มีแรงแล้ว” ถาวจวินหลันหัวเราะพลางเก็บตะกร้าเข็มและด้าย แล้วมองไปทางหลี่เย่ “ใช้โอกาสช่วงที่พวกเรายังว่าง ข้าทำให้ชุดคลุมให้ท่านดีกว่าเพคะ นอกจากให้ใส่สบายแล้วก็เพิ่มสีสันสดใสเล็กน้อย ตัวสีฟ้าอ่อนคราวที่แล้ว ท่านคิดว่าสีนั้นเป็นอย่างไรเพคะ?”
หลี่เย่หัวเราะรับคำ “เจ้าตัดสินใจเองเถิด แต่อย่าหักโหมนักล่ะ”
“เพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มรับคำแล้วถึงถามหลี่เย่ “วันนี่ราบรื่นดีหรือไม่? ท่านได้ชมละครฉากนั้นหรือยังเพคะ?”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะพูดหยอกทันที “นึกว่าเจ้าจะไม่ถามเรื่องนี้เสียแล้ว ข้ากำลังอึดอัดใจอยู่เชียว”
ถาวจวินหลันกลอกตามองเขา ลุกขึ้นพลางรินชาให้ “พอแล้วเพคะ รีบพูดเร็วเข้า อย่าเล่นแง่อีกเลย”
“เจ้าให้คนไปสืบข่าวอย่างนั้นหรือ? คิดว่าคงจะเดาได้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไรกระมัง? ยังต้องมาถามข้าอีกหรือ?” หลี่เย่กลับคิดจะหยอกล้อต่อ ไม่เพียงแค่ไม่ยอมบอกเรื่องที่เกิดในวันนี้อย่างละเอียด แต่กลับพูดหยอกไม่หยุด
ถาวจวินหลันถลึงตามองเขาอีกครั้ง แกล้งเขาด้วยการยกมือไปขวางจอกชาที่เขายกมาถึงริมฝีปาก หัวเราะพลางพูดว่า “ในเมื่อไม่ยอมบอกข้า ท่านก็อย่าหวังจะดื่มชานี่เลยเพคะ”
หลี่เย่พลันเงียบเสียงหัวเราะ พูดบ่นปอดแปด “ช่างเถิดๆ ข้าหาเรื่องเจ้าไม่ได้จริงๆ”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยังไม่บอกอีกหรือเพคะ! ถ้ายังไม่บอก วันนี้ก็ไม่ต้องทานของว่างนะเพคะ”
“อืม ละครวันนี้ประสบความสำเร็จอย่างดี คิดว่าอีกไม่กี่วัน ตระกูลหวังคงต้องอับโชคแน่นอน” หลี่เย่พูดยิ้มๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังเบิกบานใจ แม้แต่ดวงตาก็เป็นประกายแฝงไว้ด้วยความขบขัน
นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากหลี่เย่ เรื่องที่ทำให้เขามีความสุขได้ขนาดนี้มีไม่เยอะ ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนชอบแสดงความรู้สึกออกมา บางทีด้วยเพราะปิดบังความรู้สึกมานานเกินไป จึงยังเคยชินกับท่าทางปกปิดทั้งที่ไม่จำเป็นแล้ว
ถาวจวินหลันย่อมรู้สึกดีใจแทนเขา ในขณะเดียวกันก็คาดเดาว่าละครสนุกที่เขาพูดนั้นคืออะไร สุดท้ายแล้วพอลองสรุปเรื่องที่ให้คนไปสืบมา นางก็คาดเดาได้อย่างง่ายดาย
“วันนี้ที่ท่านโดนลอบสังหาร เป็นเรื่องโจรร้องตะโกนให้จับขโมย*ใช่หรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันเม้มปากพูดพลางหัวเราะ เอื้อมมือไปหยิกหลี่เย่ทีหนึ่ง “ท่านเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว ท่านไม่กลัวว่าจะมีสายลับหรือโจรลอบสังหารจริงๆ หรือเพคะ?”
“ในเมื่อข้าจัดฉากแล้ว เช่นนั้นต้องรับประกันได้ว่าไม่มีข้อผิดพลาด” หลี่เย่ไม่ร้องเจ็บ แต่กลับมองนิ้วเรียวยาวของถาวจวินหลัน ยื่นมือมาจับนิ้วนางเล่น ในขณะเดียวกันก็หัวเราะพลางพูดต่อ “อีกอย่าง หากมีโจรลอบสังหารจริงข้าก็ไม่กลัว ตอนนั้นข้ายืนอยู่ข้างๆ เสด็จพ่อ เจ้าว่าใครจะทำร้ายข้าได้เล่า?”
นี่เป็นเรื่องจริง แม้ว่าถาวจวินหลันเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่ก็อดกล่าวโทษไม่ได้ “ท่านชอบเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ตลอด จะไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้อย่างไรเพคะ? ต่อจากนี้ไปห้ามทำเช่นนี้อีกนะเพคะ”
“หลังจากนี้ข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้อีกแล้ว” หลี่เย่พยักหน้าหนักแน่น แล้วก็รับปากอีกครั้ง “เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ตัวดี ไม่มีทางปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย อีกอย่างสถานการณ์ในวันนี้ ข้าเป็นคนที่ถูกลอบก็มีข้อดีอยู่บ้าง อย่างน้อยคนอื่นก็คิดว่าข้าถูกทำร้ายมิใช่หรือ?”
เป็นเช่นนั้นจริง วันนี้ไม่เพียงแค่ขุนนางยศต่ำ ทหารองครักษ์ต่างก็คิดว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้แต่ฮ่องเต้ก็อารมณ์พลุ่งพล่าน เขาถูกลอบสังหารหลายครั้งเกินไป เหมือนว่าเขาไปยั่วโมโหใครเข้า แล้วทำไมถึงมีคนอยากลอบสังหารเขา คนพอมีตาย่อมรู้ได้เพียงมองปราดเดียวเท่านั้น แต่เขาเคยทำอะไรให้ใครบ้างเล่า? แบบนี้ถือว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างแน่นอน
“ฮองเฮาเล่าเพคะ?” ถาวจวินหลันถามหลี่เย่กลับ
“ฮองเฮาย่อมตกใจมากแน่นอน” หลี่เย่คิดถึงสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยของจวงอ๋องและฮองเฮาที่มองสบกัน ฉับพลันก็อดหัวเราะไม่ได้ “จวงอ๋องเองก็สงสัย อาจด้วยเพราะมีเพียงอู่อ๋องไปออกรบ จึงยังไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะคิดเห็นอย่างไร” แต่อู่อ๋องคงคิดว่าเป็นฝีมือของฮองเฮากระมัง?
นี่เป็นการคาดเดาตามสัญชาตญาณของทุกคน
“ท่านให้พวกโจรลอบสังหารเหล่านั้นนำคนไปที่นั้นหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันถามเสียงเบา ตื่นเต้นเล็กน้อย”
หลี่เย่พยักหน้า จุดประสงค์ของเขาในวันนี้คือสิ่งนี้ การทำให้ฮองเฮาและคนอื่นสงสัยกันเอง เป็นแค่เพียงผลพลอยได้เท่านั้น
“คิดว่าคงมีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกช่วงหนึ่งเป็นแน่” หลี่เย่หัวเราะเบาๆ แล้วก็ลูบท้อง “วันนี้มีของว่างอะไรหรือ? เดี๋ยวนี้อาหารภายในวังหลวงไม่อร่อยขึ้นเรื่อยๆ” อาหารกลางวันเขาคีบไปได้สองคำเท่านั้น ก็ไม่อยากอาหารอีกแล้ว
ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่สนใจเรื่องอื่นต่อไป รีบลุกขึ้นไปจัดการเตรียมของว่างให้หลี่เย่
หลี่เย่กลับรออย่างสบายกาย สบายใจ มองดูท่าทียุ่งเหยิงของถาวจวินหลัน ในใจเต็มไปด้วยความสุขและพึงพอใจ
เรื่องลอบสังหารยังไม่ทันจบ ขุนนางในราชสำนักก็เริ่มยกเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นมาอีกครั้ง
เป็นบิดาของกู้ซี อันหย่วนโหวออกตัวเสนอก่อน ที่ควรต้องนำมาพูดถึงก็เพราะอันหย่วนโหวเพิ่งจะเข้าวังไปทำความเคารพไทเฮาพอดี ยังไม่ทันพ้นสองวันเขาก็พูดเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่ เพื่อให้ราชสำนักสงบนิ่ง
ใครๆ ก็มองออกว่าอันหย่วนโหว กู้อวี่จื๋อพูดเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นมานั้น แต่เดิมเป็นความคิดของไทเฮา
และที่ไทเฮาเรียกกู้อวี่จื๋อเข้าไปพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ ก็น่าสนใจมากพออยู่แล้ว ฮองเฮาเพิ่งให้อู่อ๋องออกจากเมืองหลวงไป อู่อ๋องคงไม่สามารถกลับมาเมืองหลวงได้จนกว่าจะกำราบกลุ่มกบฏจนสิ้น
หากแต่งตั้งองค์รัชทายาทในตอนนี้จริง นั่นย่อมไม่มีส่วนของอู่อ๋องแล้ว อย่างแรกเพราะอยู่ห่างไกลเกินไป อย่างที่สอง ยังไม่มีผลงาน จะเอาอะไรมาแย่งกับพี่ชายและน้องชายของเขา?
เวลานี้่น่าจะมีเพียงหลี่เย่ที่เหมาะสมที่สุด และได้รับความนิยมมากที่สุด อย่างแรกด้วยเพราะหลี่เย่เป็นตวนชินอ๋องอยู่แล้ว เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาพี่น้อง อย่างที่สองหลี่เย่มีผลงานและชื่อเสียงมากมาย ถือว่าได้รับความนิยมชมชอบจากราษฎร อย่างที่สามหลี่เย่เพิ่งจะถอนตัวออกจากการดูแลแคว้นมาไม่นาน อย่างที่สี่ไทเฮาแสดงออกชัดเจนแล้วว่าสนับสนุนหลี่เย่
เมื่อทุกอย่างสรุปเข้าด้วยกันแล้วนั้น ก็ล่วงรู้ได้เลยว่า หลี่เย่จะต้องเป็นองค์รัชทายาทแน่นอน
ตอนที่ถาวจวินหลันได้ยินข่าวนี้ ก็ตื้นตันใจจนพูดไม่ออก พูดตามจริงแล้ว พวกนางรอมานานหลายปีขนาดนี้ ในที่สุดก็ถึงวันนี้ ความรู้สึกเช่นนั้นไม่สามารถใช้คำพูดมาบรรยายได้จริงๆ
หลี่เย่กลับมีสีหน้าสงบนิ่ง พูดแค่ว่า “ในเมื่อพยายามขนาดนี้แล้ว ควรจะทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้นเถิด”
แต่ถาวจวินหลันทำถึงขั้นนั้นไม่ได้ นางยังมีเรื่องเป็นกังวล ดูจากอาการของฮ่องเต้ตอนนี้แล้ว เขาจะยอมแต่งตั้งองค์รัชทายาทโดยเต็มใจหรือ? ทำใจวางอำนาจในมือลงได้แล้วหรือ?
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ วันนั้นฮ่องเต้แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว แม้ว่าหลี่เย่จะถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทจริง ฮ่องเต้ก็คงไม่ค่อยชอบหน้าหลี่เย่เท่าไรนัก คล้ายกับองค์รัชทายาทในช่วงแรกไม่มีผิด
อาจด้วยหลี่เย่ใกล้ตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว ก็เหมือนว่าเขาเดินตามรอยองค์รัชทายาทเท่านั้น ไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจจะยกจวงอ๋องหรืออู่อ๋องขึ้นมาขัดแข้งขัดขาเขาก็ได้
ถึงเวลานั้นหลี่เย่คงตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน
แล้วนางจะวางใจได้อย่างไร? ไม่ให้กังวลได้อย่างไร?
แต่ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พูดแล้วจบได้ภายในวันสองวัน แม้แต่ฮองเฮาก็จะต้องคิดหาวิธีขัดขวาง ดังนั้นแม้ว่านางจะกังวลแต่ก็ไม่ถึงขั้นร้อนใจ
นางไม่ร้อนใจ แต่กลับมีคนอื่นร้อนใจแทนนาง ถาวซินหลันรีบเดินทางมาเพราะเรื่องนี้ มาถึงก็เอ่ยถามว่า “ท่านพี่ได้ยินเรื่องบรรดาขุนนางพูดเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันเห็นนางร้อนรนเร่งรีบเช่นนี้ ก็ตกใจไม่น้อย “เจ้าช้าหน่อย! เด็กน้อยของเจ้า เจ้าเป็นเช่นนี้คิดจะทำให้ใครตกใจกัน? ตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ ทำไมถึงไม่รู้จักระวังเช่นนี้?”
ถาวซินหลันโบกมือ กลืนน้ำลายลงคอ “ท่านพี่รู้เรื่องนี้หรือไม่เจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันรู้ว่านางร้อนใจ รีบพยักหน้า “รู้แล้วๆ เจ้ารีบร้อนไปทำไม”
“แล้วท่านพี่วางแผนจะทำอย่างไรเจ้าคะ?” ถาวซินหลันร้อนใจ จับข้อศอกของถาวจวินหลัน พลางมองนาง “ในเมื่อจะแต่งตั้งองค์รัชทายาท ก็ต้องมีชายาองค์รัชทายาท ท่านพี่คิดจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”
ที่จริงแล้วเป็นเพราะเรื่องนี้ ถาวจวินหลันจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่พลันก็อบอุ่นใจ มีเพียงถาวซินหลันที่จะคิดถึงนางเป็นคนแรกกระมัง?
สมแล้วที่เป็นทั้งญาติ เป็นทั้งพี่น้อง
“ควรทำอย่างไรอะไรกัน? ยังจะทำอะไรได้อีก เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองได้เสียเมื่อไร” ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ พลางมองถาวซินหลัน “อีกอย่าง ตอนนี้ที่เร่งด่วนมากที่สุดไม่ใช่สิ่งนี้ ไม่ว่าชายาองค์รัชทายาทเป็นใคร ข้าก็ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน แม้ว่าข้าอยากเป็นชายาองค์รัชทายาท ก็จะต้องให้พี่เขยของเจ้าเป็นองค์รัชทายาทก่อนมิใช่หรือ?”
*โจรร้องตะโกนให้จับขโมย หมายถึงโยนความผิดให้คนอื่น