บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 621 ผิดปกติ

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วมุ่น ในใจนึกต่อว่าหลี่เย่ที่ไม่รักตัวเอง แต่ก็สงสารเขา จึงให้คนไปเตรียมน้ำร้อนและของที่ช่วยให้สร่างเมามา ส่วนตัวนางเองก็ไปประคองหลี่เย่เข้าห้องนอนด้วยตนเอง   

 

 

ยังดีที่หลี่เย่ให้ความร่วมมือ ถาวจวินหลันประคองหลี่เย่ให้นั่งลงบนเตียง แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ปาดเหงื่อบนหน้าผาก ฉวยโอกาสตอนที่ยังไม่มีใครเข้ามามองหลี่เย่อย่างกล่าวโทษทีหนึ่ง  

 

 

หลี่เย่แย้มยิ้ม พลันยื่นมืออกมาดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด กดหัวของนางซบไหล่ของเขา พูดเสียงเบาว่า “นั่งเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด”  

 

 

อาจด้วยเสียงเบาเกินไป ดังนั้นเสียงของหลี่เย่จึงฟังดูแหบพร่ากว่าเดิม เหมือนมีอะไรติดคออยู่อย่างนั้น ทำให้ส่งเสียงออกมาลำบาก เหมือนว่าเค้นเสียงออกมา  

 

 

ถาวจวินหลันไม่สบายใจ คิดว่าหลี่เย่ที่ดื่มสุรานั้นต่างไปจากปกติ จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก จึงไม่กล้าปล่อยตัวตามสบายอีก รีบขัดขืนพูดว่า “รีบปล่อยเพคะ มิเช่นนั้นนางกำนัลเห็นเข้าจะไม่ดีเพคะ”  

 

 

แต่หลี่เย่กลับไม่ยอมปล่อยมือ เพียงแค่ส่งมือข้างหนึ่งออกมา หยิบของที่อยู่ใกล้ตัวโยนไปหน้าประตู ทันใดนั้นเสียงแตกของเครื่องกระเบื้องก็ดังขึ้นมา  

 

 

ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่าสิ่งที่หลี่เย่เขวี้ยงไปต้องเป็นหมอนกระเบื้องเป็นแน่ จึงยิ่งไม่สบายใจกว่าเดิม หลี่เย่ไม่เคยอารมณ์ร้อนเช่นนี้มาก่อน ต่อให้โมโหจริงก็ไม่เคยปาข้าวของมาก่อน ตอนนี้เป็นอะไรกันแน่? หรือว่าเจอเรื่องอะไรในงานเลี้ยง หรือถูกคนหาเรื่องเข้า? หรือดื่มมากไปเท่านั้นเองกันแน่?  

 

 

การกระทำของหลี่เย่ย่อมส่งผลให้นางกำนัลที่มาส่งน้ำนั้นไม่กล้าเดินเข้ามา และไม่กล้าถาม ตกใจตัวสั่นคิดว่าตนเองปรนนิบัติรับใช้ไม่ดีจนเจ้านายไม่พอใจ  

 

 

สุดท้ายก็เป็นหงหลัวที่เข้ามา เห็นสถานการณ์เช่นนั้นจึงปิดประตูอย่างระมัดระวัง พลางเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยตนเอง ไล่ให้นางกำนัลอื่นออกไป สุดท้ายก็พูดเตือนขึ้นว่า “เรื่องวันนี้ห้ามเอาออกไปพูด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เข้าใจหรือไม่?”  

 

 

บรรดานางกำนัลย่อมต้องพูดยอมรับโดยพร้อมเพรียง จากนั้นก็แยกย้ายกันไป ใจยังคงหวาดผวาไม่จำเป็นต้องพูดขึ้นมาอีก  

 

 

ภายในห้องหลี่เย่ยังคงอยู่ในท่าเดิม โอบถาวจวินหลันไว้ในอ้อมอก แล้ววางคางไว้บนไหล่ของนาง  

 

 

 ถาวจวินหลันไม่เห็นสีหน้าของหลี่เย่ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และย่อมไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร สุดท้ายเพียงแค่ปล่อยตัวพิงไปกับบ่าของหลี่เย่ แล้วกอดเขาเบาๆ  

 

 

ผ่านไปนานหลี่เย่ถึงได้เอ่ยปากอีกครั้ง แต่กลับพูดว่า “วันนี้เจ้าสวมชุดเต็มยศแล้วสวยยิ่งนัก เห็นแล้วชวนให้ใจสั่นเลยทีเดียว”  

 

 

คำพูดนี้ตรงเกินไป ไม่เหมือนหลี่เย่พูดออกมาเอง ถาวจวินหลันได้ยินเต็มสองหู จึงอดหน้าแดงไม่ได้ นางตีเขาอย่างแรง “พูดมั่วอะไรเพคะ?”  

 

 

หลี่เย่กลับพูดว่า “เป็นเรื่องจริง”  

 

 

ทันใดนั้นใบหน้าของถาวจวินหลันก็ร้อนผ่าว อีกทั้งตระหนกวุ่นวายจนทำอะไรไม่ถูก ร่างกายอ่อนแรง โดยเฉพาะตอนที่มือของหลี่เย่เริ่มอยู่ไม่สุข ลมหายใจร้อนจ่อรินอยู่ที่คอของนาง ยิ่งทำให้นางไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร  

 

 

บรรยากาศเริ่มเป็นใจ และอบอุ่นอ่อนโยน  

 

 

หลี่เย่พูดต่อไป “ตอนที่ข้าจับมือเจ้า ข้าคิดว่านี่เป็นภรรยาที่ข้าอยากจูงมือไปตลอดชีวิต รอจนขึ้นเกี้ยว ข้าก็อยากกอดเจ้าให้แน่น แล้วเจ้ายังช่วยผูกถุงหอมให้ข้า ตอนนั้นข้าคิดว่าถ้าไม่ได้ต้องทำเรื่องสำคัญ ก็จะให้คนขับหักเกี้ยวกลับมา จากนั้นข้าก็คิดเรื่องนี้มาโดยตลอด ข้าคิดว่ารอจนทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ข้าจะต้องพาเจ้ากลับมายังวังตวนเปิ่น จะได้…”  

 

 

ถาวจวินหลันทั้งอายทั้งโกรธ สุดท้ายก็อดหยิกหลี่เย่ไม่ได้ ถือเป็นการขัดคำพูดไร้ยางอายของหลี่เย่ให้หยุดลงด้วย นางคิดไม่ถึงเลยว่าตอนนั้นเขาจะคิดเช่นนี้ อีกทั้งไม่คิดเลยว่าเขาจะบอกนางตรงๆ  

 

 

ถาวจวินหลันถลึงตามองหลี่เย่ทีหนึ่ง “ท่านดื่มเยอะไปแล้วเพคะ” หลี่เย่ในยามปกติไฉนเลยจะมีสภาพเช่นนี้?  

 

 

แต่ที่นางไม่รู้ก็คือ พอหลี่เย่ได้เห็นท่าทีเขินอายหน้าแดงออดอ้อนของนาง เขาก็ยิ่งเหมือนเห็นนางฟ้านางสวรรค์ คิดอยากจะลงมือเสียเดี๋ยวนี้…  

 

 

สุดท้ายหลี่เย่ก็กดถาวจวินหลันลง  

 

 

รอจนทุกอย่างเสร็จสิ้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกเหมือนโดนสูบแรงออกไปทั้งร่าง ร่างกายที่แต่เดิมเหนื่อยล้าอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่คิดจะขยับไปไหน นางกล่าวโทษอย่างกรุ่นโกรธ “ท่าทางพรุ่งนี้ข้าคงต้องบอกว่าป่วยแล้ว มิเช่นนั้นจะไปพบหน้าคนอื่นได้อย่างไร?”  

 

 

เหมือนตอนนี้ ไม่รู้ว่าด้านนอกจะเอาไปพูดกันเช่นไรแล้ว  

 

 

หลี่เย่ไม่สนใจ “ไม่เป็นไร อย่างไรพรุ่งนี้ข้าก็จะบอกว่าป่วย”  

 

 

ถาวจวินหลันตกใจนิ่งไป มองหลี่เย่อย่างตื่นตะลึง “ทำไมเพคะ? อยู่ๆ ดีจะบอกว่าป่วยทำไมเพคะ?”  

 

 

หลี่เย่ยังคงยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นเดิม “ไม่อยากเข้าว่าราชการเช้า เช้าเกินไปตื่นไม่ไหว วันนี้เหนื่อยมากแล้ว”  

 

 

ท่าทีเช่นนี้ของหลี่เย่ เป็นลักษณะของคุณชายเจ้าสำราญที่แท้จริง  

 

 

ถาวจวินหลันยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ แม้แต่นางเองยังไม่เคยเห็นหลี่เย่สภาพนี้มาก่อน เห็นหลี่เย่ในท่าทางปกติจนชินตา ฉับพลันวันนี้กลายเป็นเช่นนี้นางไม่คุ้นชินเอาเสียเลย  

 

 

ถาวจวินหลันผลักเขาออกไปด้วยท่าทางเก้อเขิน คิดว่าเขาล้อเล่น “ช่างเถิดเพคะ อย่าพูดเล่นอีกเลย มีองค์รัชทายาทเช่นนี้เสียเมื่อไรกัน? เพิ่งจะจัดพิธีแต่งตั้งไปเอง พระองค์ก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว เช่นนี้บรรดาขุนนางจะไม่โวยวายหาเรื่องหรือเพคะ?”  

 

 

ถ้ารุนแรงกว่านั้นเกรงว่าคงลงชื่อปลดออกแล้ว  

 

 

หลี่เย่เก็บรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของตนไป สีหน้าจริงจังพูดว่า “ข้าพูดเรื่องจริง”  

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติกลับคืนมา ภายในหัวนั้นมีความคิดหนึ่งผุดเข้ามาทันใด “เพราะฮ่องเต้หรือเพคะ?”  

 

 

หลี่เย่ไม่พูดอะไร แต่กลับมายิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง “ที่จริงแล้วก็ดี พวกเราอยากได้ลูกมิใช่หรือ? ตอนนี้จะต้องรีบฉวยโอกาสเอาไว้” แต่สิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาก็คือ การที่ไม่เข้าร่วมว่าราชการเช้าเขาจะไม่รู้เรื่องราวต่างๆ ในราชสำนักอย่างนั้นหรือ? เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้ แค่เพียงทำให้ฮ่องเต้ดูเท่านั้น ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสบายใจเล็กน้อยเท่านั้นเอง  

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็พูดไม่ออก สุดท้ายแล้วก็ทำได้แค่ผลักเขาออกช้าๆ “ท่านไปบอกให้คนยกน้ำมาเถิด” นางดูออกแล้วว่าหลี่เย่ไม่ได้เมาเลยแม้แต่น้อย  

 

 

หลี่เย่กลับเล่นแง่ “ข้าดื่มเยอะ ปวดหัวไม่ไหวแล้ว”  

 

 

สุดท้ายเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ไทเฮาก็ส่งคนมาเชิญหลี่เย่ไปทานอาหารด้วยกัน พวกเขาทั้งสองคนรีบลุกไปล้างหน้าหวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้า  

 

 

แต่เพราะผ่านเหตุการณ์เช่นนั้นมา ท่าทีของทั้งสองคนจึงดูเหนื่อยล้าอยู่ดี  

 

 

ยังดีที่แม้ว่าไทเฮาจะเห็น แต่เพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ นางรู้ฤทธิ์ของพิธีแต่งตั้งดี ดังนั้นจึงไม่แปลกใจ แล้วยังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “รู้ว่าพวกเจ้าเหนื่อยเช่นนี้ ข้าคงไม่ส่งคนไปเรียกมาแล้ว”  

 

 

หลี่เย่เพียงแค่ยิ้ม จัดอาหารให้ไทเฮาด้วยตนเอง “ที่จริงก็ไม่ได้เหนื่อยมาก เพียงขั้นตอนยิบย่อยเท่านั้น อีกอย่างพวกหลานก็ไม่ต้องเดิน นั่งเกี้ยวไปพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ไทเฮาถึงได้สบายใจขึ้นมาบ้าง ยิ้มให้หลี่เย่และพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องพยายามมากขึ้น ไม่รู้ว่ามีดวงตากี่คู่คอยจับจ้องเจ้าอยู่ เจ้าจะต้องแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อเจ้ามาบ้าง สุขภาพของเขาไม่ดี ให้เขาได้พักผ่อนบ้าง”  

 

 

ถาวจวินหลันก้มหน้าถอนหายใจ ในใจรู้ว่าหลี่เย่ไม่อยากฟังเรื่องเหล่านี้ จึงคิดจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา จึงพูดขึ้นว่า “ในงานเลี้ยงวันนี้องค์รัชทายาทไม่ค่อยได้เสวยอะไรนักเพคะ มัวแต่ดื่มสุรา ไทเฮาช่วยกล่อมให้เขาเสวยด้วยเถิดเพคะ”  

 

 

ไทเฮาไม่รู้ความตั้งใจจริงของถาวจวินหลัน จึงหัวเราะพลางพูดว่า “องค์รัชทายาท เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่? หากกินข้าวไม่ถึงสามถ้วย ข้าไม่ยอมให้เจ้าออกจากประตูวังแน่”  

 

 

พอเป็นเช่นนี้หัวข้อสนทนานั้นก็เหมือนจะตกไป หลี่เย่ถอนหายใจเบาๆ พูดตามตรงแล้ว แม้ว่าเขาจะเตรียมโกหกไทเฮา แต่เขาก็ไม่อยากถกเถียงเรื่องนี้จริงๆ  

 

 

พอออกมาจากวังหย่งโซ่วของไทเฮา หลี่เย่ก็เสนอให้เดินเล่นกลับวัง ถือว่าเป็นการย่อยอาหารไปด้วย  

 

 

หลี่เย่ถือโคมไฟไว้ข้างหน้าด้วยตนเอง เดินเคียงคู่ไปกับถาวจวินหลัน ให้นางกำนัลเดินนำทางอยู่ห่างไป และเดินตามหลัง  

 

 

“ที่จริงช่วงนี้เสด็จพ่อเริ่มใช้ยาอีกแล้ว” หลังจากเดินเงียบๆ มาครู่ใหญ่ จู่ๆ หลี่เย่ก็พูดเรื่องนี้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดโพล่งก็ตกใจไป จากนั้นก็ส่งเสียงตกใจตามสัญชาตญาณ “เพคะ?” นิ่งไปครู่หนึ่ง นางก็ถามอีกว่า “แต่นักพรตกู่ไม่ใช่ว่า…“  

 

 

“นักพรตในใต้หล้านี้มีมากเพียงใด?” หลี่เย่ยิ้มเยาะ “เป็นถึงฮ่องเต้ คิดจะหานักพรตสักคนมาปรุงยาอายุวัฒนะให้ตนสักคนก็ง่ายดายนัก”  

 

 

ถาวจวินหลันใจหล่นลงตาตุ่ม อดส่ายหัวพูดไม่ได้ว่า “พูดเช่นนี้ ฮ่องเต้…” ป่วยเกินเยียวยา ไม่สามารถพึ่งพายาได้แล้ว ส่วนวิชาอายุวัฒนะ ฮ่องเต้นั้นจมดิ่งลึกจนไม่อาจดึงตัวขึ้นมาได้แล้ว ฆ่านักพรตคนหนึ่งนั้นไม่มากพอ นอกจากจะฆ่านักพรตปรุงยาอายุวัฒนะทุกคนในใต้หล้านี้ แต่นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย  

 

 

นางเพียงแต่สงสารไทเฮา ไทเฮาทุ่มเททุกสิ่งอย่าง แล้วยังทะเลาะกับฮ่องเต้โดยไม่สนความสัมพันธ์แม่ลูก แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ฮ่องเต้นั้นต่อหน้าไทเฮาทำอย่างหนึ่ง ลับหลังก็ทำอีกอย่างหนึ่ง  

 

 

หากไทเฮารู้เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจและผิดหวังเพียงใด  

 

 

“เรื่องนี้ไม่อาจให้ไทเฮาทราบได้” หลังจากถาวจวินหลันครุ่นคิด ก็แทบจะพูดประโยคนี้ออกมาในทันใด  

 

 

หลี่เย่พยักหน้า น้ำเสียงจนปัญญา “ไทเฮามีพระชนมายุมากแล้ว ไม่ว่าหมอหลวงหรือหมอนอกวังต่างก็ห้ามไม้ให้มีเรื่องไปกระทบจิตใจหรือกริ้วโกรธอีก มิเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อพระวรกายของไทเฮา ยังดีที่ใครๆ ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจบอกไทเฮาได้ ถือว่าเข้าใจกันดี ปล่อยให้ไทเฮาคิดว่าเสด็จพ่อเริ่มดีขึ้นเถิด อย่างน้อยทำเช่นนี้ไทเฮาจะได้วางใจบ้าง”  

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็รู้สึกแปลกใจ “แต่หม่อมฉันคิดว่าช่วงนี้ฮ่องเต้เหมือนจะมีเรี่ยวแรงขึ้นไม่น้อยนี่เพคะ แลดูแข็งแรงคึกคักไม่น้อย ผลของยานั่นมหัศจรรย์เช่นนี้เลยหรือเพคะ?”  

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกเหลือเชื่อ แต่สิ่งที่เห็นกับตานั้นก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ท่าทีของฮ่องเต้ดีขึ้นจริง เรี่ยวแรงก็มีมากพอ มิเช่นนั้นเขาจะเอาแรงที่ไหนมาทรมานหลี่เย่ได้?  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset