อี๋เฟยตายแล้ว แต่เดิมนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับถาวจวินหลัน เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องพิธีฝังศพก็ดี หรือเรื่องอื่นก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องจัดการ
และการสืบข่าวครั้งนี้ก็เพียงเพราะไม่อยากหูหนวกตาบอดเท่านั้น
พอฟังจบ ถาวจวินหลันก็นิ่งเงียบไปนาน ตั้งแต่นางรู้ว่าอี๋เฟยถูกจับตัวไปนั้น นางก็รู้สึกไม่ดีมาโดยตลอด สุดท้ายเรื่องที่คิดก็กลายเป็นจริง
พูดตามจริงแล้ว แม้อี๋เฟยจะมีความผิดพึงได้รับการลงโทษ แต่หากบอกว่านางไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เป็นเรื่องโกหก อาอู่ยังอายุน้อย และคิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่รู้ว่าแม่แท้ๆ ของตนเองเป็นใคร และก็ไม่รู้ว่าองค์ชายจะต้องทำเช่นไร เพียงแค่คิดเรื่องเหล่านี้ ถาวจวินหลันก็แอบรู้สึกเสียใจ
แท้จริงแล้วอี๋เฟยทำไปเป็นเพราะอะไร? เพื่อความรู้สึกอย่างนั้นหรือ? แต่จากที่นางดูแล้ว ความรู้สึกไม่ควรบังตาหรือเป็นแรงกระตุ้น ก็เหมือนกับอี๋เฟย บางทีอาจจะทำด้วยเพราะความสะใจชั่วครู่ แต่วันเวลาที่เหลือจากนั้นเป็นเพียงความเจ็บปวดอย่างไร้ที่สิ้นสุด คุ้มค่าอย่างนั้นหรือ?
ถาวจวินหลันอดรู้สึกยินดีไม่ได้ ยังดีที่นางได้พบหลี่เย่ ยังดีที่สุดท้ายนางยังทนและผ่านพ้นมาได้
ทางนี้ยังไม่ทันจะไตร่ตรองให้ดี ทางด้านขันทีเป่าฉวนก็มาหา
ถาวจวินหลันตกใจ แต่ไม่กล้าล่าช้า รีบออกไปพบขันทีเป่าฉวนด้วยตนเอง “กงกงเป็นแขกคนสำคัญ มาครั้งนี้มีเรื่องอะไรหรือ?”
ขันทีเป่าฉวนประดับรอยยิ้มเต็มใบหน้า หันไปทำความเคารพถาวจวินหลันอย่างนอบน้อม “พระชายาอย่าเยินยอบ่าวเลยพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็พูดต่อว่า “ฮ่องเต้เชิญให้ท่านไปหา มีเรื่องทรงอยากถามเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันใจกระตุก รีบถามตามสัญชาตญาณ “ไม่ทราบว่าเรื่องอะไรหรือ? ต้องการถามอะไรหรือ?”
ขันทีเป่าฉวนยิ้มแย้ม กวาดตามองรอบกายทีหนึ่ง “พระชายาตามบ่าวมาก็ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ความหมายคือไม่สะดวกพูดตรงนี้ ถาวจวินหลันรับรู้และเข้าใจ แม้จะบอกว่าจนปัญญาแต่ก็ทำได้แค่ยอมจำนน ในเมื่อฮ่องเต้เรียกนางไปพบ นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ต่อให้เป็นเรื่องต้องบั่นคอรอนางอยู่ก็ตาม แต่ดูท่าทีนอบน้อมและใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของขันทีเป่าฉวนเมื่อครู่นี้ ถาวจวินหลันก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าเรื่องนี้ไม่ได้รุนแรงเท่าไร
ถาวจวินหลันรีบเข้าห้องไปจัดการตนเองให้เรียบร้อยทันที แม้จะบอกว่าไม่ถึงขั้นต้องอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ผมและชุดก็จะต้องจัดการให้เรียบร้อย อีกอย่างยังต้องเตรียมเงินเอาไว้เพื่อตกรางวัล
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันก็ตามขันทีเป่าฉวนตรงไปยังวังของฮองเฮา
ระหว่างทางถาวจวินหลันฉวยโอกาสตอนที่คนไม่ได้เดินใกล้ แอบส่งถุงพกไปให้ พูดเสียงเบาว่า “อันนี่เอาไว้ให้กงกงดื่มชา”
ขันทีเป่าฉวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้รับไว้ เพียงแค่พูดว่า “ของรางวัลครั้งที่แล้วที่มอบให้บ่าวก็มากพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ บ่าวไม่มีหน้าจะรับรางวัลได้อีกแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่เรียกไปถามเรื่องของอี๋เฟยเล็กน้อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ อี๋เฟยเคยมาหาท่านสองสามครั้งมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ท่านเองก็เคยไปหาอี๋เฟยอยู่ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้จึงอยากถามเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเป่าฉวนย่อมไม่โกหกนาง พอถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็ลอบถอนใจ ขันทีเป่าฉวนพูดเช่นนี้นางก็รู้ชัดแล้วว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนมากนัก เพียงแต่ต้องคิดให้ดีว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
เรื่องจริงย่อมไม่อาจพูดได้ แต่ถ้าจะให้พูดเรื่องโกหก ก็จะต้องน่าเชื่อถือ
แต่เรื่องที่อี๋เฟยมาหานาง และนางไปหาอี๋เฟยน่าจะต้องเป็นความลับมากถึงจะถูก ทำไมถึง…
ความสงสัยนี้ยังคงมีแอบซ่อนอยู่ในใจ ถาวจวินหลันเดินทางไปจนถึงวังฮองเฮา กวาดตามองเกี้ยวที่อยู่ด้านนอกทีหนึ่ง ก็รู้ว่าข้างในนั้นคงมีคนอยู่มากมาย แต่ถึงมีคนอยู่เยอะเช่นนี้กลับเงียบกริบ บรรยากาศดูเคร่งขรึมกดดัน บ่งบอกว่าข้างในมีบรรยากาศเช่นไร
ถาวจวินหลันเริ่มทุกข์ใจและหวาดหวั่นมากขึ้น ตอนที่จะก้าวเข้าประตูก็อดสูดลมหายใจลึกไม่ได้ ก่อนก้าวเดินเข้าห้องไป
ฮ่องเต้ใบหน้าเคร่งขรึมนั่งอยู่บนเก้าอี้ของฮองเฮา ส่วนฮองเฮานั่งถัดลงมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ส่วนพระสนมคนอื่นก็นั่งอยู่เช่นเดียวกัน แต่นอกจากคนที่มีตำแหน่งสูง และได้รับความโปรดปรานแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยกล้านั่งเต็มสักเท่าไร แต่นั่งหมิ่นเหม่อยู่บนเก้าอี้
ถาวจวินหลันทำความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างสุขุม ไม่เอียงมองทางอื่น “หม่อมฉันทำความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ ขอพระราชทานอภัยที่หม่อมฉันล่าช้าเพคะ”
ฮ่องเต้สะบัดมือ มองฮองเฮาทีหนึ่ง
ฮองเฮาฝืนพูดออกมา “ลุกขึ้นเถิด วันนี้เรียกเจ้ามาก็ด้วยมีเรื่องอยากถามเจ้า เรื่องของอี๋เฟย”
ถาวจวินหลันลุกขึ้น ยืนก้มหน้านบน้อมอยู่อีกข้างหนึ่ง ได้ยินฮองเฮาถามเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ “หม่อมฉันย่อมไม่กล้าปิดบังเป็นแน่เพคะ”
“เจ้ากับอี๋เฟยมีความสัมพันธ์เช่นไร เคยติดต่อกันเป็นการส่วนตัวหรือไม่?” ฮองเฮาถามต่อไป ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จนมองความคิดไม่ออก
ถาวจวินหลันใจกระตุก ก่อนพูดขึ้นมาก่อนว่า “ระหว่างหม่อมฉันกับอี๋เฟยไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวเพคะ อย่างไรตอนนั้นหม่อมฉันก็ยังไม่ได้อยู่ในวังหลวง แม้จะบอกว่าเคยพบอี๋เฟยเหนียงเหนียงอยู่บ้าง แต่ก็เพียงแค่ตามงานสมโภชหรือมาทำความเคารพฮองเฮาเท่านั้นเพคะ”
จากนั้นถาวจวินหลันก็เห็นทุกคนมองนางด้วยท่าทีไม่เชื่อ จึงพูดอีกว่า “แต่พูดไปแล้ว หม่อมฉันก็คิดเรื่องหนึ่งได้ ครั้งที่แล้วตอนที่เซิ่นเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปนั้น หม่อมฉันกังวลใจมาก จึงได้มาขอร้องอี๋เฟยเหนียงเหนียงเพคะ คิดว่าเป็นมารดาเหมือนกัน อีกทั้งเซิ่นเอ๋อร์กับองค์ชายเก้าก็ยังเด็ก ดังนั้นจึงอยากให้อี๋เฟยเหนียงเหนียงช่วยขอร้องฮ่องเต้และฮองเฮา คิดหาวิธีเอาเซิ่นเอ๋อร์กลับมาให้เร็วที่สุด อีกทั้งมีครั้งหนึ่งที่หม่อมฉันเตรียมออกจากวังหลวงหลังจากมาทำความเคารพไทเฮา ก็บังเอิญพบกับอี๋เฟยเหนียงเหนียง จากนั้นอี๋เฟยเหนียงเหนียงก็เรียกหม่อมฉันไปคุย ถามเรื่องเซิ่นเอ๋อร์สองสามคำ หม่อมฉันเห็นนางอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงพูดปลอบเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเพคะ”
สิ้นเสียง ถาวจวินหลันก็มองไปยังฮองเฮาด้วยเป็นกังวล “มีเรื่องอะไรหรือเพคะ? อี๋เฟยเหนียงเหนียงสิ้นแล้วจริงๆ หรือเพคะ?”
นางเคยคิดว่าหากตอนนี้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง นั่นก็คงดูจอมปลอมไปหน่อย แม้ว่าไม่ได้ประกาศเรื่องนี้โจ่งแจ้ง แต่คิดว่าคนในวังหลวงที่ข่าวสารรวดเร็วหน่อยก็คงรู้หมดแล้ว ดังนั้นไม่สู้ถามออกมาตรงๆ ทำให้นางดูจริงใจมากขึ้นด้วย
ไม่ผิดจากที่คิดไว้ ฮองเฮาเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นซูเฟยก็ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “ดูท่าทางข่าวของพระชายาองค์รัชทายาทคงรวดเร็วน่าดู”
ถาวจวินหลันยิ้มรับ แล้วพูดแค่ว่า “ซูเฟยตรัสเกินไปแล้วเพคะ เรื่องนี้คงเหลือไม่กี่คนที่ไม่ทราบข่าวกระมังเพคะ?”
ฮองเฮามองฮ่องเต้ทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดช้าๆ “อี๋เฟยตายแล้ว ฆ่าตัวตายเพื่อหลบหนีความผิดเพคะ”
“ฆ่าตัวตายเพื่อหลบหนีความผิด?” ถาวจวินหลันตกใจจนถลึงตาโต ในใจนั้นยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บ หากอี๋เฟยเป็นห่วงอาอู่และองค์ชายเก้าจริง นางย่อมไม่มีทางฆ่าตัวตายจริงแน่ หากฆ่าตัวตายไปก็ถือเป็นการยอมรับความผิด นั่นไม่ใช่เรื่องดี อีกทั้งนางยังคิดถึงคำพูดที่อี๋เฟยเคยพูดกับนางตอนแรก อี๋เฟยบอกไว้ว่าฮองเฮาไม่มีทางปล่อยให้นางรอดแน่
ตอนนี้พอเห็นท่าทีของฮองเฮาอีกครั้ง ถาวจวินหลันก็คิดว่าอี๋เฟยพูดถูก คาดการณ์ได้แม่นราวกับเทพ
แต่กลับไม่มีคนกล้าตอบข้อสงสัยของนาง หลังจากทุกคนแอบมองฮ่องเต้ก็นิ่งเงียบไม่พูดจา
สีหน้าของฮ่องเต้ยิ่งดำคล้ำไม่น่ามองมากกว่าเดิม สุดท้ายฮองเฮาก็พูดสอบถามความคิดของฮ่องเต้เสียงเบา “ฮ่องเต้ว่าตอนนี้ควรทำอย่างไรดีเพคะ? องค์ชายเก้า…”
แม้ถาวจวินหลันจะใจไม้ไส้ระกำ แต่ก็อดกังวลเรื่ององค์ชายเก้าไม่ได้
ฮ่องเต้หน้าดำคล้ำไม่พูดจา ปลายนิ้วเคาะพนักเก้าอี้เบาๆ แม้จะไม่มีเสียง แต่ก็แสดงออกถึงความลังเลตัดสินใจไม่ได้ของฮ่องเต้
ทว่ากู้ซีกลับยืนขึ้นมา พูดเสียงเบาว่า “ไม่ทราบว่าฮ่องเต้จะฟังคำหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้มองกู้ซี แววตาดูอ่อนโยนอยู่บางส่วน แม้แต่น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย แม้จะพูดว่าไม่ได้ชัดเจนนัก แต่มองให้ดีแล้วก็ไม่ได้สังเกตได้ยากเท่าไร “ว่ามา”
กู้ซีมองฮ่องเต้ทีหนึ่ง พลางมองไปที่ฮองเฮาและพระสนมทุกคน แล้วถึงได้พูดเสียงอ่อนว่า “แม้ว่าท่านพี่อี๋เฟยเลอะเลือนทำความผิดใหญ่หลวง แต่องค์ชายเก้าเป็นเด็กไร้เดียงสา อีกอย่างภายในวังหลวงก็มีดวงตาหลายคู่จ้องมองอยู่เช่นนี้ ยังมีคนรับหน้าที่จดบันทึกกิจวัตรประจำวันทุกวัน ย่อมไม่อาจผิดพลาดหรือทำให้คนสับสนได้ ฮ่องเต้ว่าเช่นนั้นหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้มีสีหน้าลังเลโดยพลัน
ใบหน้าของฮองเฮากระตุก แต่กลับพูดว่า “ลูกหลานของราชวงศ์ ไม่อาจเอามาล้อเล่นได้ ควรต้องพิสูจน์ให้รู้”
ถาวจวินหลันตกใจ แต่เดิมไม่คิดจะเปิดปากเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ แต่พอคิดถึงคำขอร้องของอี๋เฟยในวันนั้น สุดท้ายนางก็อดเอ่ยปากพูดไม่ได้ว่า “ที่จริงแล้วจวงผินพูดถูกต้องเพคะ แม้จะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอี๋เฟยเหนียงเหนียงทำผิดมหันต์อะไรกัน แต่คิดว่าคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์ชายเก้า องค์ชายมีฐานันดรสูงส่งเพียงใดกัน? เหตุใดถึงได้ถูกพระสนมคนหนึ่งพาลลากให้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเพคะ? ไม่มีมารดาก็น่าสงสารมากพอแล้ว หากยังพาลโกรธองค์ชายเก้าด้วยเหตุนี้ เช่นนั้นองค์ชายเก้ากลายเป็นคนถูกใส่ร้ายจริงนะเพคะ”
แววตาเฉียบคมของฮองเฮากวาดมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง “เจ้าไม่รู้อะไร ก็อย่าเข้ามายุ่งดีกว่า”
ถาวจวินหลันยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เดิม แม้น้ำเสียงนุ่มนวลแต่กลับดังกังวาน “ฮองเฮาเหนียงเหนียงตรัสถูกเพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน เหตุใดต้องทำเกินเลยเช่นนี้ด้วยเพคะ? หากพิสูจน์ แล้วเรื่องในวันนี้แพร่กระจายออกไป แล้วยังจะเอาศักดิ์ศรี และหน้าตาขององค์ชายเก้าไปไว้ที่ใดกันเพคะ หม่อมฉันเพียงอยากว่าไปตามเนื้อผ้า คิดว่าไม่ต้องทำเรื่องเกินจำเป็นเพคะ อย่างไรภายในวังหลวงก็มีกฎเกณฑ์เข้มงวด ไม่อาจถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ในยามโกลาหลได้ง่าย นอกจากจะมีคนคอยช่วยเหลือ ช่วยกันปิดบัง อีกทั้งคนคนนั้นยังจะต้องมีอำนาจสูงส่งด้วยเพคะ”
ฮองเฮาตึงพลันตึงเครียด หลังของนางมีเหงื่อเย็นไหลออกมากะทันหัน คำพูดของถาวจวินหลันบอกความหมายชัดเจนเป็นอย่างมาก หากนางต้องตาย นางก็ต้องลากตนเองไปตายด้วยอย่างไม่เกรงใจ
ฮองเฮาย่อมไม่อยากตาย ดังนั้นฮองเฮาจึงทำได้แค่หุบปากลงช้าๆ แล้วกลืนคำพูดลงไป
ซูเฟยหัวเราะออกมา “นี่เป็นไปได้อย่างไร? คนที่มีฐานะอำนาจสูงกว่าอี๋เฟยไม่ใช่ฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือ? ฮองเฮาเหนียงเหนียงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ไม่ว่าซูเฟยจะพูดเพื่อเย้าหยอก หรือตั้งใจโจมตีฮองเฮา ก็เห็นว่าทำให้ฮองเฮากริ้วโกรธได้สำเร็จ ฮองเฮามองซูเฟยด้วยแววตาเย็นเยียบ “ดื่มชา”
ซูเฟยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งถึงได้สติเข้าใจความหมายของฮองเฮา ทันใดนั้นก็อับอายจนหน้าดำหน้าแดง เพียงแค่นั่งเก้อขดตัวอยู่บนเก้าอี้ ไม่ยอมพูดอะไรอีกแม้แต่เดียว